"เกรงว่าคงจะมิได้เพคะเสด็จพี่ ลี่เซียนเป็นสหายเรียนของน้อง ตอนนี้น้องมาถึงแล้ว คงต้องขอตัวไปเรียนแล้วเพคะ"
หลิวลี่เซียนและเจินเซียงที่กำลังอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก รู้สึกเหมือนสวรรค์ส่งองค์หญิงเฟยหยางมาโปรดก็มิปาน จึงรู้สึกโล่งใจกับสถานการณ์กระอักกระอ่วนนี้
องค์หญิงเฟยหยางส่งสายตาให้หลิวลี่เซียนและเจินเซียงเดินมาอยู่ด้านหลังของนาง ก่อนจะมองไปที่องค์ชายรองและยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่ในรอยยิ้มขององค์หญิงเฟยหยางมีความเย็นชาอย่างเห็นได้ชัด
องค์ชายรองจ้าวเฟยหรงรู้สึกหงุดหงิดใจจนแทบอยากจะฉีกองค์หญิงเฟยหยางออกเป็นชิ้นๆ ดอกไม้งามอยู่ตรงหน้าเขาแล้วแท้ๆ แต่กลับเด็ดมามิได้ เขาได้แต่แสร้งยิ้มอย่างอ่อนโยน เขาเป็นเพียงองค์ชายที่เกิดจากพระสนม ถ้าหากเขากระทำการใดที่มิควรต่อองค์หญิงเฟยหยางนั่นเท่ากับเขาก่อเรื่องให้เสด็จแม่หนักพระทัย และยังเป็นการยั่วยุโทสะของจ้าวฮวงโหวเป็นแน่
จ้าวเฟยหรงตัดใจเดินออกมา แต่มิวายก่อนที่เขาจะจากไปยังคงมองมาที่หลิวลี่เซียนด้วยแววตาล้ำลึกคราหนึ่ง
หลิวลี่เซียนลอบเบ้ปากเล็กน้อย นางเกลียดที่สุดคือผู้ชายประเภทนี้ ช่างน่ารำคาญนักที่ต้องมาเกิดใหม่ในยุคที่ผู้ชายมีอำนาจมากกว่าผู้หญิงเช่นนี้
เมื่อองค์ชายรองจากไปแล้วก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก จนกระทั่งเรียนเสร็จแล้ว องค์หญิงเฟยหยางจึงชวนหลิวลี่เซียนและเจินเซียงไปพูดคุยเล่นกันที่ตำหนัก
"เจ้าไม่เป็นอะไรใช่รึไม่ เสด็จพี่รองแต่ไหนแต่ไรก็เป็นคนเช่นนี้ ข้าเบื่อยิ่งนัก"
องค์หญิงเฟยหยางหันมาเอ่ยถามหลิวลี่เซียนด้วยสีหน้าเป็นห่วง ก่อนที่จะนึกสงสัยในใจ หลิวลี่เซียนก็มาวังหลวงบ่อยครั้ง เป็นสหายเรียนของพระนางมาตั้งหลายปีแล้ว เมื่อก่อนก็ไม่เคยเห็นเสด็จพี่รองคิดสนพระทัยนาง เหตุใดวันนี้จึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้เล่า ด้วยนิสัยอย่างหลิวลี่เซียนที่เป็นคนนอบน้อม อ่อนโยน ย่อมไม่มีทางยั่วยุหรือเข้าหาเสด็จพี่รองเป็นแน่
"หม่อมฉันไม่เป็นอะไรเพคะ ขอบพระทัยองค์หญิงที่ทรงเป็นห่วงและช่วยหม่อมฉันไว้วันนี้เพคะ"
องค์หญิงเฟยหยางยิ้มตาหยี หลิวลี่เซียนยื่นกล่องไม้งดงามประณีตกล่องหนึ่งถวายให้องค์หญิงเฟยหยางพระนางมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะเปิดออกดู
"มันคืออะไรหรือลี่เซียน"
"ครีมบำรุงผิวเพคะองค์หญิง หม่อมฉันอยู่จวนรู้สึกเหงายิ่ง จึงนำดอกไม้หลายชนิดที่ปลูกไว้ในจวนมาทำครีมบำรุงผิวเพคะ องค์หญิงทรงลองทาดูสิเพคะ"
นางกำนัลนำขวดครีมออกเทใส่ฝ่ามือก่อนจะทาลงที่หลังมือตน หลิวลี่เซียนจำได้ดีตอนที่นางเรียนประวัติศาสตร์ตอน ม.ปลาย วิธีนี้คือการทดสอบพิษว่ามีการปนเปื้อนมาหรือไม่ในเหล่าเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง
จากนั้นนางกำนัลก็พยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเทครีมใส่ฝ่ามืออีกครั้ง แล้วลูบลงบนหลังฝ่ามือและแขนขององค์หญิงเฟยหยาง
"หอมนัก เจ้าทำเองหรือ"
"เพคะ ทรงชอบหรือไม่เพคะ"
หลิวลี่เซียนยิ้มตาหยี
"ข้าชอบมาก"
"ไว้หม่อมฉันจะทำมาถวายใหม่เพคะ"
องค์หญิงเฟยหยางพยักหน้าด้วยความดีใจ นางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าหลิวลี่เซียนมีพรสวรรค์ด้านนี้ด้วย ครีมขวดนี้ช่างหอมติดผิวและนุ่มนวลให้ความรู้สึกสบายยิ่งเหมือนอยู่ท่ามกลางดอกไม้นานาพรรณ
"หม่อมฉันก็ได้มาจากหลิวลี่เซียนขวดหนึ่งเช่นกันเพคะ หอมนัก"
เจินเซียงยิ้มออกมาอย่างมีความสุขเหมือนสาวน้อยได้เครื่องประทินโฉมที่ถูกใจก็มิปาน
หลังจากที่พูดคุยเป็นเพื่อนกับองค์หญิงแล้ว หลิวลี่เซียนจึงขอตัวกลับ และมีเจินเซียงเดินมาส่ง
"ข้ามาส่งเจ้าได้ถึงตรงนี้ ระวังตัวด้วยนะลี่เซียน องค์ชายรองเป็นบุคคลที่อันตรายยิ่ง"
หลิวลี่เซียนยิ้มและพยักหน้าให้เจินเซียงเล็กน้อย
"ข้าไม่เป็นอะไรหรอก เจ้าเถอะ ดูแลตัวเองดีๆ อีกไม่นานก็จะอภิเษกสมรสแล้ว"
พูดถึงเรื่องอภิเษกสมรส เจินเซียงก็ทำหน้ามุ่ยลงเล็กน้อย
"ข้าไม่อยากแต่งงาน"
"ทำไมอยู่ดีๆ จึงพูดเช่นนี้ หากมีใครมาได้ยินเข้าจะหาว่าเจ้าดูหมิ่นองค์รัชทายาทนะ"
เจินเซียงกลอกตาไปมา ก่อนจะหันมามองหลิวลี่เซียน
"เสด็จพี่จิ้นหมิงกับข้าสนิทกันออกปานนี้ เป็นพี่น้องคลานตามกันมา เป็นเจ้า เจ้าอยากแต่งรึ"
หลิวลี่เซียนหันไปมองเจินเซียงด้วยแววตาสงสัยทันที
"เจ้าเรียกองค์รัชทายาทว่าอะไรนะ"
"เสด็จพี่จิ้นหมิง ชื่อนี้เป็นนามเล่นส่วนพระองค์ เจ้าก็อย่าเอาไปพูดซี้ซั้วเล่า"
หลิวลี่เซียนพยักหน้า นางส่ายหน้าไปมา คิดอะไรเหลวไหล อาจจะคนชื่อคล้ายกันก็ได้
"ข้าไปละ เจ้าส่งข้าแค่นี้ก็พอแล้ว ขอบใจเจ้ามาก"
"อะนี่ เจ้าเอาไว้กินระหว่างทางเถอะ"
หลิวลี่เซียนมองหมั่นโถวลูกอ้วนกลมในมือเจินเซียงพลางยิ้มตาหยี
หลิวลี่เซียนยิ้มให้เจินเซียงอีกครั้งก่อนเดินขึ้นรถม้าไป รถม้าเคลื่อนตัวมาเรื่อยๆ ผ่านตลาดหมู่บ้านคนไปเรื่อยๆ
"คุณหนูใหญ่ทางนี้มิใช่ทางกลับจวนเรานะเจ้าคะ"
หลิวลี่เซียนที่กำลังนั่งกินหมั่นโถวบนรถ จึงไม่ได้สนใจทางข้างนอกเท่าใดนัก เพราะตัวนางเองก็ยังไม่ค่อยคุ้นชินเท่าใด นางหันไปมองไป๋หลางที่มีสีหน้าไม่สู้ดี ก่อนจะเปิดผ้าม่านรถม้าแล้วชะโงกหน้าออกไปดู
หลิวลี่เซียนมองไปรอบๆ นางนั่งคิดตอนแรกมันมีตลาด หมู่บ้าน ทำไมตอนนี้สองข้างทางมีแต่ป่ารกไปหมด สัญชาตญาณของหลิวลี่เซียนรับรู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างไม่ปกติเกิดขึ้นกับนางแน่แล้ว
ไม่ได้การแล้ว ต้องทำอะไรสักอย่าง!
"ไป๋หลางสั่งคนขับรถม้าให้หยุด แล้วบอกว่าข้าปวดหนัก เร็วเข้า!!"
หลิวลี่เซียนค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ความรู้สึกอ่อนเพลียและเหนื่อยล้าถาโถมเข้าใส่ร่างกายของนางอย่างตั้งรับเอาไว้แทบไม่ทัน"ดื่มน้ำก่อนนะคะ คุณหนู"หลิวลี่เซียนหันไปมองก่อนจะพบเข้ากับเลขาหวัง เลขาประจำตัวของนางที่เพิ่งจ้างเข้ามาทำงานให้เมื่อห้าปีก่อนเดี๋ยวนะ!! นี่มันเรื่องอะไรกัน?หลิวลี่เซียนยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มด้วยความหิวกระหาย ก่อนจะมองสังเกตไปโดยรอบ ก็พบว่าตอนนี้ตนเองกำลังใส่ชุดของโรงพยาบาลอยู่นี่มันเกิดอะไรขึ้น? นางย้อนกลับมาร่างเดิมเช่นนั้นหรือ?หลิวลี่เซียนยกมือขึ้นบีบหว่างคิ้วที่ปวดหนึบขึ้นมาเสียดื้อๆ ความคิดมากมายประเดประดังเข้ามาในหัวของนางอย่างไม่จบไม่สิ้น"คุณหนูชิงชิงคะ อีกเดี๋ยวคุณหมอคงจะมาแล้วค่ะ""เลขาหวัง""คะคุณหนู?""ข้า เอ่อ ฉันหลับไปนานเท่าไร แล้วที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นบ้าง?"เลขาหวังขมวดคิ้วมอง 'จ้าวชิงชิง' ด้วยแววตาสงสัย แต่ก็ยอมเอ่ยปากเล่าให้เธอฟังทุกเรื่องเลขาหวังเล่าว่า คุณพ่อของจ้าวชิงชิงโทรมาหาเลขาหวังกลางดึกให้รีบพาตำรวจมาที่บ้านโดยด่วนที่สุด เธอเองก็ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรท่านประธานจึงให้เรียกตำรวจเข้าไปในเวลาดึกดื่นเช่นนี้แต่เมื่อเธอไปถึงก็พบว่าหลี่เย่สามีของจ้าว
ภายในคุกหลวงที่มืดมิดไร้ซึ่งแสงไฟส่องสว่าง ปรากฏร่างของเหมยฮวาชิงที่นอนดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นที่มีหนูตัวน้อยใหญ่ไต่ยั้วเยี้ยไปมาอย่างน่าขนลุก"ได้เวลาดื่มยาพิษแล้ว"เสียงผู้คุมคุกหลวงที่นางได้ยิน ราวกับเสียงแห่งขุมนรกกำลังเรียกร้องหานาง นางไม่อาจจะยอมรับได้เลยว่า สุดท้ายแล้วนางต้องมาตกตายด้วยยาพิษที่ตนเองเป็นคนสร้างมันขึ้นมาด้วยมือของนางเองหลังจากเหมยฮองเฮาตายจากไปแล้ว ก็มีคำสั่งให้ประหารคนตระกูลเหมยจนสิ้นซาก ไม่เหลือรอดแม้เพียงคนเดียว บ่าวไพร่ถูกโบยจนตกตายไปตามกัน ป้ายคำสั่งทหารนับแสนนายที่เคยอยู่ในมือของท่านพ่อก็ถูกยึดคืนสู่ราชสำนักไปหมด จ้าวจิ้งเทียนช่างโหดร้ายยิ่งนัก เขาถอนรากถอนโคนตระกูลเหมยจนสิ้นซากไร้การได้ลืมตาอ้าปากอีกครั้งจวนตระกูลเหมยถูกยึดเป็นสมบัติคลังหลวง ตระกูลเหมยที่เคยโอ่อ่าใหญ่โต อำนาจบารมีล้นฟ้า ไม่มีผู้ใดกล้าต่อกรด้วย สุดท้ายแล้วกลับหายสาบสูญตายจากไปอย่างไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียวเหมยฮวาชิงถูกกรอกยาพิษทุกวัน วันละสามมื้อ หลิวลี่เซียนช่างจิตใจอำมหิตจนน่าหวาดกลัวเหมยฮวาชิงดิ้นทุรนทุราย ดวงตาเบิกโพลงกระอักเลือดออกมาคำโต ช่วงชีวิตสุดท้ายของนางนั้น นางนึกหวนย้อนไปถึง
รัชศกจิ้งเทียนปีที่หนึ่งหลิวลี่เซียนกำลังนั่งอยู่ที่หน้ากระจกมองดูตนเองถูกเหล่านางกำนัลจัดแต่งอาภรณ์ให้ด้วยความใส่ใจ นางยกยิ้มมุมปากมองดูสตรีที่สูงส่งตรงหน้าด้วยสายตาพอใจ นี่ใช่นางจริงหรือ? ราวกับฝันไปเสียจริงๆ"ได้เวลาแล้วเพคะฮองเฮา"หลิวลี่เซียนพยักหน้าก่อนจะมองไป๋หลางด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ไป๋หลางนั้นได้เลื่อนขั้นเป็นนางกำนัลคนสนิทของหลิวลี่เซียนคอยรับใช้อยู่ข้างกายนางหลิวลี่เซียนนั่งอยู่บนเกี้ยว มองดูเหล่าขันทีนางกำนัลหมอบกราบทำความเคารพนางด้วยสายตาอ่อนโยนมีเมตตา เสียงดนตรีบรรเลงขับขาน ช่างฟังแล้วให้ความรู้สึกตื้นตันในใจเหลือคณานางกับจ้าวจิ้งเทียนอภิเษกสมรสกันเมื่อสองเดือนก่อน หลังจากที่ไท่ซังหวงทรงสละราชสมบัติ จ้าวจิ้งเทียนจึงแต่งตั้งนางขึ้นเป็นฮองเฮาหลิวฮองเฮาสวมชุดสีแดงปักลายหงส์คู่มังกร แถบเซี๊ยะเพ่ยปักลายหงส์พิลาสคู่ มงกุฎหงส์เป็นรูปแบบดั้งเดิมของราชวงศ์ต้าโจว มีหงส์รำแพนคู่หนึ่งตัว ด้านข้างคือหงส์พิลาสข้างละหนึ่งตัว ประดับด้วยทับทิมและอัญมณี ส่งเสริมให้พระนางดูงามสง่าและน่าเกรงขามยิ่งนัก ใบหน้าที่งดงามดูทรงอำนาจชวนมอง ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นไม่สามารถละสายตาจากนางไปได้ฮ่องเต้จ้
หลิวลี่ซือจ้องมองร่างอันไร้ซึ่งลมหายใจของเหมยฮองเฮาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะใช้ผ้าปิดบังใบหน้า แล้วเดินก้มหน้าก้มตาออกมาจากคุกหลวงโดยไร้ซึ่งพิรุธใดๆ นางเดินไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน ชื่นชมบรรยากาศภายในวังหลวงยามค่ำคืนอย่างสงบเยือกเย็นคืนนี้พระจันทร์ช่างงดงามเหลือเกิน ท่านแม่เจ้าคะ ป่านนี้ท่านคงกำลังชื่นชมข้ากับท่านพี่ลี่เซียนอยู่บนสรวงสวรรค์ใช่หรือไม่?รุ่งเช้าข่าวการตายอย่างปริศนาของเหมยฮองเฮาก็เป็นที่โจษจันกันไปทั่วทั้งวังหลวง สภาพศพช่างน่าเวทนาและน่าขยะแขยงไปในคราเดียวกัน อดีตฮองเฮาพระองค์นี้ช่างอายุสั้นยิ่งนัก เพิ่งจะได้เสวยความสุขอยู่ในตำแหน่งที่สูงสุดได้ไม่นาน ก็ร่วงตกลงมาสู่ความตายเบื้องล่างอย่างน่าอนาถในที่เกิดเหตุพบผ้าคลุมผืนหนึ่งปักตัวอักษรฮวาชิงเอาไว้ คาดว่าน่าจะเป็นของฆาตกรที่ใช้ฆ่าอดีตฮองเฮา ผู้คุมคุกหลวงถูกสอบสวนอย่างหนัก เขาให้การว่ามีนางกำนัลของตำหนักพระชายารององค์รัชทายาทมาขอพบกับอดีตฮองเฮา บอกว่าพระชายารองให้นำสิ่งของมามอบให้อดีตฮองเฮา หลังจากที่นางกำนัลผู้นั้นเดินออกมา อดีตฮองเฮาก็กลายเป็นศพไปเสียแล้ว กว่าจะทราบว่านางตายก็เกือบจะรุ่งสางของอีกวันเหมยฮวาชิงถูกควบคุมตัวมา
จ้าวเฟยหรงมองเหมยฮองเฮาด้วยแววตาเย็นเยียบ บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนที่เขารักยิ่ง นางถึงกับกล้ามาวางยาพิษเชียวหรือ ช่างบังอาจเทียมฟ้ายิ่งนัก!!!"นังคนสารเลว!!!""หึ!! ไม่ใช่แค่บุตรชายของเจ้านะ แม้แต่แม่ของเจ้าก็ถูกข้าวางยาพิษมานานเสียจนร่างกายอ่อนแอ อีกไม่นานนางคงจะไปสู่ปรโลกอย่างเป็นสุขพร้อมกับบุตรชายของเจ้า ฮ่าาๆๆๆ""นังคนสารเลว สุดท้ายเจ้าก็หลุดปากออกมาทั้งหมดว่าเจ้าเป็นคนทำ!!!""แล้วอย่างไรเล่า!! ข้าเป็นคนทำเรื่องทั้งหมดด้วยตนเอง คนในตระกูลข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง"จ้าวจิ้งเทียนส่งเสียงเฮอะในลำคอ ใครเชื่อนางก็บ้าเต็มทนแล้ว เขามองนางด้วยสายตาดูแคลนก่อนจะเอ่ยปากกับนาง"คนในตระกูลของเจ้าจะมีส่วนรู้เห็นในความเลวของเจ้าหรือไม่นั้น ข้าจะเป็นคนสืบหาเอง!!!"จางอิงอิงมองเหมยฮองเฮาก่อนจะยกยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก นางค่อยๆ ย่องไปทางด้านหลังของเหมยฮองเฮาด้วยฝีเท้าที่เบาเป็นอย่างยิ่ง ก่อนจะใช้เข็มเงินอาบยาพิษแทงเข้าไปที่ต้นคอของเหมยฮองเฮาฉึก!!!"อ๊าาาา"หลิวลี่เซียนอาศัยช่วงเวลาชุลมุนนี้ กระทุ้งศอกไปที่ปลายคางของเหมยฮองเฮาอย่างแรงจนนางมึนงง เซถลาใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความทรมาน"จับนางไว้!!!"เหล่าทหารจับ
หลิวลี่เซียนยื่นมือไปทุบประตู หวังจะร้องขอความช่วยเหลือ แต่กลับพบว่ามันร้อนเสียจนนางต้องรีบชักมือกลับ ควันสีขาวภายในห้องยิ่งพวยพุ่งมากขึ้นจนนางรู้สึกจุกแน่นที่จมูกและเริ่มหายใจไม่ออก นางถอยหลังออกมาทรุดตัวลงนั่ง สติเริ่มรางเลือนลงไปทุกขณะ"ชิงชิง"หลิวลี่เซียนพยายามประคองสติและเงยหน้าไปมอง ร่างของนางถูกจ้าวจิ้งเทียนช้อนตัวอุ้มขึ้นมาไว้ในอ้อมอก ก่อนที่เขาพานางพุ่งทะยานออกมาจากเรือนที่ไฟกำลังไหม้ลุกโหม"แค่ก แค่ก""เป็นอย่างไรบ้าง"หลิวลี่เซียนพยักหน้าน้อยๆ นางเองรู้สึกดีขึ้นไม่น้อยที่ได้ออกมาจากควันสีขาวที่ลอยคลุ้งเช่นนั้น"ท่านมาได้อย่างไร""ข้ารู้สังหรณ์ในใจว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่ดีกับเจ้าก่อนถึงวันแต่งงานของเรา ข้าคาดเดาไว้ไม่ผิดเลย พวกมันลงมือรวดเร็วยิ่งนัก""ลี่เซียน เจ้าไม่เป็นอะไรนะ""ท่านพี่ ข้าปลอดภัยดีเจ้าค่ะ ซินฮวาเล่า""นางสำลักควันจนหมดสติ หมอหลวงกำลังดูอาการอยู่""เหตุใดไฟจึงไหม้ได้เจ้าคะ""คาดว่าเหมยฮองเฮาคงจะลงมือแล้ว สายสืบภายในของข้าที่แฝงอยู่ในตำหนักนางถูกนางสังหารจนสิ้นไปเสียแล้ว"หลิวลี่เซียนใจหล่นวูบ นางมองจ้าวฝูหมิงด้วยสายตาเป็นกังวล จ้าวฝูหมิงรับรู้ในความกังวลของน