หลังจากการทักทายอย่างดุเดือดจบลง และการสนทนาในครั้งนี้ หลี่เจียวก็ตั้งใจเปิดศึกให้คนเหล่านั้นได้รู้ว่า ตนจะไม่มีวันยอมเหมือนที่ผ่านมาเป็นอันขาด
ในเมื่อนางกลับถึงเรือนหลังใหญ่ที่เคยเป็นที่พำนักของตนและมารดา บัดนี้ถูกคนบ้านรองยึดครองไปเสียแล้ว ยังดีที่มารดาเลี้ยงยังคงรักษาหน้าตาอันดีงามของตนเองเอาไว้ สั่งให้คนงานจัดเตรียมเรือนทางฝั่งตะวันออกที่มีสวนดอกไม้งดงามเอาไว้ให้ และนางเองก็ชอบเรือนหลังนี้อยู่ไม่น้อยเพราะทั้งเงียบสงบและหลีกหนีความวุ่นวาย
หลี่เจียวในชาติก่อน ถูกเนรเทศออกนอกจวนไปยังบ้านเกิดของบิดาตั้งแต่ยังเล็ก โชคดีที่มารดาเป็นสตรีที่ผ่านการเลี้ยงดูเฉกเช่นคุณหนูชนชั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นความสามารถทางด้านใดที่สตรีพึงมี นางต่างได้ร่ำเรียนจากมารดามาจนหมดสิ้น ทว่าในตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องแสดงความสามารถเหล่านั้นออกมา ปล่อยให้พวกเขาเข้าใจว่านางเป็นเพียงสตรีบ้านนอกที่เพิ่งเข้ามาในเมืองหลวงดีกว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
จากนั้นไม่นาน สาวใช้ในเรือนใหญ่ก็ส่งเสื้อผ้าสำเร็จรูปเนื้อผ้าชั้นดีมาให้นาง ช่วงนี้อากาศหนาวมากจึงไม่คิดปฏิเสธ สิ่งที่ควรจะเป็นของตนมาตั้งแต่ต้นก็ควรที่จะรับเอาไว้
“น้ำใจฮูหยินรอง หลี่เจียวจะจดจำให้ขึ้นใจ” หลี่เจียวบอกผ่านสาวใช้ถึงน้ำใจของมารดาเลี้ยงที่นำเสื้อผ้าและของใช้ชั้นดีมามอบให้
“ฮูหยินใหญ่ เอ่อ...ฮูหยินรองยังฝากความมาบอกอีกว่า ให้คุณหนูใหญ่พักผ่อนให้สบายอารมณ์ อีกสักครู่จะตามช่างฝีมือดีจากร้านหรูอี้เข้ามาตัดชุดให้คุณหนูใหม่เจ้าค่ะ” สาวใช้นำความมาบอก เสร็จหน้าที่ของตนแล้วจึงขอตัวกลับ
ทว่าก่อนกลับยังอดที่จะทิ้งสายตาดูแคลนคุณหนูใหญ่แห่งจวนราชครูไม่ได้ หากเป็นคุณหนูรอง คงจะตกรางวัลให้ตนไม่น้อยที่สามารถเชิญช่างวัดตัวจากร้านหรูอี้มาได้ หึ คุณหนูใหญ่อย่างนั้นหรือ? ช่างไม่มีสง่าราศีใดเอาเสียเลย
“อืม” หลี่เจียวตอบรับสั้นๆ จากนั้นก็ส่งสายตาให้ฉินซินส่งแขก
นางยังไม่มีสาวใช้ประจำตัว เดิมทีคุณหนูใหญ่จะต้องมีสาวใช้ขั้นหนึ่งข้างกาย 2 คน และสาวใช้ขั้นสองอีก 3 คน สาวใช้ขั้นสาม 2 คน
นึกไม่ถึงว่า หลังจากที่นางอาบน้ำชำระร่างกายเสร็จเรียบร้อย สาวใช้หน้าตาจิ้มลิ้มจำนวนมากก็เข้าแถวอยู่ในห้องโถงของเรือนนางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เดิมทีอยากจะเอนหลังพักสายตาสักหน่อย คิดไม่ถึงว่าเรื่องยุ่งยากก็เข้ามาหานางเสียแล้ว
“เรียนคุณหนูใหญ่ สาวใช้เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ฮูหยินรองให้ข้าเป็นธุระจัดการเรื่องนี้เจ้าค่ะ เชิญคุณหนูเลือกสาวใช้ที่ถูกชะตา” แม่นมคนสนิทของฮูหยินรองพูดขึ้น จากนั้นก็แนะนำสาวใช้ทีละคน แต่ถึงจะบอกชื่อไป พวกนางเหล่านั้นก็จะต้องได้รับการตั้งชื่อใหม่อยู่ดี
หลี่เจียวมองสาวใช้ทีละคนอย่างพินิจพิจารณา ถึงอย่างไรก็จะต้องอยู่ร่วมกัน จึงจำเป็นต้องเลือกอย่างดี แต่ละคนที่นางเลือกล้วนเป็นสาวใช้ที่เพิ่งซื้อมาได้ไม่นานด้วยกันทั้งนั้น
ทางด้านแม่นมได้แต่ลอบยกมุมปากคนเดียวในใจ กาก็ยังคงเป็นกาอยู่ คุณหนูใหญ่ผู้สูงศักดิ์เมื่อครั้งวันวานคงไม่มีอีกต่อไปแล้ว ถึงได้เลอะเลือนเลือกสาวใช้ที่เพิ่งซื้อตัวมาอบรมได้ไม่นาน แทนที่จะเลือกสาวใช้ที่เกิดและเติบโตมาในจวนแห่งนี้ พวกนางย่อมต้องรู้กฎและธรรมเนียมของที่นี่เป็นอย่างดี
หลี่เจียวไม่สนใจธรรมเนียมหรือกฎการเลือกใด ๆ ทั้งสิ้น นางในตอนนี้คือคนตายแล้วเกิดใหม่ ครั้งก่อนนางเลือกสาวใช้ที่เกิดและโตในจวนแห่งนี้ แต่แล้วอย่างไรเล่า พวกเขาต่างหักหลังนางด้วยกันทั้งสิ้น เพราะคนเหล่านั้นล้วนเป็นคนของมารดาเลี้ยง ไม่สู้เลือกสาวใช้ที่ถูกซื้อตัวมาไม่นานยังจะดีเสียกว่า อย่างน้อย ๆ ก็ยังมิเคยได้รับใช้ และสมัครปักใจที่จะซื่อสัตย์กับเจ้านายคนอื่น
กิริยามารยาทล้วนแต่สอนกันได้ เพราะนางเองจำกฎของจวนได้ขึ้นใจตั้งแต่อายุ 3-4 ขวบ ใครบอกว่าการเป็นบุตรสาวของภรรยาเอกนั้นเป็นเรื่องง่าย ยิ่งนางที่เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว ทั้งยังต้องแบกหน้าตาของจวนราชครู ที่มีความรู้ความสามารถ เป็นทั้งอาจารย์ที่เคยพร่ำสอนฮ่องเต้ และยังเป็นราชครูขององค์รัชทายาท ยิ่งต้องทำตัวเป็นแบบอย่างแก่สตรีชนชั้นสูง
ถึงกระนั้น นางยังติดตามบิดาเข้าวังอยู่บ่อย ๆ มีโอกาสไปร่ำเรียนเป็นพระสหายขององค์หญิง และพบกับบุรุษผู้นั้น ผู้ที่นางหลงลืมมองข้ามเขาไป จนกระทั่งในตอนนี้ นางต้องการกลับมาเพื่อชดเชยกับสิ่งที่ทำลงไป
“เอาละ ที่เหลือก็กลับไปเถิด” หลี่เจียวโบกมือเบาๆ เพื่อให้สาวใช้ที่เหลือกลับไป
สาวใช้ทุกคนต่างตกอยู่ในอาการอึ้ง เพราะต่างคาดหวังว่าจะต้องถูกเลือกเป็นสาวใช้ประจำตัวของคุณหนูใหญ่ คิดไม่ถึงว่าคุณหนูใหญ่จะเลอะเลือนไปชั่วขณะ ถึงขั้นไม่เลือกสาวใช้ในเรือนเลยสักคน ทว่าอย่างไรนางก็เป็นเจ้านาย โวยวายไปก็เท่านั้น จึงได้แต่ก้มหน้า ถอยหลังเดินจากไปอย่างเป็นระเบียบ
“นี่เป็นเบี้ยของเดือนนี้ และเบี้ยชดเชยตลอดสิบปีที่ผ่านมาเจ้าค่ะ ฮูหยินรองรู้สึกผิดกับคุณหนูใหญ่มาตลอด ทุกวันเฝ้าอ้อนวอนขอนายท่าน เพื่อที่จะได้ลดโทษให้เรียกตัวคุณหนูกลับมา ในที่สุดคำขอของฮูหยินก็เป็นจริง” แม่บ้านพูดความดีของจางซื่อ ที่นางเฝ้าเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก ๆ
แม้จะเป็นบุตรของอนุ แต่ก็เป็นอนุของจวนกั๋วกง มีอันใดไม่เหมาะสมที่จะขึ้นมาเป็นฮูหยินใหญ่ของจวนราชครู น่าเจ็บใจตรงที่ตำแหน่งฮูหยินใหญ่ของจวนเว้นว่างมาเกือบสิบปี ตั้งแต่ที่สองแม่ลูกถูกเนรเทศออกไป ทว่ากลับไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ สำหรับตำแหน่งนี้แม้แต่น้อย
“เอาละแม่บ้าน ท่านเองก็เดินทางมาเหน็ดเหนื่อย สมควรแก่เวลาที่จะไปพักผ่อน น้ำใจที่ฮูหยินรองหยิบยื่นให้ ข้ารับไว้ด้วยความซาบซึ้งใจ ฉินซิน ส่งแขก” หลี่เจียวไม่มีอารมณ์ที่จะนั่งฟังแม่นมผู้ซื่อสัตย์ พูดพร่ำถึงความดีของมารดาเลี้ยงได้ หากว่ารู้สึกผิดจริง เหตุใดถึงส่งเพียงบ่าวรับใช้มา ไม่มาด้วยตนเองเล่า เพียงเท่านี้ก็ดูออกแล้วว่ารู้สึกเช่นไร
ทว่าไม่ทำก็ดูจะไม่เหมาะสมไปสักหน่อย หากฮูหยินผู้เฒ่าสอบถามถึงการดูแลที่ปฏิบัติต่อนาง ก็ยังพอจะเป็นหน้าเป็นตาให้ได้บ้างกระมัง
เบี้ยรายเดือน เบี้ยชดเชยตลอดสิบปีอย่างนั้นหรือ
ในถุงแดงที่หนักอึ้งนั้น มองดูก็รู้ว่าเป็นเบี้ยหวัดจำนวนไม่น้อย ปล่อยให้คนพวกนั้นเสวยสุขมายาวนานเพียงนี้ ถึงเวลาทวงทุกอย่างที่เป็นของนางกลับคืนมาแล้ว
“คุณหนูเจ้าคะ สาวใช้พวกนี้จะให้ทำอย่างไรดีเจ้าคะ” ฉินซินถาม
แม้ว่าจะเกิดที่จวน แต่เพราะติดตามคุณหนูไปตั้งแต่อายุยังน้อย หากจะว่าไปแล้ว นางเองก็เพิ่งจะอายุสิบหกปีเท่านั้น แก่กว่าคุณหนูแค่หนึ่งปี นางเลยทำตัวไม่ถูก เมื่อมีสาวใช้จำนวนมากกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ต่อหน้าเช่นนี้
“ค่อย ๆ ดูไปก่อนเถิดยังไม่ต้องรีบ ดูว่าผู้ใดเหมาะสม และถนัดทางด้านใด หลังจากนั้นอีกสองสัปดาห์ ข้าถึงจะบอกว่าผู้ใดเป็นสาวใช้ขั้นใดกันบ้าง” หลี่เจียวคร้านจะสนใจเรื่องเหล่านี้ มอบหมายให้สาวใช้คนสนิท พ่วงตำแหน่งพี่สาวผู้ร่วมทุกข์กับนางมานานหลายปีเป็นคนจัดการ
มารดาจากไปได้สามปีแล้ว ก่อนมาที่นี่ หลี่เจียวเองก็เพิ่งจะออกจากช่วงไว้ทุกข์ เพื่อแสดงความกตัญญู จะว่าไปแล้วก็ช่างเหมาะกับช่วงนี้ที่ทางวังหลวงได้ทวงสัญญาจากท่านตาของนางเสียจริง
หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ หลี่เจียวได้รับการบำรุงเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน ของบำรุงร่างกายที่ทางเรือนใหญ่ส่งมาให้ไม่ขาดสาย นางรู้สึกว่าร่างกายที่ผ่ายผอมเริ่มมีน้ำมีนวลมากขึ้น ไม่เป็นหนังหุ้มกระดูกเดินได้แล้ว
เมื่อร่างหนาล้มตัวลงนอน ซูเจียวก็นอนลงบ้างเช่นเดียวกัน แม้จะเตรียมตัวมาบ้างแล้ว ทว่านางก็ยังรู้สึกเกร็งอยู่มากเลยทีเดียว ไม่คิดไม่ฝันว่าบุรุษผู้นี้จะยังเลือกนางอยู่เห็นเขานอนสงบนิ่งไม่ไหวติง นางจึงใจกล้าขยับมือของตนเองไปสัมผัสฝ่ามือหยาบที่ร้อนผ่าว จากนั้นทั้งสองก็ประสานมือเข้าด้วยกัน ซูเจียวรู้สึกพอใจไม่น้อยกับท่าทางเช่นนี้ แต่ยังไม่ทันจะหลับตา ร่างหนาที่คิดว่าหลับไปแล้วก็พลิกตัวขึ้นคร่อมร่างของนางเอาไว้“องค์รัชทายาท” ซูเจียวเรียกชื่อเขาเสียงแผ่วเบา“ท่านพี่ อยู่ด้วยกันสองคนให้เจ้าเรียกข้าว่าท่านพี่ดังเช่นฮูหยิน จวนอื่นเรียกขานกัน อยู่กับเจ้าสองคนข้าก็จะเรียกเจ้าว่าฮูหยินเช่นเดียวกัน” เซ่าหมิงหยวนสบดวงตาดอกท้อคู่นั้น ใบหน้าของทั้งสองห่างกันเพียงลมหายใจกั้นเท่านั้น กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของใบชา ทำให้สมองของนางกระจ่างแจ้ง“เจ้าค่ะ ท่านพี่”สิ้นคำนั้นริมฝีปากร้อนที่อยู่ด้านบนก็เข้ามาประกบริมฝีปากหวานในทันที ความเร็วในการรุกล้ำเข้ามานั้นเริ่มจากจังหวะช้าเนิบนาบ ผ่านไปสักพักก็เพิ่มความหิวกระหายเข้าไป จนทำเอาสตรีใต้ร่างหายใจแทบไม่ทันเมื่อเห็นว่านางเริ่มประท้วง เขาก็ผ่อนแรงลง ละริมฝีปากออก แทะเ
หลังจากที่ผ่านเรื่องราวความวุ่นวายมากมาย ก็ใกล้จะถึงกำหนดการวันอภิเษกสมรส ระหว่างองค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่สกุลหลี่ ซึ่งตอนหลังคนอื่นจะเรียกนางคุณหนูสกุลซู เนื่องจากหมอหลวงซูประกาศชัดเจนว่าหลี่เจียวเข้ามาเป็นคนของสกุลซู ชื่อของนางก็คือ ซูเจียว ซึ่งนางก็ชอบมากเช่นเดียวกันราชครูหลี่รู้ตัวว่าหมดความสำคัญในราชสำนัก อีกทั้งยังถูกหักหน้าเช่นนั้น ไม่สามารถอยู่ต่อในราชสำนักได้อีก จึงเขียนฎีกาลาออกยื่นถวายแด่ฮ่องเต้ ซึ่งเป็นไปตามคาด พระองค์ไม่ทรงคัดค้านเรื่องการลาออกของเขาเลยสักนิด“เจ้าลูกโง่ ลาออกก็แล้วไปเถิด เหตุใดต้องออกจากเมืองหลวง ไปด้วยเล่า” ฮูหยินผู้เฒ่าสู้ฟันฝ่ามาจนถึงขั้นนี้แล้ว นางไม่มีทางกลับไปตายที่บ้านเกิดให้คนอื่นหัวเราะเยาะเป็นอันขาดชื่อเสียงเงินทองที่สะสมมา ต้องพังพินาศเพราะสองแม่ลูกนั่น บัดนี้นางเพิ่งหูตาสว่าง หากไม่ใช่เพราะถูกจางซื่อเป่าหู มีหรือผู้เฒ่าหูตาพร่ามัวเช่นนางจะหน้ามืดเพียงนี้“ท่านแม่ เป็นเช่นนี้ถือว่าฮ่องเต้ทรงเมตตาแล้ว รัชทายาทแสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบพวกเรา ขืนทู่ซี้อยู่มีแต่จะเจ็บตัวเปล่า ๆ อีกอย่างเจียวเอ๋อร์ก็มีใจออกห่างจากพวกเรานานแล้ว หลายเดือนมานี้ที่น
เนื่องจากว่าก่อนหน้านี้ได้กระอักเลือดออกมาแล้วรอบหนึ่ง ทำให้ครั้งนี้อาการของชินอ๋องน่าเป็นห่วง อีกทั้งหนึ่งเดือนที่ผ่านมาพักผ่อนน้อย ทั้งยังสู้รบ ทำให้ร่างกายและพละกำลังถดถอย“เจ้า” ชินอ๋องไม่มีแม้กระทั่งแรงจะเรียกชื่อหลานชายเสียด้วยซ้ำ“แต่ไม่ต้องห่วง เวลานี้บุตรชายที่รักของท่าน กำลังรออยู่ที่คุกหลวง โทษฐานลอบสังหารรัชทายาทเช่นข้า ท่านอาจจะคิดว่าเขานิสัยไม่เหมือนท่าน แต่ข้ากลับคิดว่า เขากล้าหาญกว่าท่านมากนัก เพราะกว่าที่ท่านจะกล้าลงมือก็นานนับสิบปี ตีเหล็กต้องตีตอนที่ยังร้อนเหมือนที่สวีเฮ่าทำ เพราะ ถ้ามัวแต่รอแบบท่าน สุดท้ายแล้ว เมื่อเหล็กเส้นนั้นหายร้อน นอกจากตีเป็นดาบไม่ได้ ปล่อยไว้นานวันเข้าสนิมก็เริ่มเกาะกิน เหมือนเช่นภายในใจท่านที่เกิดความลังเล” ดวงตาเซ่าหมิงหยวนฉายแววเหี้ยมโหดออกมา“ฮ่า ๆ อ๋องอย่างข้า ไม่จำเป็นต้องให้เด็กเมื่อวานซืนอย่างเจ้ามาชี้นำ หากพวกเจ้าสองพ่อลูกไม่ใช้แผนสกปรก มีหรือที่ข้าจะพ่ายแพ้ คนแพ้ไม่สามารถเรียกร้องสิ่งใดได้ ระหว่างข้ากับเจ้า ไม่สามารถอยู่ร่วมโลกกันได้ วันนี้ข้าผู้เป็นอ๋องอยู่ไม่สู้ตาย”พูดจบเซ่าเยี่ยนก็สั่งทหารที่ซุ่มอยู่โจมตีในทันที ทั้งสองฝ่ายต่าง
ข่าวเรื่องอาการบาดเจ็บขององค์รัชทายาท ต่างคาดเดาไปต่าง ๆ นานา เนื่องจากว่าฮ่องเต้ทรงมีรับสั่ง ห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าเยี่ยมโดยเด็ดขาด แม้กระทั่งเสวียนกุ้ยเฟยและพระคู่หมั้นอย่างคุณหนูใหญ่สกุลหลี่เรื่องนี้ค่อนข้างเป็นประเด็นถกเถียงกันในราชสำนัก เหล่าขุนนางต่างหยิบยกถึงความมั่นคงของการสืบทอดบัลลังก์มาพูดกัน“เหลวไหล รัชทายาทบาดเจ็บ พวกเจ้าไม่เพียงไม่แสดงความภักดี แต่ยังแสดงออกว่าไม่เชื่อมั่นในสายตาของเราผู้เป็นฮ่องเต้ อีกอย่างเรายังไม่ตาย พวกเจ้าก็กังวลกันไปใหญ่โต เช่นนี้จะให้เราคิดเป็นอื่นได้อย่างไร” ฮ่องเต้ทรงพิโรธหนัก เหล่าขุนนางอกสั่นขวัญแขวนด้วยความกลัว รีบคุกเข่าขอความเมตตา ด้วยรู้ดีว่าโอรสสวรรค์ผู้นี้อารมณ์แปรปรวนยิ่งกว่าสตรี“ขอฝ่าบาทอย่าทรงพิโรธ พวกเราเพียงแต่คิดเผื่อเอาไว้เท่านั้น พ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายพูดขึ้น“ความหวังดีของพวกท่านเรารับรู้ เพียงแต่อยากขอให้พวกท่านอย่าได้กังวล รัชทายาทบาดเจ็บครั้งนี้ โทษของตำหนักชินอ๋องยากเกินให้อภัยได้ จำเป็นต้องรีบจับกุมตัวชินอ๋องเข้ามารับโทษไปพร้อมกับคนในตำหนัก”ทางด้านรัชทายาทเซ่าหมิงหยวน แท้จริงแล้วเขาออกจากวังตั้งแต่คืนที่ได้รับบาดเจ็บแ
เซ่าหมิงหยวนแม้ว่าจะรวดเร็วเพียงใด แต่ก็ยังได้รับบาดเจ็บจนได้ หนำซ้ำยังเป็นธนูที่อาบยาพิษอีกด้วยฮ่องเต้ทราบข่าวทรงพิโรธหนัก เร่งส่งองครักษ์เสื้อแพรพร้อมทั้งทหารในวังเข้าล้อมตำหนักชินอ๋องในทันที ไม่มีผู้ใดสามารถออกมาได้ ซื่อจื่อถูกขังไว้ในคุกหลวงรอวันลงอาญาจากนั้นออกราชโองการแต่งตั้งองค์ชายแปดเป็นองค์รัชทายาท พร้อมทั้งออกประกาศติดไปทั่วทั้งเมืองหลวง ตำหนักชินอ๋องก่อกบฏ ลอบสังหารองค์รัชทายาท มีโทษประหารเก้าชั่วโคตรข่าวนี้ค่อนข้างเป็นที่ฮือฮาของชาวเมืองหลวง ทุกคนต่างเก็บตัวเงียบ ปิดประตูบ้านเรือน ไม่มีแม้กระทั่งสัตว์สักตัวเดินอยู่บนถนนมีเพียงทหารเวรยามเดินสวนไปสวนมา เพื่อรักษาความสงบเท่านั้นทางด้านจวนราชครูต่างอกสั่นขวัญแขวนไปกับข่าวที่ได้ยิน ด้วยไม่คิดว่าซื่อจื่อจะกล้ากระทำการอุกอาจเช่นนี้ แม้กระทั่งชินอ๋องยังไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน“สวรรค์ นับว่าสกุลหลี่ยังพอมีวาสนาอยู่บ้าง หากเกี่ยวดองกับตำหนักอ๋อง มีหวังได้ถูกประหารเก้าชั่วโคตรไปด้วย” ฮูหยินผู้เฒ่ากลัวจนตัวสั่นเมื่อได้ยินข่าวจากบุตรชาย“ข้ายังต้องเร่งเข้าวัง ครั้งนี้ฝ่าบาททรงพิโรธหนัก องค์รัชทายาท ถูกพิษบาดเจ็บสาหัส น่าแปล
พริบตาเดียวอีกเพียงสามวัน ก็ถึงวันงานอภิเษกสมรสระหว่าง องค์หญิงเก้าและซื่อจื่อ ทว่าที่ตำหนักชินอ๋องกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆหลายวันที่ผ่านมานี้ พ่อบ้านอยากจะกรอกยาพิษใส่ปากตัวเอง วันละหลายร้อยรอบ ทว่ากลับทำไม่ลง เนื่องจากสงสารซื่อจื่อ อยู่ไม่สู้ตาย หลายวันที่ผ่านมาเขาจึงเป็นคนจัดการเตรียมงานทุกอย่าง ดีที่มีคนจากในวังเข้ามาช่วยจัดการ ทำให้ทุกอย่างเป็นระเบียบมากขึ้นงานอภิเษกองค์หญิงออกนอกวัง ไม่ยุ่งยากเท่ากับการรับพระชายาเข้าวัง เนื่องจากแต่งออกไปแล้วก็ถือว่าเป็นคนของตำหนักชินอ๋อง ถึงอย่างนั้นขั้นตอนและพิธีการต่าง ๆ ก็ถือว่าซับซ้อนมากกว่าคนทั่วไปมากนัก“ซื่อจื่อ องค์ชายแปดมาขอรับ” ต้าหลางลนลานเข้ามารายงาน“อืม” เขาไม่แปลกใจที่เห็นเซ่าหมิงหยวนมาที่นี่ ด้วยความสามารถของอีกฝ่ายแล้ว ย่อมสามารถหลบหลีกสายตาของเหล่าองครักษ์เงาได้เป็นอย่างดีเซ่าหมิงหยวนเดินเข้ามาในห้องหนังสือ แท้จริงแล้วภายในห้องนี้ ยังมีเส้นทางลับสำหรับออกไปข้างนอก ซึ่งเขาก็ใช้ทางลับนี้เข้ามายังที่นี่ด้วยเช่นกัน เดิมทีคิดว่าญาติผู้น้องคนนี้ต้องหาทางติดต่อกับเขา แต่กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายเก็บตัวเงียบ ยอมทำตามคำสั่งของชิน