“คุณหนู ดึกแล้วท่านยังไม่เข้านอนอีกหรือเจ้าคะ”
“ท่านแม่หลับหรือยัง”
“หลังจากจุดธูปหอมที่คุณหนูมอบให้ ไม่ถึงหนึ่งเค่อฮูหยินก็หลับแล้วเจ้าค่ะ”
เมิ่งหว่านชิงพยักหน้ารับคำรายงานของอวี้หรุน ธูปหอมที่นางให้คนจุดนั้นมีฤทธิ์ช่วยให้ผ่อนคลาย ท่านแม่ของนางหลายวันมานี้พบเจอเรื่องราวมามาก หากไม่ให้นอนพักผ่อนดีๆ เกรงว่าอาจจะล้มป่วยได้
เมื่อคิดถึงมารดาเมิ่งหว่านชิงก็อดที่จะรู้สึกกังวลใจในเรื่องความใจอ่อน มีเมตตา และขาดความเด็ดขาดของมารดาไม่ได้ แน่นอนว่านิสัยเช่นนี้ของมารดาเป็นคุณสมบัติแบบอย่างสตรีที่ดีงามของต้าเซี่ย เพียงแต่กับคนต่ำช้าเหล่านี้ ความใจดี มีเมตตาของมารดานับเป็นจุดอ่อนร้ายแรงที่พวกเขานำมาเล่นงานในภายหลัง
ในโลกที่แสนโหดร้ายใบนี้ มีเพียงผู้ที่รู้จักโต้กลับอย่างเสมอภาคกันเท่านั้น จึงจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้
หากแต่เวลานี้เรื่องของมารดายังสามารถรั้งรอได้ แต่เรื่องของรุ่ยอ๋องนั้นรั้งรอไม่ได้แล้ว
“อวี้หรุนเจ้าเอาเงินนี้ไป แล้วพรุ่งนี้ก็ออกจากจวนไป...”
“บ่าวไม่ไปเจ้าค่ะ คุณหนูบ่าวรู้ดีว่าท่านกังวลเรื่องใด แต่ว่านับจากที่บ่าวสาบานต่อแม่ทัพเมิ่งว่าจะรับใช้ฮูหยินกับคุณหนู ชีวิตนี้ของบ่าวก็อุทิศให้พวกท่านแล้ว แต่หากวันนี้ท่านไม่ต้องการบ่าว เช่นนั้นบ่าวก็จะขอ...”
อวี้หรุนดึงมีดสั้นออกมาจากอกเสื้อง้างแขนขึ้นสูง ทว่ายังไม่ทันขยับกดมีดลงบนอกตามความตั้งใจ ถ้วยชาตรงหน้าของเมิ่งหว่านชิงก็ถูกนิ้วเล็กดีดด้วยพลังปราณภายในมากระทบกับข้อมือของสาวใช้จนมีดในมือหลุดร่วง
ดวงตาของอวี้หรุนเบิกกว้างแรกเริ่มนางตื่นตกใจที่ถูกคุณหนูน้อยขับไล่ตนออกจากจวน ทว่าตอนนี้กลับตื่นตระหนกกับฝีมือของคุณหนูน้อยมากกว่า
"คุณหนูท่าน..."
ความสงสัยของอวี้หรุนติดอยู่ที่ลำคอไม่กล้าถามออกมาโดยตรง
“ที่ข้าจะให้เจ้าออกจากจวนก็เพื่อไปทำเรื่องสำคัญ”
“ทำเรื่องสำคัญ ไม่ใช่ขับไล่ออกจวนหรือเจ้าคะ”
เมิ่งหว่านชิงถอนหายใจยาว นิสัยมุทะลุ ขาดความรอบคอบของอวี้หรุนนี้นับว่าเป็นปัญหาสำคัญของสาวใช้ตรงหน้าที่จะต้องเร่งแก้ไข มิฉะนั้นแล้วเกรงว่าชะตาเลวร้ายในภายหน้าของอีกฝ่ายคงยากจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข
“ไร้สาระรีบลุกขึ้น แล้วมานี่"
อวี้หรุนลุกขึ้นก่อนจะเดินตรงไปหาคุณหนูน้อยของตน เมื่อนางมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าเมิ่งหว่านชิงก็ยื่นซองจดหมายฉบับหนึ่งให้กับอีกฝ่าย
"จดหมายนี่หาคนที่ไว้ใจได้ส่งมอบให้ท่านอาเซี่ยด้วยตนเอง”
ท่านอาเซี่ย หรือ เซี่ยหลิงโจว ก็คือรองแม่ทัพคนสนิทของเมิ่งชิงหยวน หากกล่าวว่าตระกูลเมิ่งเป็นแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินมาเก้ารุ่น ตระกูลเซี่ยก็คือขุนพลคู่ใจตระกูลเมิ่งมาเก้ารุ่นเช่นกัน ความสัมพันธ์เหนียวแน่น ความผูกพันแน่นแฟ้น
ดังนั้นในอดีตแม้เมิ่งหว่านชิงจะเป็นตัวแทนของเกาอู๋ฮั่นออกรบ เซี่ยหลิงโจวก็ยังคงยินดีเป็นขุนพลเคียงบ่าเคียงไหล่สู้ศึกเคียงข้างนางจนตัวตาย
แน่นอนว่าในชาติภพนี้เมิ่งหว่านชิงย่อมไม่ยอมให้เหตุการณ์เหล่านั้นเกิดซ้ำรอยอีกครั้ง
“คุณหนู นี่ท่านกำลังจะทำอะไรหรือเจ้าคะ”
“ข้าสั่งให้ไปทำก็ไปทำอย่าถามให้มากความ”
ไม่ใช่ว่านางไม่อยากบอกอวี้หรุน เพียงแต่เรื่องที่นางย้อนเวลามาจากอนาคตเหล่านี้จะบอกออกมาได้อย่างไร ร่างเล็กลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินไปหยุดที่ริมหน้าต่างทอดสายตามองไปยังท้องฟ้าที่มีดวงจันทร์เปล่งประกายแสง
ครั้งนี้หวังว่าสวรรค์จะเมตตาให้ข้ารักษาขาทองคำเพียงหนึ่งเดียวเอาไว้ได้
..................................................
เช้าวันต่อมาเสวี่ยชิงเยี่ยนที่นอนหลับสนิทมาตลอดคืนรู้สึกสดชื่นกว่าทุกวัน ทว่ายังไม่ทันได้จัดการธุระยามเช้า บุตรสาวตัวน้อยก็เดินเข้ามานั่งบนเตียงทิ้งตัวลงหนุนตักพร้อมกับกอดเอวบาง
“ออดอ้อนเช่นนี้ สร้างเรื่องอันใดไว้อีกเล่า”
ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่บุตรีสร้างเรื่อง เพื่อไม่ให้ถูกผู้เป็นบิดาลงโทษก็มักจะมาออดอ้อนนางเช่นนี้ คิดถึงเรื่องราวในวันวานอันแสนอบอุ่นสองดวงตาของเสวี่ยชิงเยี่ยนก็ร้อนผ่าว หวนคะนึงหาสามีที่จากไป
ท่านพี่หากวันนี้ท่านยังอยู่ พวกเราสองแม่ลูกคงไม่ถูกผู้อื่นดูแคลน รังแกเช่นนี้
เมิ่งหว่านชิงเห็นแววตาของมารดาแฝงไปด้วยความเศร้า ก็ขยับตัวกระชับอ้อมแขนให้แน่นมากขึ้น ก่อนจะเอ่ยปากออดอ้อน
“ยังคงเป็นท่านแม่ของข้า ที่รู้ใจข้าที่สุด”
เสวี่ยชิงเยี่ยนเห็นท่าทางออดอ้อนของบุตรี ก็หลงลืมความเศร้าไปชั่วขณะ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นตื่นตกใจเมื่อคนบนตักบอกเหตุผลที่มาออดอ้อนตนตั้งแต่เช้าเช่นนี้
"ลูกมาชวนท่านแม่ไปพบพี่ชายรุ่ยอ๋องเจ้าค่ะ"
เรื่องที่เมิ่งหว่านชิงตกน้ำแล้วได้พบกับรุ่ยอ๋องนั้นถูกสาวใช้ทั้งจวนเสวี่ยตั้งวงนินทาไปทั่ว ดังนั้นแม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้มาบอกเล่าเหตุการณ์ให้นางฟัง เสวี่ยชิงเยี่ยนก็รู้เรื่องราวอย่างชัดเจนราวกับนางยืนดูอยู่ในเหตุการณ์
“ชิงเอ๋อร์เจ้าเติบโตที่ชายแดนย่อมไม่รู้ว่า วังรุ๋ยอ๋องเป็นสถานที่พระราชทานพิเศษ เว้นเพียงฮ่องเต้มีราชโองการ ผู้อื่นหากไม่มีเทียบเชิญไม่อาจเข้าไปได้”
“แต่ข้าไม่ต้องใช้เทียบเชิญก็เข้าได้เจ้าค่ะ”
พูดจบคนบนตักก็ชูป้ายประจำตัวของรุ่ยอ๋องขึ้น ทำเอาดวงตาของผู้เป็นมารดาเบิกกว้างด้วยความตื่นตกใจ
“ชิงเอ๋อร์เหตุใดเจ้าจึงมีป้ายประจำตัวพระองค์ของรุ่ยอ๋อง”
“แน่นอนว่าเป็นท่านอ๋องประทานให้เจ้าค่ะ”
หัวใจของเสวี่ยชิงเยี่ยนสั่นสะท้าน ป้ายประจำตัวของเชื้อพระวงศ์ชายนั้นล้ำค่ามาก ดังนั้นผู้เดียวที่สามารถครอบครองได้ก็คือ พระชายาเอกส่วนพระองค์
หรือว่ารุ่ยอ๋องกำลังหมายตาบุตรีของนางเป็นพระชายาเอกในอนาคต
...............................................
เมื่อกู้อิงโม่อุ้มเสวี่ยชิงเยี่ยนกลับเข้าเรือนไปแล้ว เมิ่งหว่านชิงก็เชิญหยางเทียนอี้ไปที่ศาลาด้านข้าง เพียงแต่เดินมาได้ไม่ไกลร่างเล็กก็ถูกโอบอุ้มจนตัวลอยจากพื้น “ฝ่าบาทจะทรงทำอะไรเพคะ” “ข้าเองก็หวาดกลัว อยากกลับเข้าห้องให้เจ้าปลอบโยนเช่นกัน” ได้ยินคนสูงศักดิ์ใช้อุบายเดียวกับบิดาเลี้ยงเมิ่งหว่านชิงก็อดที่จะขบขันไม่ได้ ก่อนจะสบตาเอ่ยถามสีหน้าจริงจัง “พระองค์ทำเช่นนี้คุ้มแล้วหรือเพคะ” “หากเจ้าหมายถึงเรื่องสละบัลลังก์ ตั้งแต่ต้นข้าก็ไม่เคยต้องการ” “เช่นนั้นพระองค์ต้องการอะไรกันพคะ” “ต้องการเป็นสวามีเพียงคนเดียวของเจ้า” ริมฝีปากบางยกยิ้มขบขันในทันทีที่ได้ยินความต้องการของคนตัวโต หากแต่หยางเทียนอี้กลับขมวดคิ้วแน่นด้วยท่าทีไม่ยินยอม “ชิงชิง ข้าไม่ยอมเป็นอนุหรอกนะ” คิ้วเล็กขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัยตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่นางบอกว่าจะให้เขาเป็นอนุชาย แต่เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ความสงสัยก็คลายออกในทันที “ท่านแม่ของข้าเพียงแค่เอาคืนความเจ้าเล่ห์ร้ายกาจของท่านอารองกู้เท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจให้เขาเป็นอนุจริงๆ” “ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ยินดี ชีวิตนี้ข้าจะมีเพียงเจ้าเป็นภรรยา และก็ไม่ยินยอม
หลังจากเดินออกจากท้องพระโรงหยางเทียนอี้ก็กลับไปที่ตำหนักส่วนพระองค์ บรรดาขุนนางต่างเดือดดาลและคิดว่าอย่างไรเสียเขาก็ต้องกลับมาขอร้องและยอมรับข้อเสนอของพวกตน จะมีบุรุษใดไม่รักอำนาจ ไม่ปรารถนาเป็นผู้นั่งบนบัลลังก์มังกร ดังนั้นพวกเขาแค่อดทนรออีกไม่กี่วันก็จะสามารถควบคุมหยางเทียนอี้เอาไว้ในฝ่ามือได้ เพียงแต่สิ่งที่เหล่าขุนนางคิดไม่ถึงก็คือ ตะวันไม่ทันตกดินหยางเทียนอี้ก็นำกำลังส่วนตัวควบม้าออกจากประตูเมืองตะวันออก"เกิดอะไรขึ้น นั่นไม่ใช่ฝ่าบาทของพวกเราหรือ เหตุใดพระองค์จึงออกจากเมืองอย่างกะทันหันเช่นนี้เล่า""เจ้าไม่รู้หรือไร เมื่อเช้านี้พวกขุนนางบีบบังคับให้ฝ่าบาทแต่งตั้งบุตรสาวของตนเองเป็นฮองเฮาและนางสนม พระองค์ไม่ยินยอมเป็นเครื่องมืออำนาจให้คนพวกนั้นจึงได้สละราชบัลลังก์แล้ว""สละราชบัลลังก์! เช่นนี้ต้าเซี่ยของพวกเราจะทำอย่างไร"เพียงสามวันข่าวลือเรื่องขุนนางบีบบังคับฮ่องเต้จนต้องสละราชบัลลังก์ลี้ภัยออกจากเมืองก็ถูกเล่าลือไปทั่วต้าเซี่ย ชาวเมืองต่างวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา ถึงกระทั่งบางคนยังไปรวมกลุ่มกันที่หน้าประตูจวนของขุนนางเพื่อตะโกนด่าทอและสาบแช่ง ทั่วทั้งเมืองหลวงวุ่ยวายเกิดจลาจลกล
องค์ฮ่องเต้หยางเทียนจงได้ยินว่ารุ่ยอ๋องกลับเข้าเมืองมาช่วยเมิ่งหว่านชิงก็หัวเราะเสียงดังก้องอย่างพึงพอใจ น้องชายของเขาผู้นี้เก่งกาจทั้งบุ๋นบู๊ แต่กลับเป็นเพียงบุรุษอ่อนแอ ปล่อยให้สตรีนางหนึ่งควบคุมจิตใจ หนีออกไปได้แล้วอย่างไร เขาแค่ใช้แผนการเล็กๆ น้อยๆ ล่อสตรีแซ่เมิ่งผู้นั้นเข้ามา น้องชายผู้โง่เขลาก็วิ่งกลับมาติดกับเช่นเดิม "บัลลังก์นี้เป็นของข้า ใครก็ไม่สามารถมาแย่งชิงไปได้" กล่าวจบหยางเทียนจงก็เดินผ่านประตูข้างตรงไปยังท้องพระโรง มองเก้าอี้บัลลังก์มังกรด้วยสายตาแดงก่ำ ทั้งยินดี แล้วเศร้าหมองไปพร้อมๆ กัน ภาพในวันวานสะท้อนกลับมาในความทรงจำ ครั้งหนึ่งเบื้องหน้าบนเก้าอี้มังกรตัวนี้เคยมีบิดานั่งอย่างสง่า เก้าอี้หงส์ด้านข้างก็มีมารดาผู้งดงามนั่งเคียงข้าง ทอดสายตารักใคร่อ่อนโยนมองดูเขาและหยางเทียนอี้วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน ริมฝีปากคลี่ยิ้มกว้างอ่อนโยนมองไปที่พื้นกลางห้องโถง "เสด็จพี่อุ้มๆ ข้าเจ็บ" เสียงของหยางเทียนอี้ในวัยเยาว์ยามหกล้มร้องขอให้เขาโอบอุ้มยังคงชัดเจนในความทรงจำ เพียงแต่เมื่อหลับตาลงและลืมขึ้นอีกครั้งทุกอย่างก็ล้วนจางหายเหลือเพียงห้องโถงที่ว่างเปล่าโดดเดี่ยว โดดเดี่ยวแล้ว
"นี่ไม่ใช่รุ่ยอ๋อง!"ทหารที่วิ่งนำทางเข้ามาในคุกหลวงร้องบอก เมิ่งหว่านชิงขมวดคิ้วแน่นไม่คิดว่านางวางแผนการอย่างรัดกุมถึงเพียงนี้กลับยังพลาดท่าให้กับฮ่องเต้ทรราช ดังนั้นจึงรีบสั่งให้คนของตนรีบถอยออกในทันที เพียงแต่ให้นางดำเนินการรวดเร็วมากมายเพียงใด ก็ยังคงช้ากว่าคนวางแผนการ ยามเมื่อออกพ้นประตูคุกหลวงมาก็พบว่าเบื้องหน้าถูกล้อมด้วยทหารจำนวนมาก อีกทั้งคนที่นำทหารมาจับกุมตนยังเป็น..."เกาอู๋ฮั่น!!"มือเรียวกำเข้าหากันแน่น ในชาติก่อนหลังสงครามเมืองประจิมเสร็จสิ้น นางกลับเมืองหลวงก็ถูกเขาลอบวางแผนจับตัวและสังหารอย่างโหดเหี้ยม ไม่คิดว่าในชาตินี้เหตุการณ์ก็ยังคงวนมาให้นางถูกเขาจับกุมอีกเช่นเคย"ฮูหยินคนเก่งของข้า สามีมารับกลับจวนแล้ว""ผู้ใดเป็นฮูหยินของเจ้ากัน!!"เมิ่งหว่านชิงโต้กลับเสียงแข็งกร้าวดุดัน ยิ่งคิดถึงเรื่องราวในชาติก่อน สายตาคมเรียวก็มองชายตรงหน้าด้วยความคับแค้นใจ"เมิ่งหว่านชิง เจ้าใช้สถานะฮูหยินของข้าทูลขอตรานำทัพจากฝ่าบาท เท็จทูลเอาความดีความชอบใส่ตน กล่าวหาว่าข้าเป็นคนไร้ความรับผิดชอบหนีทัพ หากไม่เพราะฮ่องเต้ทรงปรีชาและเชื่อใจตระกูลเกาตอนนี้ตระกูลเกาของข้าถูกประหารทั้งตระกูล
เหตุการณ์รุ่ยอ๋องสังหารเหอไทเฮาแพร่กระจายไปทั่วทั้งแคว้นต้าเซี่ย เมิ่งหว่านชิงที่ได้รับข่าวขบกรามแน่น ตั้งแต่ต้นตัวนางก็ไม่ไว้ใจองค์ฮ่องเต้อยู่แล้ว หากแต่ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะใช้แผนการใส่ความร้ายแรงเช่นนี้ "ท่านแม่ทัพไม่ทราบว่าท่านเรียกประชุมด่วนเช่นนี้มีเรื่องอันใดหรือขอรับ"รองแม่ทัพฉาง ที่ตอนนี้ยอมรับในตัวเมิ่งหว่านชิงแล้วเอ่ยถามด้วยความเคารพ หญิงสาวจึงหยิบป้ายบัญชาการทหารออกมาวางลงบนโต๊ะเบื้องหน้า สร้างความตื่นตกใจให้กับทุกคนเป็นอย่างยิ่งคืนป้ายบัญชาการ นี่ไม่เท่ากับนางกำลังถอนตัวจากกองทัพหรือ"ท่านแม่ทัพ นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร"รองแม่ทัพตงเอ่ยถามด้วยความร้อนรน ก่อนหน้านี้เขายอมรับว่าดูแคลนที่นางเป็นสตรี แต่หลังจากได้ร่วมทัพแม้เป็นระยะเวลาสั้นๆ กลับทำให้เขานับถือนางจากใจจริง“ข้ามีบางเรื่องต้องจัดการ ตำแหน่งแม่ทัพนี้จึงไม่อาจรับผิดชอบได้อีก"เพราะตัดสินใจที่จะเข้าเมืองไปช่วยหยางเทียนอี้ ดังนั้นเมิ่งหว่านชิงจึงไม่อาจครองตำแหน่งแม่ทัพนี้เอาไว้ได้ ดวงตาเรียวหันไปทางเซี่ยหลิงซางก่อนจะมอบจี้หยกประจำตระกูลเมิ่งและป้ายบัญชาการกองทัพบูรพาให้กับเขา"พี่ชายหลิงซาง ต่อจากนี้ขอฝากกองกำลั
“ไทเฮาเสด็จ!”เสียงรายงานดังมาจากด้านหน้าตำหนักรับรอง หยางอี้เทียนขมวดคิ้วหนา แน่นอนว่าเขาในฐานะอดีตองค์ชายการพบปะกับไทเฮานั้นเป็นเรื่องปกติ ทว่าก่อนหน้านี้เขาเป็นคนสั่งการลงทัณฑ์สังหารต้วนอ๋อง พระโอรสเพียงหนึ่งเดียวของเหอไทเฮา แน่นอนว่าด้วยเหตุและผลการพบปะครั้งนี้นับว่าเป็นเรื่องไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องวุ่นวายในภายหลัง รุ่ยอ๋องจึงให้คนออกไปปฏิเสธการเข้าพบของเหอไทเฮา“ไปทูลไทเฮาว่าข้าไม่สะดวกพบพระองค์”สายตาคมมองบรรดาขันทีนางกำนัลที่ถูกส่งมายืนนิ่งไม่ไหวติง ก็เข้าใจอย่างชัดเจนว่านี่ต้องเป็นแผนการยืมมือฆ่าคนแน่ๆ และเป็นเช่นที่เขาคาดการณ์ เมื่อประตูตำหนักรับรองถูกเปิดออก ร่างของสตรีในชุดสูงศักดิ์ปรากฏอยู่เบื้องหน้า“ไทเฮามีเรื่องต้องการสนทนากับรุ่ยอ๋องตามลำพัง พวกกระหม่อมไม่ขออยู่รบกวน ทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”พูดจบคนทั้งหมดก็ออกไปยืนที่ด้านนอกตำหนัก ปากบอกว่าไม่ต้องการรบกวน แต่การกระทำชัดเจนว่าเป็นการควบคุมให้คนทั้งสองอยู่ร่วมกันในตำหนัก“ถวายพระพรไทเฮา”“เจ้าสังหารลูกของข้ายังต้องมาเสแสร้งต่อหน้าข้าอีกทำไมกัน”เหอไทเฮากัดฟันเอ่ยเสียงสั่น สองแก้มอาบไปด้วยหยาดน้ำ สองตาแ