เมื่อคุณหนูใหญ่ลงมาจากรถม้าโดยมีสาวใช้ประคองอยู่ไม่ห่าง ทว่าพวกเขาแทบจะแยกไม่ออก ว่าผู้ใดคือนาย ผู้ใดคือบ่าว เพราะแทบจะมองไม่เห็นถึงความแตกต่าง มีเพียงหน้าตาและผิวพรรณที่พอจะแยกออกได้บ้าง
‘นี่หรือคือคุณหนูใหญ่แห่งจวนท่านราชครู เหตุใดถึงไม่ต่างจากขอทานข้างถนนเลยสักนิด เสื้อผ้าขาดวิ่น เทียบไม่ได้แม้กระทั่งเสื้อผ้าของบ่าวไพร่ในเรือนเลยแม้แต่น้อย หรือข่าวที่ได้บอกกล่าวก่อนหน้านั้นจะไม่ใช่เรื่องจริง ที่บอกว่าฮูหยินใหญ่แห่งจวนราชครูตัดขาดทางโลก เดินทางแสวงบุญพร้อมกับลูกสาวคนโตที่มีจิตใจกตัญญู ขอติดตามมารดาเพื่อลิ้มรสพระธรรม’
ทางด้านฮูหยินรอง จางซื่อ ถึงกับกัดฟันกรอด เมื่อเห็นสภาพของลูกเลี้ยงไม่ต่างอะไรกับขอทาน เป็นแบบนี้นางจะปล่อยให้ไปพบกับฮูหยินผู้เฒ่าได้อย่างไร
“หลี่เจียว คารวะฮูหยินรอง ท่านอาสะใภ้ ลูกอกตัญญูที่ปล่อยให้ผู้ใหญ่มายืนตากไอเย็นรอ” หลี่เจียวเดินไปถึง เห็นแม่เลี้ยงยืนรออยู่ ภายในใจนึกขัน คนพวกนี้ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด แม้ว่าอากาศจะหนาวเหน็บเพียงใด ทว่าหน้าตาก็ยังคงสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดอยู่ดี
“คุณหนูใหญ่ เหตุใดถึงได้พิลึกพิลั่นใส่เสื้อผ้าเช่นนี้ ข้างนอกอากาศหนาว รีบเข้าไปคุยข้างในเถอะ” จางซื่อ หรือฮูหยินรอง รีบเข้ามาประคองลูกเลี้ยง แม้ว่าภายในใจจะนึกรังเกียจ ที่เด็กสาวเนื้อตัวสกปรกมอมแมมไม่เหลือเค้าโครงคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์
หลี่เจียวกวาดสายตาครู่หนึ่ง กลับไม่พบน้องสาว ผู้ซึ่งอายุห่างกันเพียงช่วงเดือนเท่านั้น หากจำไม่ผิดในครั้งก่อน นางคงจะอยู่ที่ห้องฝ่ายในกับฮูหยินผู้เฒ่า จากนั้นก็แสดงบทบาทน้องสาวพี่สาว ที่พลัดพรากจากกันมานานหลายปี จนทำให้ทุกคนต่างพากันสงสาร เข้าไปปลอบโยนนางกันเสียยกใหญ่ ราวกับว่าเป็นหยกล้ำค่า ที่กำลังจะบุบสลายหากต้องลม
เมื่อเข้ามาภายในจวน นับว่าโอ่อ่าสมฐานะท่านราชครูของรัชทายาท ก็นึกสมเพชในวาสนาของตน และแค้นใจแทนมารดา ที่ด่วนจากไปเพราะทนพิษป่วยเรื้อรังไม่ไหว
เดิมทีมารดาของนางเป็นลูกหลานชนชั้นสูง ท่านตาของนางเป็นถึงหมอหลวงประจำพระวรกายของฮ่องเต้ แต่เป็นเพราะชีวิตส่วนใหญ่อยู่แต่ภายในวังหลวง จึงยากที่จะส่งข่าวให้ท่านตาทราบได้ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับมารดาบ้าง คิดมาถึงจุดนี้ก็รู้สึกราวกับมีก้อนบางอย่างมาจุกในลำคอ พานให้น้ำตาจะไหลโดยไม่รู้ตัว
“หลี่เจียว คารวะฮูหยินผู้เฒ่า หลานอกตัญญูไม่สามารถอยู่ปรนนิบัติดูแลผู้อาวุโสได้ ขอให้ฮูหยินผู้เฒ่าได้โปรดลงโทษด้วย” หลี่เจียวคุกเข่าคำนับอยู่ที่พื้น เห็นว่าบนตั่งนั่งนั้นมีใครนั่งอยู่
นางไม่สามารถเรียก ท่านย่า ได้อย่างสนิทสนมเหมือนเมื่อก่อน เนื่องจากว่าคนในจวนราชครูนี้ ไม่มีใครหวังดีกับตนอย่างจริงใจสักคน กระทั่งผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นท่านย่าของนางเองก็ตาม
“อืม ลุกขึ้นเถอะ เจียวเจียวเข้ามาใกล้ๆ มาให้ย่าได้มองหน้าหลานให้ชัดๆ เถิด”
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ถึงกับตะลึง ดวงตาเบิกกว้าง เมื่อได้เห็นสภาพของหลานสาวคนโต อดไม่ได้ที่จะหันไปมองลูกสะใภ้ด้วยสายตาตำหนิ จากนั้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ลูกชายคนโตตัดสินใจไม่ผิด ให้หลานสาวที่ท่านเลี้ยงอยู่ข้างกายมานานหลายปี สลับตัวไปแทนหลานสาวคนโต
เดิมทีท่านเองก็รู้สึกผิดต่อหลานสาวคนโตเป็นอย่างมาก เพราะถึงอย่างไรในใจท่านก็รู้สึกผูกพันกับหลี่เจียว เนื่องจากว่าเป็นหลานคนแรก ย่อมมีน้ำหนักในใจมากกว่า แต่เพราะวันเวลาทำให้ทั้งสองต้องห่างกัน กอปรกับถูกความอ่อนโยน ออดอ้อนของหลานสาวคนรองเข้ามาแทนที่ จึงเกิดความลำเอียงโดยไม่รู้ตัว
“บ่าวไร้ความสามารถ ไม่สามารถเกลี้ยกล่อมคุณหนูใหญ่ให้เปลี่ยนอาภรณ์ใหม่ที่จัดเตรียมไปได้ ขอฮูหยินได้โปรดลงโทษบ่าวด้วยเจ้าค่ะ” ทันใดนั้นแม่บ้านใหญ่ก็คุกเข่าลง หลี่เจียวหันไปมองนางด้วยหางตา
หึ ไม่สามารถเกลี้ยกล่อมนางได้อย่างนั้นหรือ แบบนี้ก็เท่ากับว่า การที่นางใส่เสื้อผ้าไม่ต่างจากขอทานเข้ามาในจวนราชครู ก็เป็นเพราะนางดื้อรั้น ไม่รับน้ำใจของคนตระกูลหลี่อย่างนั้นหรือ
“หลี่เจียว” ฮูหยินผู้เฒ่ายังคงรักษาสีหน้าเรียบเฉย ตามแบบฉบับฮูหยินตราตั้งได้อย่างสง่าผ่าเผย จนเมื่อครั้งก่อนนางถึงกับหลงเชื่อเสียสนิทใจ ว่าท่านย่าผู้นี้หวังดีกับตนเองมากที่สุด แท้จริงแล้วไม่ใช่เช่นนั้นเลย
“เรียนฮูหยินผู้เฒ่า หลานขออนุญาตชี้แจง” หลี่เจียวพูดขออนุญาตอย่างรู้ความ ด้วยเข้าใจอย่างถ่องแท้ ว่าท่านย่าของนางนั้นเคร่งครัดในกฎระเบียบมากเพียงใด
“เจ้าพูดมาเถอะ” ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต
“ตั้งแต่ที่แม่บ้านไปถึงหมู่บ้าน ก็เร่งให้ออกเดินทางโดยไม่หยุดพัก ตลอดการเดินทางยี่สิบวันที่ผ่านมา เปลี่ยนม้าไปสิบตัวเห็นจะได้ หลานและสาวใช้ติดตามไม่รู้ความ ไม่ทันได้เก็บข้าวของ ก็ต้องรีบเร่งขึ้นรถม้าจากมา ระยะทางยากลำบาก หิมะตกหนักตลอดทาง ดีที่ภายในรถม้ามีเตาพกพอให้ช่วยคลายหนาว ส่วนเสื้อผ้าที่จัดเตรียมไป แม่บ้านคงพูดผิดกระมัง เพราะตั้งแต่ที่หลานอยู่บนรถม้า จนกระทั่งในตอนนี้ มีเพียงเสื้อคลุมกันหนาวตัวเดียวที่อยู่บนตัวของนางเท่านั้น หลานเห็นว่านางอาจจะหนาวมาก ด้วยร่างกายที่ร่วงโรยไปตามกาลเวลา ทั้งยังทำท่าเสียดายเมื่อต้องถอดเสื้อคลุมให้กับหลานตอนที่อยู่หน้าจวน จึงไม่อาจที่จะรังแกคนสนิทของฮูหยินรองได้เจ้าค่ะ” หลี่เจียวพูดโดยไม่เว้นช่องว่างให้อีกฝ่ายแก้ตัวใด ๆ
“จริงเจ้าค่ะ บ่าวก็ไม่เห็นว่าจะมีเสื้อผ้าตามที่แม่บ้านบอกเลยสักนิด” ฉินซินสาวใช้คนสนิทพูดตบท้าย เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ให้เจ้านาย
“เจ้านายกำลังพูด ขี้ข้าอย่างเจ้าพูดแทรกได้หรือ” แม่บ้านหันมาถลึงตาใส่สาวใช้ของหลี่เจียว
“นั่นสิ ฉินซิน เจ้านายยังไม่อนุญาต เจ้าก็ไม่ควรที่จะเสียมารยาทพูดแทรก ไม่มีสาวใช้ผู้ดีที่ไหนทำกัน” หลี่เจียว แม้ว่าจะหันหน้าไปบอกกล่าวตักเตือนสาวใช้ของตน แต่แท้จริงแล้วจงใจว่ากระทบแม่บ้าน ทั้งที่นางก็เป็นเพียงบ่าวรับใช้คนหนึ่ง เพียงถือตนว่าเป็นคนสนิทของฮูหยินรอง จึงทึกทักเอาเองว่าอยู่สูงกว่าบ่าวไพร่ทั่วไป
ฮูหยินรองกระแอมเพื่อเตือนสติแม่บ้านคนสนิท ซึ่งพ่วงตำแหน่งเป็นแม่นม ที่เลี้ยงดูนางมาตั้งแต่ยังเด็กอีกด้วย นางจึงรักและให้เกียรติแม่นมไม่ต่างจากญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง
เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ก็ถูกเด็กคนนี้ถอนหงอกไปไม่รู้ตั้งกี่รอบ น่าเจ็บใจยิ่งนัก ฮูหยินรองได้แต่รำพึงคนเดียวในใจพร้อมทั้งกำมือแน่น
“คารวะพี่ใหญ่ ถิงถิงเสียมารยาท ไม่ได้ทำความเคารพพี่ใหญ่ ตั้งแต่แรก ขอพี่ใหญ่ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วย” หลี่ถิง ช่วยมารดาแก้ไขสถานการณ์ อาศัยว่าตนเป็นหลานรักของท่านย่ามานาน จึงไม่เคยเห็นหัวพี่น้องคนอื่นมานานแล้ว
“น้องรองกล่าวเกินไปแล้ว บุตรสาวบัณฑิต ผู้ที่อยู่แต่ในจวนราชครู ผ่านการอบรมจากอาจารย์ชื่อดัง จะทำเรื่องไร้มารยาทเทือกนั้นได้อย่างไรกัน เป็นข้าเองต่างหากที่เสียมารยาท ทำให้ทุกคนที่จวนต้องวุ่นวายตั้งแต่มาถึง” หลี่เจียวพูดเนิบนาบ กล่าวโทษตนเองว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ทว่าสิ่งที่นางพูดนั้นทำเอาหลี่ถิงแทบกระอักเลือดออกมา เพราะเมื่อครู่เป็นนางเองที่เสียมารยาทไม่ออกไปต้อนรับ และทำความเคารพพี่สาวคนโต
เมื่อร่างหนาล้มตัวลงนอน ซูเจียวก็นอนลงบ้างเช่นเดียวกัน แม้จะเตรียมตัวมาบ้างแล้ว ทว่านางก็ยังรู้สึกเกร็งอยู่มากเลยทีเดียว ไม่คิดไม่ฝันว่าบุรุษผู้นี้จะยังเลือกนางอยู่เห็นเขานอนสงบนิ่งไม่ไหวติง นางจึงใจกล้าขยับมือของตนเองไปสัมผัสฝ่ามือหยาบที่ร้อนผ่าว จากนั้นทั้งสองก็ประสานมือเข้าด้วยกัน ซูเจียวรู้สึกพอใจไม่น้อยกับท่าทางเช่นนี้ แต่ยังไม่ทันจะหลับตา ร่างหนาที่คิดว่าหลับไปแล้วก็พลิกตัวขึ้นคร่อมร่างของนางเอาไว้“องค์รัชทายาท” ซูเจียวเรียกชื่อเขาเสียงแผ่วเบา“ท่านพี่ อยู่ด้วยกันสองคนให้เจ้าเรียกข้าว่าท่านพี่ดังเช่นฮูหยิน จวนอื่นเรียกขานกัน อยู่กับเจ้าสองคนข้าก็จะเรียกเจ้าว่าฮูหยินเช่นเดียวกัน” เซ่าหมิงหยวนสบดวงตาดอกท้อคู่นั้น ใบหน้าของทั้งสองห่างกันเพียงลมหายใจกั้นเท่านั้น กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของใบชา ทำให้สมองของนางกระจ่างแจ้ง“เจ้าค่ะ ท่านพี่”สิ้นคำนั้นริมฝีปากร้อนที่อยู่ด้านบนก็เข้ามาประกบริมฝีปากหวานในทันที ความเร็วในการรุกล้ำเข้ามานั้นเริ่มจากจังหวะช้าเนิบนาบ ผ่านไปสักพักก็เพิ่มความหิวกระหายเข้าไป จนทำเอาสตรีใต้ร่างหายใจแทบไม่ทันเมื่อเห็นว่านางเริ่มประท้วง เขาก็ผ่อนแรงลง ละริมฝีปากออก แทะเ
หลังจากที่ผ่านเรื่องราวความวุ่นวายมากมาย ก็ใกล้จะถึงกำหนดการวันอภิเษกสมรส ระหว่างองค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่สกุลหลี่ ซึ่งตอนหลังคนอื่นจะเรียกนางคุณหนูสกุลซู เนื่องจากหมอหลวงซูประกาศชัดเจนว่าหลี่เจียวเข้ามาเป็นคนของสกุลซู ชื่อของนางก็คือ ซูเจียว ซึ่งนางก็ชอบมากเช่นเดียวกันราชครูหลี่รู้ตัวว่าหมดความสำคัญในราชสำนัก อีกทั้งยังถูกหักหน้าเช่นนั้น ไม่สามารถอยู่ต่อในราชสำนักได้อีก จึงเขียนฎีกาลาออกยื่นถวายแด่ฮ่องเต้ ซึ่งเป็นไปตามคาด พระองค์ไม่ทรงคัดค้านเรื่องการลาออกของเขาเลยสักนิด“เจ้าลูกโง่ ลาออกก็แล้วไปเถิด เหตุใดต้องออกจากเมืองหลวง ไปด้วยเล่า” ฮูหยินผู้เฒ่าสู้ฟันฝ่ามาจนถึงขั้นนี้แล้ว นางไม่มีทางกลับไปตายที่บ้านเกิดให้คนอื่นหัวเราะเยาะเป็นอันขาดชื่อเสียงเงินทองที่สะสมมา ต้องพังพินาศเพราะสองแม่ลูกนั่น บัดนี้นางเพิ่งหูตาสว่าง หากไม่ใช่เพราะถูกจางซื่อเป่าหู มีหรือผู้เฒ่าหูตาพร่ามัวเช่นนางจะหน้ามืดเพียงนี้“ท่านแม่ เป็นเช่นนี้ถือว่าฮ่องเต้ทรงเมตตาแล้ว รัชทายาทแสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบพวกเรา ขืนทู่ซี้อยู่มีแต่จะเจ็บตัวเปล่า ๆ อีกอย่างเจียวเอ๋อร์ก็มีใจออกห่างจากพวกเรานานแล้ว หลายเดือนมานี้ที่น
เนื่องจากว่าก่อนหน้านี้ได้กระอักเลือดออกมาแล้วรอบหนึ่ง ทำให้ครั้งนี้อาการของชินอ๋องน่าเป็นห่วง อีกทั้งหนึ่งเดือนที่ผ่านมาพักผ่อนน้อย ทั้งยังสู้รบ ทำให้ร่างกายและพละกำลังถดถอย“เจ้า” ชินอ๋องไม่มีแม้กระทั่งแรงจะเรียกชื่อหลานชายเสียด้วยซ้ำ“แต่ไม่ต้องห่วง เวลานี้บุตรชายที่รักของท่าน กำลังรออยู่ที่คุกหลวง โทษฐานลอบสังหารรัชทายาทเช่นข้า ท่านอาจจะคิดว่าเขานิสัยไม่เหมือนท่าน แต่ข้ากลับคิดว่า เขากล้าหาญกว่าท่านมากนัก เพราะกว่าที่ท่านจะกล้าลงมือก็นานนับสิบปี ตีเหล็กต้องตีตอนที่ยังร้อนเหมือนที่สวีเฮ่าทำ เพราะ ถ้ามัวแต่รอแบบท่าน สุดท้ายแล้ว เมื่อเหล็กเส้นนั้นหายร้อน นอกจากตีเป็นดาบไม่ได้ ปล่อยไว้นานวันเข้าสนิมก็เริ่มเกาะกิน เหมือนเช่นภายในใจท่านที่เกิดความลังเล” ดวงตาเซ่าหมิงหยวนฉายแววเหี้ยมโหดออกมา“ฮ่า ๆ อ๋องอย่างข้า ไม่จำเป็นต้องให้เด็กเมื่อวานซืนอย่างเจ้ามาชี้นำ หากพวกเจ้าสองพ่อลูกไม่ใช้แผนสกปรก มีหรือที่ข้าจะพ่ายแพ้ คนแพ้ไม่สามารถเรียกร้องสิ่งใดได้ ระหว่างข้ากับเจ้า ไม่สามารถอยู่ร่วมโลกกันได้ วันนี้ข้าผู้เป็นอ๋องอยู่ไม่สู้ตาย”พูดจบเซ่าเยี่ยนก็สั่งทหารที่ซุ่มอยู่โจมตีในทันที ทั้งสองฝ่ายต่าง
ข่าวเรื่องอาการบาดเจ็บขององค์รัชทายาท ต่างคาดเดาไปต่าง ๆ นานา เนื่องจากว่าฮ่องเต้ทรงมีรับสั่ง ห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าเยี่ยมโดยเด็ดขาด แม้กระทั่งเสวียนกุ้ยเฟยและพระคู่หมั้นอย่างคุณหนูใหญ่สกุลหลี่เรื่องนี้ค่อนข้างเป็นประเด็นถกเถียงกันในราชสำนัก เหล่าขุนนางต่างหยิบยกถึงความมั่นคงของการสืบทอดบัลลังก์มาพูดกัน“เหลวไหล รัชทายาทบาดเจ็บ พวกเจ้าไม่เพียงไม่แสดงความภักดี แต่ยังแสดงออกว่าไม่เชื่อมั่นในสายตาของเราผู้เป็นฮ่องเต้ อีกอย่างเรายังไม่ตาย พวกเจ้าก็กังวลกันไปใหญ่โต เช่นนี้จะให้เราคิดเป็นอื่นได้อย่างไร” ฮ่องเต้ทรงพิโรธหนัก เหล่าขุนนางอกสั่นขวัญแขวนด้วยความกลัว รีบคุกเข่าขอความเมตตา ด้วยรู้ดีว่าโอรสสวรรค์ผู้นี้อารมณ์แปรปรวนยิ่งกว่าสตรี“ขอฝ่าบาทอย่าทรงพิโรธ พวกเราเพียงแต่คิดเผื่อเอาไว้เท่านั้น พ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายพูดขึ้น“ความหวังดีของพวกท่านเรารับรู้ เพียงแต่อยากขอให้พวกท่านอย่าได้กังวล รัชทายาทบาดเจ็บครั้งนี้ โทษของตำหนักชินอ๋องยากเกินให้อภัยได้ จำเป็นต้องรีบจับกุมตัวชินอ๋องเข้ามารับโทษไปพร้อมกับคนในตำหนัก”ทางด้านรัชทายาทเซ่าหมิงหยวน แท้จริงแล้วเขาออกจากวังตั้งแต่คืนที่ได้รับบาดเจ็บแ
เซ่าหมิงหยวนแม้ว่าจะรวดเร็วเพียงใด แต่ก็ยังได้รับบาดเจ็บจนได้ หนำซ้ำยังเป็นธนูที่อาบยาพิษอีกด้วยฮ่องเต้ทราบข่าวทรงพิโรธหนัก เร่งส่งองครักษ์เสื้อแพรพร้อมทั้งทหารในวังเข้าล้อมตำหนักชินอ๋องในทันที ไม่มีผู้ใดสามารถออกมาได้ ซื่อจื่อถูกขังไว้ในคุกหลวงรอวันลงอาญาจากนั้นออกราชโองการแต่งตั้งองค์ชายแปดเป็นองค์รัชทายาท พร้อมทั้งออกประกาศติดไปทั่วทั้งเมืองหลวง ตำหนักชินอ๋องก่อกบฏ ลอบสังหารองค์รัชทายาท มีโทษประหารเก้าชั่วโคตรข่าวนี้ค่อนข้างเป็นที่ฮือฮาของชาวเมืองหลวง ทุกคนต่างเก็บตัวเงียบ ปิดประตูบ้านเรือน ไม่มีแม้กระทั่งสัตว์สักตัวเดินอยู่บนถนนมีเพียงทหารเวรยามเดินสวนไปสวนมา เพื่อรักษาความสงบเท่านั้นทางด้านจวนราชครูต่างอกสั่นขวัญแขวนไปกับข่าวที่ได้ยิน ด้วยไม่คิดว่าซื่อจื่อจะกล้ากระทำการอุกอาจเช่นนี้ แม้กระทั่งชินอ๋องยังไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน“สวรรค์ นับว่าสกุลหลี่ยังพอมีวาสนาอยู่บ้าง หากเกี่ยวดองกับตำหนักอ๋อง มีหวังได้ถูกประหารเก้าชั่วโคตรไปด้วย” ฮูหยินผู้เฒ่ากลัวจนตัวสั่นเมื่อได้ยินข่าวจากบุตรชาย“ข้ายังต้องเร่งเข้าวัง ครั้งนี้ฝ่าบาททรงพิโรธหนัก องค์รัชทายาท ถูกพิษบาดเจ็บสาหัส น่าแปล
พริบตาเดียวอีกเพียงสามวัน ก็ถึงวันงานอภิเษกสมรสระหว่าง องค์หญิงเก้าและซื่อจื่อ ทว่าที่ตำหนักชินอ๋องกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆหลายวันที่ผ่านมานี้ พ่อบ้านอยากจะกรอกยาพิษใส่ปากตัวเอง วันละหลายร้อยรอบ ทว่ากลับทำไม่ลง เนื่องจากสงสารซื่อจื่อ อยู่ไม่สู้ตาย หลายวันที่ผ่านมาเขาจึงเป็นคนจัดการเตรียมงานทุกอย่าง ดีที่มีคนจากในวังเข้ามาช่วยจัดการ ทำให้ทุกอย่างเป็นระเบียบมากขึ้นงานอภิเษกองค์หญิงออกนอกวัง ไม่ยุ่งยากเท่ากับการรับพระชายาเข้าวัง เนื่องจากแต่งออกไปแล้วก็ถือว่าเป็นคนของตำหนักชินอ๋อง ถึงอย่างนั้นขั้นตอนและพิธีการต่าง ๆ ก็ถือว่าซับซ้อนมากกว่าคนทั่วไปมากนัก“ซื่อจื่อ องค์ชายแปดมาขอรับ” ต้าหลางลนลานเข้ามารายงาน“อืม” เขาไม่แปลกใจที่เห็นเซ่าหมิงหยวนมาที่นี่ ด้วยความสามารถของอีกฝ่ายแล้ว ย่อมสามารถหลบหลีกสายตาของเหล่าองครักษ์เงาได้เป็นอย่างดีเซ่าหมิงหยวนเดินเข้ามาในห้องหนังสือ แท้จริงแล้วภายในห้องนี้ ยังมีเส้นทางลับสำหรับออกไปข้างนอก ซึ่งเขาก็ใช้ทางลับนี้เข้ามายังที่นี่ด้วยเช่นกัน เดิมทีคิดว่าญาติผู้น้องคนนี้ต้องหาทางติดต่อกับเขา แต่กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายเก็บตัวเงียบ ยอมทำตามคำสั่งของชิน