บทที่ 1
จางเฟินเยว่คนใหม่
เฮือก!!
หญิงสาวที่ร่างกายชุ่มไปด้วยเหงื่อสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมาด้วยความตื่นตกใจ นางหันซ้ายมองขวาก่อนจะรู้สึกปวดหัวจี๊ดจนแทบทานทนไม่ไหว ดวงตาคู่สวยฉายแววตื่นตระหนก กวาดสายตามองสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย สีหน้าของนางมีแต่ความสับสนไม่เข้าใจ
ที่นี่ที่ไหน?
เธอตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ?
หรือนี่จะเป็นสวรรค์?
ก่อนที่หญิงสาวจะได้ปรับสายตาให้คุ้นชิน หญิงสาวคนหนึ่งก็เปิดประตูเข้ามาในห้องเสียก่อน
“นายหญิง! ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ เจ็บปวดตรงไหนบ้างหรือไม่”
หญิงสาวที่อายุน่าจะประมาณ 16-17 เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงดีใจ แววตาของอีกฝ่ายมองสตรีที่นั่งหน้าเครียดด้วยความยินดี
“ที่นี่ที่ไหน เธอเป็นใคร”
น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้น แม้จะยังแหบแห้งแต่ก็ฟังดูอ่อนหวานราวกับน้ำผึ้งนัก
“นายหญิง ท่านจำสิ่งใดไม่ได้เลยหรือเจ้าคะ”
หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความตื่นตระหนก สีหน้าของนางฉายชัดถึงความกังวลใจออกมา หากเรื่องนี้รู้ไปถึงหูฮูหยินใหญ่ ไม่รู้ว่านายหญิงของนางจะถูกใส่ความว่าอะไรบ้าง เพียงแค่ถูกผลักตกน้ำจนสลบไปนานกว่าสามวันก็มากเกินพอแล้ว โชคดีที่นายหญิงของนางยังไม่ได้ไปเยือนปรโลก
“ไม่! แล้วเธอเป็นใคร ทำไมฉันถึงมานอนอยู่ที่นี่ได้”
“นายหญิง...”
หญิงสาวตรงเข้ามากอบกุมมือนุ่มนิ่มของนายหญิงด้วยความเป็นห่วง นี่นายหญิงคงจะสูญเสียความทรงจำไปสินะ นายหญิงของนางช่างน่าสงสารนัก
“บ่าวมีชื่อว่าเหยาเหยาเจ้าค่ะ เป็นสาวใช้ของจวนตระกูลอู๋ เพราะได้นายหญิงช่วยเหลือไว้ตอนนั้น บ่าวจึงได้รับหน้าที่ให้เป็นสาวใช้ประจำตัวของนายหญิงเจ้าค่ะ”
“แล้วฉันล่ะ”
“นายหญิงมีนามว่าจางเฟินเยว่เจ้าค่ะ เป็นอนุลำดับที่เจ็ดของนายท่านอู๋ซาน แต่เพราะ...” เหยาเหยาทำสีหน้าลำบากใจเล็กน้อยก่อนจะเล่าต่อ “แต่เพราะนายหญิงไม่เป็นที่โปรดปรานของนายท่าน นายหญิงจึงถูกส่งตัวมาอยู่ที่เรือนท้ายจวน เมื่อสามวันก่อนขณะที่นายหญิงจะไปเก็บดอกเหลียนฮวาที่สระท้ายจวน ฮูหยินใหญ่กลับกลั่นแกล้งสั่งให้บ่าวรับใช้ผลักนายหญิงตกลงไปในสระเจ้าค่ะ กว่าบ่าวจะช่วยนายหญิงขึ้นมาจากสระได้เวลาก็ผ่านไปนานแล้ว โชคดีจริง ๆ ที่นายหญิงของบ่าวยังคงมีชีวิตอยู่”
เหยาเหยาเอ่ยเล่าเรื่องราวทั้งหมดพลางร้องไห้ไปด้วย นางสงสารนายหญิงจับใจ แค่เป็นอนุที่ไม่โปรดปรานของนายท่านก็แย่พอแล้ว แต่นี่ยังถูกฮูหยินใหญ่และเหล่าอนุด้วยกันเองคอยกลั่นแกล้งอีก ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่นายหญิงของนางถึงจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้กัน
ขนมผิงที่ตอนนี้ได้กลายเป็นจางเฟินเยว่ยกมือขึ้นมานวดคลึงหว่างคิ้วของตน เธอกำลังพยายามรวบรวมข้อมูลที่ได้จากเหยาเหยา กอปรกับความทรงจำของร่างนี้ที่เริ่มเข้ามาอยู่ในหัวไม่ขาดสาย ทำให้เธอเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้
ตัวตนที่แท้จริงของเธอคือขนมผิง ดาราสาวดาวรุ่งของวงการบันเทิงไทย ชีวิตของเธอกำลังพุ่งทะยานราวกับดวงดาวที่เปล่งประกายบนท้องฟ้า แต่เพราะความประมาทของตนเอง ทำให้เธอต้องจบชีวิตลงทั้งที่อายุเพิ่งแค่ 24 ปีเท่านั้น
แต่วิญญาณที่ควรจะไปนรกหรือสวรรค์ กลับเข้ามาอยู่ในร่างของจางเฟินเยว่ บุตรสาวคนเล็กของตระกูลจางที่ไม่เป็นที่รัก นางถูกบิดาแท้ ๆ ขายนางราวกับสินค้าชิ้นหนึ่งให้กับอู๋ซานตั้งแต่อายุ 15 หนาว แต่เพราะความหวาดกลัว และไม่อยากเป็นอนุของอู๋ซาน ทำให้คืนแรกนั้นนางได้เผลอคว้าแจกันฟาดศีรษะของอู๋ซาน นั่นจึงทำให้เขาโกรธเป็นอย่างมาก
นับแต่นั้นมาอู๋ซานก็ไม่เคยมาหาอนุผู้นี้อีกเลย ทั้งยังลืมเลือนไปเสียด้วยซ้ำว่าเขามีอนุนามว่าจางเฟินเยว่ด้วย
ฮูหยินของอู๋ซานนามว่า ‘ลู่เหมยฮวา’ เป็นสตรีที่เจ้าคิดเจ้าแค้น และริษยาความงามของจางเฟินเยว่มาก นางชิงชังเรือนร่างสะโอดสะองนั้น ทั้งใบหน้าที่งดงามอ่อนหวานราวกับปีศาจจิ้งจอก ลู่เหมยฮวาจึงคอยกลั่นแกล้งจางเฟินเยว่เสมอมา
ตลอดระยะสามปีที่จางเฟินเยว่อาศัยอยู่ที่จวนอู๋แห่งนี้ นางต้องพยายามทำตัวเองให้จืดจาง เสมือนไม่เคยมีตัวตนมาก่อน เพื่อรักษาชีวิตรอดจากจวนที่มีแต่อสรพิษ แต่เหมือนสวรรค์จะยังเห็นความพยายามของนางไม่มากพอ จึงได้พรากดวงวิญญาณของนางออกไปเสียแล้ว
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดขนมผิงจึงได้มาอาศัยอยู่ในร่างของจางเฟินเยว่แทน ข้อนี้ยังคงเป็นปริศนาที่ยังไขไม่ออก!
ขนมผิงหลับตาลงพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งด้วยแววตาอันแรงกล้า
ขนมผิงได้ตายไปแล้ว ตอนนี้นางคือจางเฟินเยว่ อนุผู้ถูกลืมเลือนของอู๋ซาน แต่อย่าคิดว่านางจะทนใช้ชีวิตที่ต้องรอเพียงความโปรดปรานจากบุรุษเท่านั้น นางเองก็เป็นสตรีที่มาจากโลกที่เจริญแล้วจะทนใช้ชีวิตอย่างนี้ได้ยังไง สองมือคู่นี้จะนำพาชีวิตที่ดีมาสู่นางเอง...
จางเฟินเยว่คนใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว!!
จางเฟินเยว่มองหน้าเหยาเหยานิ่ง ก่อนจะคิดสิ่งใดออกมา อันดับแรกคงต้องเรียนรู้ความเป็นไปของจวนนี้ และวัฒนธรรมของคนที่นี่เสียก่อน หากอยากมีชีวิตรอดก็ต้องเรียนรู้ค่านิยม และความคิดของผู้คนที่นี่ ไม่มีสิ่งใดที่ยากไปกว่าสติปัญญาของนางหรอก
ดวงหน้าหวานผุดยิ้มขึ้นมาพลางเอื้อมไปจับมือของเหยาเหยาเอาไว้แน่น
ตอนพิเศษ 2หวนคืนสู่นิรันดร์18 ปีผ่านไปเวลาผ่านไปราวกับสายน้ำไหลที่ไม่ไหลย้อนคืนกลับมา บัดนี้บุตรชายและบุตรสาวในวัยเยาว์ของทั้งสองได้เติบโตขึ้นมาอย่างสง่างามและงดงาม สมกับที่เหวินมู่หยางและจางเฟินเยว่เลี้ยงดูพวกเขาด้วยความรักและความอบอุ่นคุณชายใหญ่เหวินมู่เฉินถอดแบบบิดามาทุกกระเบียดนิ้ว เขาได้กลายเป็นท่านกุนซือน้อยที่คอยช่วยงานของกองทัพคุณชายรองเหวินอี้หานชมชอบการฟันดาบ ด้วยอายุยังน้อยและการสนับสนุนจากบิดา เขาจึงสามารถไต่เต้าด้วยความสามารถของตนเองจนกลายเป็นรองแม่ทัพที่อายุน้อยที่สุดของเมืองหวงซ่างคุณชายเล็กเหวินอี้เจ๋อชมชอบเรื่องการค้าขาย เมื่อเขาได้รับหน้าที่ให้ดูแลร้านผิงเยว่ เขาสามารถขยับขยายร้านผิงเยว่จนตอนนี้มีสาขาย่อยทุกหัวเมือง กิจการเติบโตอย่างรวดเร็วจนแผ่ขยายไปยังเมืองหวงของแคว้นเจียงหนานส่วนคุณหนูหนึ่งเดียวเหวินอ้ายเยว่ นางได้ถอดแบบความงามและความสามารถด้านการทำอาหารมาจากมารดาไม่ผิดเพี้ยน ผู้คนในเมืองหวงซ่างจึงยกย่องให้นางเป็นยอดพธูและเพราะความงามที่ร่ำลือไปไกลนั้น จึงทำให้มีบุรุษมากมายพากันส่งแม่สื่อมาทาบทามเหวินอ้ายเยว่ แต่ทุกคนต้องรีบถอยทัพกลับไปเป็นการด่วน เพราะเหว
ตอนพิเศษ 1ลูก ๆ ของจางเฟินเยว่เวลาผ่านไปราวสองปีนับตั้งแต่เหวินมู่เฉินได้กำเนิดขึ้นมา เขาที่เป็นคุณชายของบ้านถูกดูแลอย่างประคบประหงม ทั้งจากบิดาผู้ใจดีและมารดาที่อ่อนโยน ทำให้เด็กชายที่อายุแค่สองหนาวมีนิสัยที่โอบอ้อมอารี และเป็นเด็กยิ้มง่าย เขาไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวหรือต้องรู้สึกเศร้าเสียใจเลยแต่ในวันที่อากาศเย็นลงนั้น เหวินมู่เฉินกลับเริ่มคิดหนัก เขาเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องเล่นกับผู้ใหญ่ และยิ่งได้ไปเห็นว่าเพื่อนเล่นของเขามีน้องน้อยที่น่ารัก เขาเองจึงรู้สึกอยากมีน้องเป็นของตัวเองบ้าง“ทั่นแม่ ทั่นแม่ ข้ายั่กมีน้องขอยับ”เหวินมู่เฉินในวันสองหนาวออกเสียงอ้อแอ้ เขาเดินเตาะแตะมาออดอ้อนผู้เป็นมารดา หญิงสาวหัวเราะขำด้วยความเอ็นดู“อาเฉินของแม่เหงาหรือ”“ขอยับ ข้ายั่กมีน้อง ยั่กมีฉองคนขอยับ”“ฮ่ะฮ่ะ เช่นนั้นพ่อคงต้องรีบมีน้องให้แล้วสินะ”เหวินมู่หยางที่เพิ่งกลับมาจากค่ายทหารได้ยินที่ทั้งสองคุยกันพอดี“ทั่นพ่อ ทำน้องให้ข้านะขอยับ ข้าขอฉองคน”“ได้สิ งั้นคืนนี้อาเฉินของเรานอนคนเดียวได้หรือไม่”เด็กน้อยเอียงคอด้วยความสงสัย เหตุใดเขาต้องนอนคนเดียวด้วย แต่เพราะเขาอยากมีน้องมากจึงยอมพยักหน้าต
จวนตระกูลเหวินหลังจากเรื่องราวในครั้งนั้น นี่ก็ผ่านมาร่วมเจ็ดวันแล้ว จางเฟินเยว่กลับมาใช้ชีวิตของนางดังเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือข่าวการตั้งครรภ์ของนาง สิ่งที่นางสงสัยนั้นเป็นจริงตอนนี้นางตั้งครรภ์ได้หนึ่งเดือนเศษแล้ว!เหวินมู่หยางที่รู้ว่าตัวเองจะได้เป็นพ่อคน เขารู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะข่าวดีนี้เขาจึงได้ประกาศแต่งตั้งให้จางเฟินเยว่เลื่อนขั้นเป็นฮูหยินรอง โดยหลังจากที่นางคลอดบุตรแล้ว เขาก็จะแต่งตั้งให้นางเป็นภรรยาเอกหากทำเช่นนี้ก็จะไม่มีผู้ใดสามารถมาโต้แย้งได้ แต่ถึงจะกล้าโต้แย้งคงต้องถามดาบในมือของเขาเสียก่อน จางเฟินเยว่ที่คราแรกอยากเป็นเพียงแค่อนุ แต่เพราะนางนึกถึงฐานะของบุตรที่จะกำเนิดมาจึงได้ยินยอมทำตามที่เหวินมู่หยางต้องการในยามพลบค่ำที่ห้องนอนของทั้งคู่ จางเฟินเยว่นั่งพิงหน้าอกแกร่งของเหวินมู่หยาง ในมือของนางกำลังจดข้อควรปฏิบัติและสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงในยามตั้งครรภ์ ทั้งที่เคยได้ยินจากชีวิตก่อน และจากคำแนะนำของท่านหมอที่ดูแลนาง“ไม่นอนก่อนหรือเยว่เอ๋อร์ เจ้าต้องพักผ่อนให้มาก ๆ นะ”“อีกนิดเดียวเจ้าค่ะท่านพี่ ข้าใกล้เสร็จแล้ว”หญิงสาวกลับมาจดจ่ออีกครั้ง เวลาผ่านไปก
บทส่งท้ายเหวินมู่หยางกับจางเฟินเยว่กลับมาที่เมืองหวงซ่างในยามสาย บ้านพักของอู๋ซานที่พาจางเฟินเยว่ไปนั้นอยู่อีกเมืองหนึ่ง แต่เพราะเป็นเมืองที่อยู่ติดกันจึงใช้เวลาเดินทางไม่นานนัก ผู้คนที่เห็นว่าท่านกุนซือขี่ม้าตัวเดียวกันกับจางเฟินเยว่ต่างพากันประหลาดใจขบวนของเหวินมู่หยางตรงไปยังค่ายทหารทันที เขาต้องการจัดการเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด เพราะยังมีอีกคนที่ไม่อาจปล่อยให้หลุดมือไปได้ เหวินมู่หยางได้พาจางเฟินเยว่ให้ไปรอเขาที่เรือนพักของเขาที่ค่ายทหารก่อน ส่วนเขาจะไปจัดการเรื่องทั้งหมดเองทหารของท่านแม่ทัพใหญ่บุกเข้าไปยังจวนตระกูลลู่ พวกเขาจับกุมตัวลู่เสียนผู้เป็นเจ้าเมืองที่มีตำแหน่งขุนนางขั้นสูงของที่นี่โดยไม่ไว้หน้า เรื่องนี้ยิ่งสร้างความสับสนให้กับชาวเมือง“ปล่อยข้านะ พวกเจ้ามีสิทธิ์อันใดมาจับข้า ข้าเป็นถึงเจ้าเมืองเชียวนะ” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดดังมาจากร่างของชายสูงวัยใบหน้าที่มีรอยเหี่ยวย่นเคร่งขรึมลงด้วยความเคร่งเครียด เขากังวลว่าอาจจะมีคนรู้เรื่องที่เขาแอบทำลับหลังแล้วก็เป็นได้‘ไม่ใช่ว่าพวกมันรู้แล้วนะ บัดซบ!!’ลู่เสียนสบถในใจด้วยความหวาดหวั่น ความกริ่งเกรงที่มีต่อท่านแม่ทัพใหญ่และกุนซือ
เหวินมู่หยางกลับมาที่ห้องอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขากลับรู้สึกลำคอแห้งผาก เสียงกลืนน้ำลายดังเอื๊อกเมื่อเห็นภาพเย้ายวนตรงหน้าจางเฟินเยว่ที่ควรจะนอนตัวสั่นเพราะความหวาดกลัว กลับนอนยั่วยวนเขาบนเตียงเสียอย่างนั้น อาภรณ์สีแดงที่เนื้อผ้าบางเบาเผยออกมาจนเห็นเนินอกขาวผ่องของนาง รอยยิ้มมุมปากที่แสนยั่วยวนของนาง ราวกับกำลังเชิญชวนเขาให้รีบมาจัดการนางโดยเร็ว“จะ เจ้าไม่นอนหรือเยว่เอ๋อร์” กว่าเขาจะหาเสียงตัวเองเจอก็ผ่านไปหลายลมหายใจ“ข้ารู้สึกอากาศมันร้อนเจ้าค่ะ ตอนนี้ข้าเองก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก แต่ข้าอยากได้อ้อมกอดจากคนที่ข้ารักเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าความปรารถนาของข้าจะเป็นจริงหรือไม่”เหวินมู่หยางก้าวเดินเข้าไปหาคนช่างยั่วพลางหัวเราะออกเบา ๆ“เยว่เอ๋อร์คงจะเสียขวัญมาก พี่คงต้องปลอบเจ้าทั้งคืนใช่หรือไม่”“เจ้าค่ะท่านพี่”จางเฟินเยว่ยิ้มยั่ว ฝ่ามือเล็กค่อย ๆ ถอดเสื้อคลุมของตัวเองออกไป จนตอนนี้ร่างกายของนางเหลือเพียงเอี๊ยมบังทรงเท่านั้น ซึ่งมันไม่สามารถปกปิดก้อนเต้าหู้อวบใหญ่ของนางได้เลย“อ่า...คนช่างยั่วต้องโดนอะไรนะ” น้ำเสียงแหบพร่าดังมาจากลำคอหนา สายตาคู่คมมองร่างเย้ายวนตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย ตรง
บทที่ 13อ้อมกอดของคนรักเหวินมู่หยางโอบประคองจางเฟินเยว่ด้วยความหวงแหน สีหน้าของนางซีดขาวด้วยความหวาดกลัว นางที่เพิ่งมาอยู่ในยุคนี้คงไม่เคยเห็นการฆ่าฟันกันมาก่อน แต่เขาที่มาอยู่ที่นี่นับสิบปี และอยู่แต่ในสนามรบจึงชินชากับเรื่องนี้ ฝ่ามือหนาที่ปิดดวงตาของนางเอาไว้คลายออก พร้อมกับช้อนร่างของนางเข้ามาในวงแขนของขา เขาพานางออกไปจากห้องที่มีแต่กลิ่นคาวเลือดและศพของอู๋ซาน“นี่มืดแล้ว เราคงต้องพักกันที่นี่หนึ่งคืน พรุ่งนี้ค่อยกลับบ้านของเรากันนะเยว่เอ๋อร์”เหวินมู่หยางวางร่างที่แสนบอบบางของจางเฟินเยว่ที่เตียงกว้าง เขาได้สั่งให้สาวใช้ที่นี่นำทางเขาไปยังอีกห้องหนึ่งที่เว้นว่างเอาไว้“เจ้าค่ะท่านพี่แล้วเหยาเหยาเล่าเจ้าคะ”“เหยาเหยาปลอดภัยดี ตอนนี้พี่ให้นางนอนพักอีกห้องหนึ่งแล้ว”“ขอบคุณเจ้าค่ะ”ผู้คนที่นี่ที่นางพอจะรู้สึกเป็นห่วงก็มีเพียงเหยาเหยาคนเดียวเท่านั้น เหยาเหยาไม่ใช่เพียงสาวใช้ข้างกาย แต่นางรู้สึกรักและเอ็นดูเหยาเหยาเปรียบเสมือนน้องสาวคนหนึ่งเลย“ขออภัยขอรับ เราพบคุณหนูรองลู่ที่ห้องด้านข้างขอรับ”องครักษ์ของเหวินมู่หยางเอ่ยรายงานเสียงเข้มที่หน้าห้อง ในตอนที่พวกเขากำลังจัดการคนทั้งหมดนั