บทที่1.
เจ้าชายบนหอคอยกับสาวน้อยต่ำศักดิ์
ทำไมมนุษย์ถึงได้เกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ล่ะ? นั่นสินะ เราทุกคนเกิดมาบนโลกใบนี้เพื่ออะไร? เป็นคำถามที่ไม่มีคนตอบได้ ไม่มีมนุษย์คนไหนรู้ สรรพสิ่งบนโลกเกิดมาเพื่ออะไร เราทุกคนเรียนรู้การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ความเลื่อมล้ำในสังคม ล้วนแล้วแต่มนุษย์นี่แหละที่เป็นคนกำหนด ถูกแบ่งแยก ถูกกำหนดด้วยคนที่มีอำนาจมากกว่า อำนาจนั่นมาจากคนมั่งมี เขาระบุระดับชั้น แยกคนมั่งมีกับคนยากจนไว้คนละระดับกัน
แต่ในบางครั้ง...ความรักก็ชักพา ทำให้กำแพงแห่งชนชั้นถูกทำลายลง!!
ณ.ยอดตึกสูงบนอาคารรูปสามเหลี่ยม
บนเตียงขนาดใหญ่มีร่างเปลือยเปล่าของคนสองคนที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอย่างเร่าร้อน เสียงลมหายใจที่ดังผ่านโพรงจมูกเหมือนเสียงลมหายใจของกระทิงหนุ่มที่มากไปด้วยพละกำลัง ลำตัวมันปราบเต็มไปด้วยคราบเหงื่อที่ผุดซึมออกมาตามรูขุมขน เนื่องจากความร้อนในร่างกายผลักดันออกมา
“ได้โปรดแม็ก ฆ่าฉันให้ตายได้เลยค่ะ!”
ร่างอวบอุ่นเกร็งตัวยกขึ้นสูง สะโพกผายส่ายร่อนตอบรับการโจนจ้วงของชายคนที่ตนเองพร่ำวิงวอนอย่างยินดี
แม็กซิมัส โจนส์ ยิ้มมุมปาก ดวงตาคมกริบวาววับ
เขาคือ มหาเศรษฐีหนุ่มเจ้าของร้านอาหารชื่อดังที่มีสาขาเกือบทั่วโลก ‘Little Jones Restaurants.’ เป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลใหญ่อย่างโจนส์ กิจการหลายอย่างที่คนในตระกูลถือครอง แต่แม็กซิมัสก็ยังขวนขวายหางานใหม่เพิ่มเรื่อยๆ ตามประสาคนมีไฟ
มุมปากสีเข้มกระตุกยิ้ม ขณะกระแทกสะโพกสอดความขึ้งเครียดแทรกลึกลงไปในกลีบสวาทให้แรงเร็วยิ่งขึ้น เขาโยกสะโพกสวนใส่สุดแรงเกิด ขยับร่างกายอย่างเมามันสุดแรงตามอารมณ์หนุ่มที่กำลังพลุ่งพล่าน โหมความกระสันซ่านสาดซัดใส่ความแน่นหนึบแบบไม่ออมแรง กางมือขยำเนินเนื้ออวบหยุนจนเต่งเต้ายู่ยี่ เนื้ออวบอัดปลิ้นออกมาตามง่ามนิ้ว แต่เจ้าตัวกลับยิ้มหวานให้ รีบกระดกลำตัวแอ่นความอวบอิ่มเสนอสนองให้อย่างเต็มใจ
แรงอัดกระแทกดังก้องห้องกว้าง พึ่บ! พึ่บ! เสียงครวญครางดังประสานเสียงคำราม
ก่อนจะจบลงเมื่อพายุอารมณ์ลูกใหญ่ถูกปลดปล่อย...
แม็กซิมัสเบี่ยงกายลงจากเตียงนอน เขาฉวยเสื้อคลุมสีน้ำตาลไหม้มาคลุมร่างเปลือย ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้บุนวมริมระเบียง คว้าแก้วคริสตัสเนื้อดีที่มีน้ำสีอำพันติดก้นแก้วขึ้นมากระดกดื่มแก้กระหาย สายตาคมกริบตวัดผ่านเรือนกายอรชรที่นอนแผ่อ้าอร่างฉ่าง คู่ขาอวบอั๋นนอนหอบหายใจระโหยอยู่กลางเตียงด้วยสภาพชวนสังเวท ด้วยแววตาเฉยชา
เขาชักสายตากลับมา ทอดมองวิวเบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยแสงไฟยามค่ำคืน บนอาณาจักรที่ตนเองเป็นเจ้าของ
ข้อมือล่ำสันถูกยกขึ้นสูง เขาเพ่งมองหน้าปัดนาฬิกาโรแล็กซ์ เพื่อดูเวลา พร้อมกับเสียงโทรศัพท์ส่วนตัวก็ดังขึ้น
ตืด...
ชายหนุ่มกดรับ “ถึงเวลานัดแล้วครับเจ้านาย” เสียงทุ้มเรียบจากปลายสาย
“อืม...” แม็กซิมัสครางรับ เขากดวาง ก่อนจะโยนโทรศัพท์เครื่องนั้นไว้บนโต๊ะตัวเดิม
หลังประตูห้องน้ำปิดงับลง ประตูหน้าก็ถูกดันเปิดเข้ามา แม่สาวทรงโตผวารีบกระชากผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวไว้ พลางส่งสายตาไม่พอใจมองคนมาใหม่ที่ยืนหน้านิ่งอยู่ปลายเตียง
“ไม่มีมารยาท!” เสียงหวานใสกระซิบดุ
“เธอควรรีบแต่งตัว แล้วออกไปจากที่นี่...ก่อนที่เจ้านายของผมจะออกมาดีกว่านะครับ”
คำแนะนำที่หวังดีสุดๆ มันแฝงไว้ด้วยคำเตือน เมื่อกิตติศัพท์ของแม็กซิมัสใครๆ ก็รู้ดีถึงความเจ้าอารมณ์ ชายหนุ่มมีสมญานามว่า ‘ซาตาน’ ด้วยใบหน้าถมึงทึงน่าเกรงขาม บวกกับความมั่งมีที่ทำให้คนอย่างเขานึกอยากทำอะไรก็ได้ โดยไม่มีใครกล้าต่อสู้
ดูเหมือนว่าหล่อนจะพอรู้ อาการลนลานที่เกิดขึ้นหลังได้ยินคำเตือน หล่อนฉวยชุดเดรสสีอ่อนที่หล่นอยู่บนพื้นขึ้นมาสวมลวกๆ ก่อนจะกระโจนลงจากวิมานที่ทอดกายนอนอยู่เกือบ30นาทีด้วยความเร็วที่สุด เท่าที่ตนเองจะทำได้
คาร์ล ล้วงกระดาษชิ้นเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ยื่นให้แม่สาวหน้าตื่นที่ยืนอยู่ด้านข้าง
หล่อนตะครุบหมับเกือบเหมือนเป็นการกระชาก จากนั้นสีหน้าตื่นๆ ก็เปลี่ยนไป แววตาสดใสระยิบระยับ ทันทีที่มองเห็นจำนวน ‘เงิน’ ที่ระบุอยู่บนกระดาษชิ้นนั้น
หล่อนรีบยัดกระดาษลงไปในร่องอก เดินนำหน้าคาร์ลตรงไปยังลิฟต์ ก้าวเข้าไปด้านในโดยไม่ต้องรอให้คาร์ลสั่งซ้ำ ก่อนประตูลิฟต์ปิด “หากเมื่อไหร่ที่แม็กต้องการ เรียกใช้ฉันได้ทุกเวลานะคะคุณ”
การ์ดหนุ่มโครงศีรษะให้กับประตูลิฟต์ที่ปิดงับลง เขาเดินย้อนกับไปที่เดิม ยืนรออยู่ด้านนอกอย่างสงบ
แม็กซิมัสดันประตูให้เปิด เขาอยู่ในชุดหรูเตรียมพร้อม เนี๊ยบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า รองเท้าหนังมันวับสะท้อนภาพผู้ชายที่หล่อเหลาปานเทพบุตร ใบหน้าคมคายเด่นสะดุดตา แม้จะบึ้งไปสักนิด แต่ก็ยังดูดีจนสาวๆ เหลียวมอง
“คุณลอร่ารออยู่ที่ห้องอาหารครับ”
คาร์ลโน้มตัวรายงาน ขณะที่ลิฟต์เคลื่อนตัวลงจากชั้นสูงสุด ไปยังห้องอาหารชื่อดังที่แม็กซิมัสเป็นเจ้าของ
ลอร่า บาร์ว บุตรีของรัฐมนตรีคนสำคัญของพรรคการเมืองชื่อดังที่ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐบาลในสมัยนี้
คู่หมายที่มีการทาบทามกันมาระยะหนึ่ง แต่แม็กซิมัสยังไม่ตกลงใจ เมื่อเขารู้ดี บิดาของฝ่ายหญิงตั้งใจใช้เขาเป็นบันไดเพื่อก้าวข้ามขึ้นไปดำรงตำแหน่งสำคัญยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อแม็กซิมัสมีฐานการเงินที่แน่นปั๋ง! สามารถดันให้ตนเองก้าวถึงฝันได้สำเร็จ และแม็กซิมัสรู้ตัวดี เขาคิดทบทวนผลได้ผลเสียหลายตลบ เมื่อผลประโยชน์ที่ได้รับนั้นอาจจะทำให้กระทบกระเทือนความมั่นคงของตนเอง ชายหนุ่มจึงยังรีๆ รอๆ เพื่อตรึกตรองให้ถี่ถ้วนกว่านี้
สิ่งแรกที่แม็กซิมัสมองเห็น ทันทีที่เดินผ่านประตูห้องอาหารเข้าไป ลอร่าโบกมือให้ มีรอยยิ้มเต็มหน้าหวาน
ชายหนุ่มพยักหน้าให้บริกรที่โค้งตัวจนศีรษะแทบติดพื้น คาร์ลถอยหลังเดินไปนั่งโต๊ะเยื้องๆ กับเจ้านาย ที่นั่น มีการ์ดรุ่นหนุ่มนั่งอยู่ก่อนแล้ว2-3 คน
“คุณมาสาย” เสียงกระเง้ากระงอด กับรอยยิ้มที่หุบฉับ ทันทีที่แม็กซิมัสทิ้งตัวลงนั่งด้านข้าง
มุมปากสีเข้มมีรอยยิ้มเล็กน้อย เขาสอดมือเข้าไปในอกเสื้อ ล้วงกล่องแบนๆ สีน้ำเงินเข้มออกมายื่นส่งให้สาวเจ้า
ลอร่าเบิกตาโต สร้อยเพรชเส้นเล็กๆ สะท้องแสงไฟอยู่ตรงกลางกล่อง ถึงจะไม่ใช่เพชรน้ำงามเม็ดใหญ่เท่าไข่ห่าน แต่มันคือของกำนัลชิ้นแรกที่แม็กซิมัสมอบให้เธอ
“ผมเสียเวลาหาเจ้านี่มาให้คุณ มันน่าจะเหมาะกับคุณนะ”
ชายหนุ่มกล่าวเสียงทุ้ม ผสมกับรอยยิ้มจางๆ มุมปาก ทำให้อาการตะบึงตะบอนของลอร่าจางหายไปทันที
“สวยค่ะ แต่จะดีกว่านี้ ถ้าคุณเป็นคนสวมให้ฉันด้วย”
ในขณะที่ฝั่งอเมริกาหลายคนกำลังกลุ้มใจ ฝั่งเมืองไทยกลับมีแต่งานฉลอง แม้ทิชาจะมีความเศร้าค้างอยู่ในหัวใจนิดๆ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนในครอบครัว หรือญาติสนิทมิตรสหายที่ทยอยมาแสดงความยินดี เธอก็ยิ้มได้เต็มหน้า ทั้งปากและนัยน์ตาเกือบหนึ่งอาทิตย์กับการกินเลี้ยง มีผู้ใหญ่ใจดีหลายท่าน เปิดบ้านเพื่อเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของเธอ ทิชามัวแต่วุ่นวายกับการเดินสายกิน เธอเกือบลืมผู้ชายคนนั้นเลยด้วยซ้ำ ถ้าประภาไม่โทรศัพท์ทางไกลมาหา“ถึงบ้านแล้วใช่ไหมทีร่า?” เสียงที่ปนความห่วงใยดังผ่านสายโทรศัพท์มา“ค่ะพี่แอ้...มีอะไรหรือเปล่าคะ? โทร. ทางไกลมาแบบนี้แพงตายเลย”หญิงสาวไม่วายบ่น แม้จะรู้สึกดีใจก็ตาม ค่าโทรศัพท์ข้ามประเทศแพงหูฉี่ขนาดไหน ทิชารู้ดี ในบางครั้งที่ความอ้างว้างกัดกินหัวใจ เธอเคยคิดจะกดโทรศัพท์หาบิดา-มารดาขอได้ยินเสียงของท่าน เพื่อเติมเต็มความเหงา แต่เมื่อดูราคาในการสื่อสาร หญิงสาวต้องตัดใจทุกครั้ง เพราะมันเท่ากับค่าข้าวในหนึ่งอาทิตย์ของเธอเลยทีเดียว“เปล่า! พี่เป็นห่วงทีร่านะ ตอนนี้พี่เปิดร้านเหมือนเดิมแล้วนะ”
บทที่12.ทางเลือกสุดท้าย กับหัวใจที่เป็นเดิมพัน“มีอะไรไหมคาร์ล?” แม็กซิมัสเงยหน้าจากแฟ้ม มองลูกน้องคนสนิทที่มีท่าทางกังวล เขายกมือกดลงตรงหว่างคิ้ว เมื่อรู้สึกวิงเวียนขึ้นมาดื้อๆ “คุณเดเนียลนัดเจ้านายไว้ครับ เที่ยงตรง” คาร์ลตอบ พร้อมกับก้มหน้าหลบตาเจ้านาย “ตอนไหน? ทำไมฉันจำไม่ได้” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว พยายามนึก แต่นึกยังไงก็ไม่ออก “เมื่อคืนนี้ครับ...เจ้านายคงเมา” คาร์ลตอบเสียงสำรวม “อืม...มันได้บอกไหมว่าเรื่องอะไร?” เดเนียลเป็นเพื่อนคนเดียวที่ไม่ชอบความวุ่นวาย เขาร่ำรวยพอๆ กับตนเอง แต่เป็นแกะดำสำหรับคนในครอบครัว เมื
ชายหนุ่มล้วงออกมากดรับทันที เมื่อปลายสายคือเจ้านายที่ตนเองกำลังมองหา “สแตนด์บายรถรอฉันหน่อย อีก5นาทีฉันจะลงไป” เสียงห้วนสั่งงานแล้วก็กดวางทันที คาร์ลสั่งงานการ์ดคนอื่นให้สแตนด์บายรถยนต์คันโปรดรอเจ้านาย ส่วนเขาลงไปทำหน้าที่แทนเจ้านายกับการแก้ปัญหาที่ภัตตาคารสี่สิบนาทีต่อมา... ไนต์คลับชื่อดังที่เจ้าของชื่อเดเนียลก็มีโอกาสได้รับใช้แม็กซิมัส หลังจากที่เขาหายหน้าหายตาไปกว่า3เดือนบรั่นดีดีกรีแรงที่สุดเท่าที่ทางร้านพอจะหาได้ถูกยกมาเสิร์ฟให้กับมหาเศรษฐีหนุ่มบริกรรินบรั่นดีใส่แก้วแทบไม่ทัน เมื่อลูกค้า VVIP ตรงหน้าดื่มจัดเหมือนดื่มน้ำเปล่า เขามองตามน้ำสีอำพันที่ไหลผ่านปากสีเข้มของลูกค้าเข้าไป ด้วยความรู้สึกกลัวแทน...เรือนร่างบอบบางในชุดเดรสเข้ารูปสีแดงสด มีส่วนโค้งและเว้าแนบไปกับเรือนร่างอวบอัด เรียกสายตาของหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ให้หันมามองตามๆ กันเป็นแถว หล่อนเด
บทที่11.หนีสุดหล้าชั้นบนสุดของตึกรูปสามเหลี่ยม... เวลา 18:00 น. ร่างสูงภูมิฐานในชุดสูทเต็มยศ ดูสง่าและแข็งแกร่งราวกับอัศวินที่เป็นคนที่กษัตริย์ไว้ใจ ชายหนุ่มยืนเหม่ออยู่ข้างกระจกใส ภายในห้องขนาดใหญ่ที่เขาใช้สำหรับบัญชาการ สายตาคมดุทอดมองออกไปด้านนอก ผ่านกระจกใสๆ เพื่อดูท้องฟ้ายามเย็นที่ม่านราตียามค่ำกำลังคืบคลานเข้ามา และแสงไฟจากท้ายรถยนต์ พาดไปพาดมานับล้านๆ เป็นเส้นสายเหมือนเกลียวเชือกที่ม้วนทบกันจนเป็นเส้นทางเขาถอนใจแรงๆ เมื่อรู้สึกอ้างว้างในใจเป็นครั้งแรกก่อนจะนึกไปถึงคำพูดของเดเนียล...ที่โทร. มาสอบถามเมื่อหลายชั่วโมงก่อน“แม็ก...คุณจะเอาไงต่อกับเรื่องของทีร่า”นั่นสินะ เขาเองก็ตัดสินใจไม่ถูก...นาทีแรกที่ลืมตาตื่นและควานหาหล่อนไม่เจอ...โกรธ! เขาไม่เคยถูกผู้หญิงทิ้งไว้บนเตียงกว้างเพียงลำพังนี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขาถูกทิ้ง...ดังนั้นสิ่งที่ค้างอยู่ในใจคือความโหยหามันอาจจะเป็นเพราะว่ารสรัก ระหว่างกันยังไม
ฝ่ามือร้อนผ่าวลากผ่านลำคอเรียว จนไปถึงเนินเนื้อกลางอก เขาลูบคลำ หยอกเย้าปลายยอดหดเกร็งอย่างทะนุถนอม ปลายนิ้วชี้คีบจงอยถันนุ่มอุ่นดึงเข้าหาตัวแรงๆ ก่อนปล่อยเสียงครางพึมพำในลำคอแกร่ง แสดงถึงความพึงใจที่เขามี“อย่าห้ามผมเลย ทีร่า...” เขาพึมพำเสียงทุ้ม หลังจากถอนจูบออกจากเรียวปากได้รูปอย่างจำใจ“พะ...พอแล้วค่ะ ฉะ ฉัน” ทิชาร้องห้ามเสียงแผ่วเบา พลางก้มหน้างุดด้วยความสะเทิ่นสะท้าน รสสัมผัสร้อนแรงนั้นยังตกค้างอยู่บนผิวกาย ร่างอวบอัดสั่นสะท้าน เมื่อเปลวไฟพิศวาสเริ่มกัดกินเธออีกครั้ง นิ้วเรียวสวยยกช้อนใต้ปลายคาง พร้อมทั้งเกลี่ยปลายนิ้วไปตามริมฝีปากชุ่มช่ำของทิชา “เธอมีความสุขเหมือนที่ผมมีใช่ไหมทีร่า อย่าปฏิเสธเลยนะ” แม็กซิมัสถาม พร้อมทั้งพูดดักคอเพื่อไม่ให้ทิชาปฏิเสธ เขายิ้มหวานใส่ตาคนตัวเล็ก ที่เอาแต่เบือนหลบท่าเดียว เขามองความเขินอายที่ถูกระบายออกมาจากภายใน เป็นริ้วแดงๆ ข้างแก้ม กับผิวกายที่ร้อนวูบวาบใต้ฝ่ามือเขา ช่วยยืนยันว่า ทิชาเอง...ก็พอใจกับความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น“ไม่นะ!” ทิชาแข็งใจกล่าวปฏิเสธ เธอไม่ได้ยินดีกับการพลี
“ยัยตัวเล็ก! เธอตื่นอยู่ใช่ไหมหึ?” แม็กซิมัสวางถาดอาหารเช้าไว้บนโต๊ะเตี้ยๆ ใกล้ตัว เขาทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ เตียงนอนแล้วสะกิดคนที่นอนคลุมโปงอยู่เบาๆทิชาแสร้งนอนนิ่งไม่ไหวติง ‘พระเจ้า!’ เธอร่ำร้องหาพระเจ้าในใจ จากนี้ไปเธอจะมองหน้าผู้ชายคนนี้ยังไงล่ะ“เธอตื่นแล้ว เพราะฉะนั้นลุกขึ้นมาซะดีๆ เธอหิวผมรู้” มหาเศรษฐีหนุ่มพูดกลั้วเสียงหัวเราะ เขาโน้มตัวลงใกล้ๆ พอให้ได้ยินเสียงท้องของทิชาร้องครางเบาๆสาวเอเชียตัวเล็ก อายจนหน้าแดง เธอสอดมือวางบนหน้าท้อง พร้อมทั้งตะโกนด่าเจ้ากระเพาะอาหารของตนเองในใจ อะไรมันจะทำงานเที่ยงตรงปานนั้น ตรงเวลาเปะๆ เมื่อทิชาปฏิบัติตัวจนชิน อาหารเช้าสำคัญกับร่างกาย เธอเลยมักจะกินข้าวเช้าตั้งแต่เช้าตรู่“อย่ามายุ่งกับฉัน ไปไหนก็ไปเถอะ!” ทิชาแสร้งทำเป็นโกรธ เพราะเธอกำลังใช้ความโกรธปกปิดความอาย“อะไรนะ! เมื่อกี้...เธอพูดว่าอะไรนะยัยเตี้ย?” แม็กซิมัสถามกลับทิชาเกือบคำราม เธอกำมือแน่น เมื่อคำเรียกของชายหนุ่มแสลงหูจนสุดจะทน “ฉั