หลังจากการทักทายอย่างดุเดือดจบลง และการสนทนาในครั้งนี้ หลี่เจียวก็ตั้งใจเปิดศึกให้คนเหล่านั้นได้รู้ว่า ตนจะไม่มีวันยอมเหมือนที่ผ่านมาเป็นอันขาด
ในเมื่อนางกลับถึงเรือนหลังใหญ่ที่เคยเป็นที่พำนักของตนและมารดา บัดนี้ถูกคนบ้านรองยึดครองไปเสียแล้ว ยังดีที่มารดาเลี้ยงยังคงรักษาหน้าตาอันดีงามของตนเองเอาไว้ สั่งให้คนงานจัดเตรียมเรือนทางฝั่งตะวันออกที่มีสวนดอกไม้งดงามเอาไว้ให้ และนางเองก็ชอบเรือนหลังนี้อยู่ไม่น้อยเพราะทั้งเงียบสงบและหลีกหนีความวุ่นวาย
หลี่เจียวในชาติก่อน ถูกเนรเทศออกนอกจวนไปยังบ้านเกิดของบิดาตั้งแต่ยังเล็ก โชคดีที่มารดาเป็นสตรีที่ผ่านการเลี้ยงดูเฉกเช่นคุณหนูชนชั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นความสามารถทางด้านใดที่สตรีพึงมี นางต่างได้ร่ำเรียนจากมารดามาจนหมดสิ้น ทว่าในตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องแสดงความสามารถเหล่านั้นออกมา ปล่อยให้พวกเขาเข้าใจว่านางเป็นเพียงสตรีบ้านนอกที่เพิ่งเข้ามาในเมืองหลวงดีกว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
จากนั้นไม่นาน สาวใช้ในเรือนใหญ่ก็ส่งเสื้อผ้าสำเร็จรูปเนื้อผ้าชั้นดีมาให้นาง ช่วงนี้อากาศหนาวมากจึงไม่คิดปฏิเสธ สิ่งที่ควรจะเป็นของตนมาตั้งแต่ต้นก็ควรที่จะรับเอาไว้
“น้ำใจฮูหยินรอง หลี่เจียวจะจดจำให้ขึ้นใจ” หลี่เจียวบอกผ่านสาวใช้ถึงน้ำใจของมารดาเลี้ยงที่นำเสื้อผ้าและของใช้ชั้นดีมามอบให้
“ฮูหยินใหญ่ เอ่อ...ฮูหยินรองยังฝากความมาบอกอีกว่า ให้คุณหนูใหญ่พักผ่อนให้สบายอารมณ์ อีกสักครู่จะตามช่างฝีมือดีจากร้านหรูอี้เข้ามาตัดชุดให้คุณหนูใหม่เจ้าค่ะ” สาวใช้นำความมาบอก เสร็จหน้าที่ของตนแล้วจึงขอตัวกลับ
ทว่าก่อนกลับยังอดที่จะทิ้งสายตาดูแคลนคุณหนูใหญ่แห่งจวนราชครูไม่ได้ หากเป็นคุณหนูรอง คงจะตกรางวัลให้ตนไม่น้อยที่สามารถเชิญช่างวัดตัวจากร้านหรูอี้มาได้ หึ คุณหนูใหญ่อย่างนั้นหรือ? ช่างไม่มีสง่าราศีใดเอาเสียเลย
“อืม” หลี่เจียวตอบรับสั้นๆ จากนั้นก็ส่งสายตาให้ฉินซินส่งแขก
นางยังไม่มีสาวใช้ประจำตัว เดิมทีคุณหนูใหญ่จะต้องมีสาวใช้ขั้นหนึ่งข้างกาย 2 คน และสาวใช้ขั้นสองอีก 3 คน สาวใช้ขั้นสาม 2 คน
นึกไม่ถึงว่า หลังจากที่นางอาบน้ำชำระร่างกายเสร็จเรียบร้อย สาวใช้หน้าตาจิ้มลิ้มจำนวนมากก็เข้าแถวอยู่ในห้องโถงของเรือนนางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เดิมทีอยากจะเอนหลังพักสายตาสักหน่อย คิดไม่ถึงว่าเรื่องยุ่งยากก็เข้ามาหานางเสียแล้ว
“เรียนคุณหนูใหญ่ สาวใช้เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ฮูหยินรองให้ข้าเป็นธุระจัดการเรื่องนี้เจ้าค่ะ เชิญคุณหนูเลือกสาวใช้ที่ถูกชะตา” แม่นมคนสนิทของฮูหยินรองพูดขึ้น จากนั้นก็แนะนำสาวใช้ทีละคน แต่ถึงจะบอกชื่อไป พวกนางเหล่านั้นก็จะต้องได้รับการตั้งชื่อใหม่อยู่ดี
หลี่เจียวมองสาวใช้ทีละคนอย่างพินิจพิจารณา ถึงอย่างไรก็จะต้องอยู่ร่วมกัน จึงจำเป็นต้องเลือกอย่างดี แต่ละคนที่นางเลือกล้วนเป็นสาวใช้ที่เพิ่งซื้อมาได้ไม่นานด้วยกันทั้งนั้น
ทางด้านแม่นมได้แต่ลอบยกมุมปากคนเดียวในใจ กาก็ยังคงเป็นกาอยู่ คุณหนูใหญ่ผู้สูงศักดิ์เมื่อครั้งวันวานคงไม่มีอีกต่อไปแล้ว ถึงได้เลอะเลือนเลือกสาวใช้ที่เพิ่งซื้อตัวมาอบรมได้ไม่นาน แทนที่จะเลือกสาวใช้ที่เกิดและเติบโตมาในจวนแห่งนี้ พวกนางย่อมต้องรู้กฎและธรรมเนียมของที่นี่เป็นอย่างดี
หลี่เจียวไม่สนใจธรรมเนียมหรือกฎการเลือกใด ๆ ทั้งสิ้น นางในตอนนี้คือคนตายแล้วเกิดใหม่ ครั้งก่อนนางเลือกสาวใช้ที่เกิดและโตในจวนแห่งนี้ แต่แล้วอย่างไรเล่า พวกเขาต่างหักหลังนางด้วยกันทั้งสิ้น เพราะคนเหล่านั้นล้วนเป็นคนของมารดาเลี้ยง ไม่สู้เลือกสาวใช้ที่ถูกซื้อตัวมาไม่นานยังจะดีเสียกว่า อย่างน้อย ๆ ก็ยังมิเคยได้รับใช้ และสมัครปักใจที่จะซื่อสัตย์กับเจ้านายคนอื่น
กิริยามารยาทล้วนแต่สอนกันได้ เพราะนางเองจำกฎของจวนได้ขึ้นใจตั้งแต่อายุ 3-4 ขวบ ใครบอกว่าการเป็นบุตรสาวของภรรยาเอกนั้นเป็นเรื่องง่าย ยิ่งนางที่เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว ทั้งยังต้องแบกหน้าตาของจวนราชครู ที่มีความรู้ความสามารถ เป็นทั้งอาจารย์ที่เคยพร่ำสอนฮ่องเต้ และยังเป็นราชครูขององค์รัชทายาท ยิ่งต้องทำตัวเป็นแบบอย่างแก่สตรีชนชั้นสูง
ถึงกระนั้น นางยังติดตามบิดาเข้าวังอยู่บ่อย ๆ มีโอกาสไปร่ำเรียนเป็นพระสหายขององค์หญิง และพบกับบุรุษผู้นั้น ผู้ที่นางหลงลืมมองข้ามเขาไป จนกระทั่งในตอนนี้ นางต้องการกลับมาเพื่อชดเชยกับสิ่งที่ทำลงไป
“เอาละ ที่เหลือก็กลับไปเถิด” หลี่เจียวโบกมือเบาๆ เพื่อให้สาวใช้ที่เหลือกลับไป
สาวใช้ทุกคนต่างตกอยู่ในอาการอึ้ง เพราะต่างคาดหวังว่าจะต้องถูกเลือกเป็นสาวใช้ประจำตัวของคุณหนูใหญ่ คิดไม่ถึงว่าคุณหนูใหญ่จะเลอะเลือนไปชั่วขณะ ถึงขั้นไม่เลือกสาวใช้ในเรือนเลยสักคน ทว่าอย่างไรนางก็เป็นเจ้านาย โวยวายไปก็เท่านั้น จึงได้แต่ก้มหน้า ถอยหลังเดินจากไปอย่างเป็นระเบียบ
“นี่เป็นเบี้ยของเดือนนี้ และเบี้ยชดเชยตลอดสิบปีที่ผ่านมาเจ้าค่ะ ฮูหยินรองรู้สึกผิดกับคุณหนูใหญ่มาตลอด ทุกวันเฝ้าอ้อนวอนขอนายท่าน เพื่อที่จะได้ลดโทษให้เรียกตัวคุณหนูกลับมา ในที่สุดคำขอของฮูหยินก็เป็นจริง” แม่บ้านพูดความดีของจางซื่อ ที่นางเฝ้าเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก ๆ
แม้จะเป็นบุตรของอนุ แต่ก็เป็นอนุของจวนกั๋วกง มีอันใดไม่เหมาะสมที่จะขึ้นมาเป็นฮูหยินใหญ่ของจวนราชครู น่าเจ็บใจตรงที่ตำแหน่งฮูหยินใหญ่ของจวนเว้นว่างมาเกือบสิบปี ตั้งแต่ที่สองแม่ลูกถูกเนรเทศออกไป ทว่ากลับไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ สำหรับตำแหน่งนี้แม้แต่น้อย
“เอาละแม่บ้าน ท่านเองก็เดินทางมาเหน็ดเหนื่อย สมควรแก่เวลาที่จะไปพักผ่อน น้ำใจที่ฮูหยินรองหยิบยื่นให้ ข้ารับไว้ด้วยความซาบซึ้งใจ ฉินซิน ส่งแขก” หลี่เจียวไม่มีอารมณ์ที่จะนั่งฟังแม่นมผู้ซื่อสัตย์ พูดพร่ำถึงความดีของมารดาเลี้ยงได้ หากว่ารู้สึกผิดจริง เหตุใดถึงส่งเพียงบ่าวรับใช้มา ไม่มาด้วยตนเองเล่า เพียงเท่านี้ก็ดูออกแล้วว่ารู้สึกเช่นไร
ทว่าไม่ทำก็ดูจะไม่เหมาะสมไปสักหน่อย หากฮูหยินผู้เฒ่าสอบถามถึงการดูแลที่ปฏิบัติต่อนาง ก็ยังพอจะเป็นหน้าเป็นตาให้ได้บ้างกระมัง
เบี้ยรายเดือน เบี้ยชดเชยตลอดสิบปีอย่างนั้นหรือ
ในถุงแดงที่หนักอึ้งนั้น มองดูก็รู้ว่าเป็นเบี้ยหวัดจำนวนไม่น้อย ปล่อยให้คนพวกนั้นเสวยสุขมายาวนานเพียงนี้ ถึงเวลาทวงทุกอย่างที่เป็นของนางกลับคืนมาแล้ว
“คุณหนูเจ้าคะ สาวใช้พวกนี้จะให้ทำอย่างไรดีเจ้าคะ” ฉินซินถาม
แม้ว่าจะเกิดที่จวน แต่เพราะติดตามคุณหนูไปตั้งแต่อายุยังน้อย หากจะว่าไปแล้ว นางเองก็เพิ่งจะอายุสิบหกปีเท่านั้น แก่กว่าคุณหนูแค่หนึ่งปี นางเลยทำตัวไม่ถูก เมื่อมีสาวใช้จำนวนมากกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ต่อหน้าเช่นนี้
“ค่อย ๆ ดูไปก่อนเถิดยังไม่ต้องรีบ ดูว่าผู้ใดเหมาะสม และถนัดทางด้านใด หลังจากนั้นอีกสองสัปดาห์ ข้าถึงจะบอกว่าผู้ใดเป็นสาวใช้ขั้นใดกันบ้าง” หลี่เจียวคร้านจะสนใจเรื่องเหล่านี้ มอบหมายให้สาวใช้คนสนิท พ่วงตำแหน่งพี่สาวผู้ร่วมทุกข์กับนางมานานหลายปีเป็นคนจัดการ
มารดาจากไปได้สามปีแล้ว ก่อนมาที่นี่ หลี่เจียวเองก็เพิ่งจะออกจากช่วงไว้ทุกข์ เพื่อแสดงความกตัญญู จะว่าไปแล้วก็ช่างเหมาะกับช่วงนี้ที่ทางวังหลวงได้ทวงสัญญาจากท่านตาของนางเสียจริง
หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ หลี่เจียวได้รับการบำรุงเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน ของบำรุงร่างกายที่ทางเรือนใหญ่ส่งมาให้ไม่ขาดสาย นางรู้สึกว่าร่างกายที่ผ่ายผอมเริ่มมีน้ำมีนวลมากขึ้น ไม่เป็นหนังหุ้มกระดูกเดินได้แล้ว
ไม่ว่านางจะเลือกทางใด ล้วนถูกกำหนดไว้แล้ว ว่าถึงอย่างไร ผู้ที่เหมาะสมที่สุดก็คือน้องสาวต่างมารดา หลี่ถิงผู้นั้น แล้วเช่นนี้จะให้นางตอบอย่างไรได้อีกเล่า“ท่านย่า สิ่งที่ท่านย่าพูดมานั้นหลานเข้าใจดีว่าท่านกังวลสิ่งใดเจ้าค่ะ แต่ขอให้ท่านย่าวางใจ แม้ว่าหลานจะไม่เคยเข้าร่วมงานของสตรีสูงศักดิ์ หรือไม่ได้ร่ำเรียนจากอาจารย์ผู้มากด้วยความรู้เหมือนน้องรอง แต่นั่นเพราะถูกเนรเทศตั้งแต่ยังเยาว์ ทว่าท่านแม่ได้สอนกิริยามารยาทต่าง ๆ ของสตรีที่พึงมีจนหมดสิ้น พวกท่านคงไม่ลืมกระมัง ว่ามารดาของข้านั้นเป็นผู้ใด” ประโยคท้ายเหมือนฮูหยินผู้เฒ่าถูกตีที่กลางหน้าผาก นางจะลืมได้อย่างไรว่าสะใภ้ใหญ่นั้นเป็นสตรีสูงศักดิ์ ที่ลดตัวลงมาแต่งกับบัณฑิตเช่นลูกชายของนางจริง ๆ“คุณหนูใหญ่คงไม่ทราบ หลายปีมานี้ขนบธรรมเนียมล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แม้ว่าฮูหยินใหญ่จะเป็นสตรีสูงศักดิ์ ทว่าก็ไม่ได้เข้าสังคมมานาน คงสอนได้ไม่ทั้งหมดกระมัง” ฮูหยินรองพูดขึ้นบ้าง เรื่องภายในไฉนเลยสามีที่เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับตำราจะเข้าใจได้เล่าว่าจะต้องพูดอย่างไร“เรื่องที่ฮูหยินรองพูดมานั้นมีเหตุผลยิ่ง แต่เรื่องลบหลู่เบื้องสูง โดยการสลับตัวคง
หลังจากนั้นฮูหยินผู้เฒ่าก็กระแอม เพื่อเรียกสติลูกชายคนโตกลับมา ภายในห้องมีเพียงสาวใช้คนสนิทถือว่าเป็นคนเก่าคนแก่ที่ไว้ใจได้คนหนึ่ง“เจียวเจียว บิดารู้ว่าทำผิดต่อเจ้าเอาไว้มากมาย แต่ถึงแม้ว่าจะย้ายไปอยู่บ้านเดิมยังพื้นที่ห่างไกล เจ้าและมารดาก็คงจะไม่ได้รับความลำบากเท่าใดกระมัง” ท่านราชครูกว่าที่จะมีวันนี้ได้ ต้องยอมรับว่า ได้รับความช่วยเหลือจากทางฝั่งฮูหยินใหญ่ผู้ล่วงลับ ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาไม่น้อย หากว่าเขาไม่เห็นกับตา ก็คงไม่เชื่อว่าภรรยาจะทำตัวเป็นดอกซิ่งโผล่นอกกำแพงเช่นนี้ได้แม้ว่าจะเนรเทศฮูหยินใหญ่และบุตรสาวคนโตไปยังบ้านเกิด ทว่าที่นั่นไม่ได้ลำบากมากมายเท่าใดนัก บ้านเดิมมีบ่าวไพร่ที่ทำงานดูแลรักษาบ้าน นอกจากนั้นยังมีที่นาไว้สำหรับให้เช่าและค้าขาย เงินค่าเช่ารายเดือนรายปีนั้นจำนวนไม่น้อยความโชคดีของท่านราชครูในตอนนั้น คือฮูหยินรองซึ่งได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้ แต่งเข้าจวนมาเพียงหนึ่งเดือนนางถึงกับตั้งครรภ์ในทันทีในตอนนั้นหลี่เจียวยังอยู่ในครรภ์ของมารดาได้ราว ๆ 4-5 เดือนเห็นจะได้ หากโยนตำแหน่งหน้าที่ทิ้งไป เขาก็เป็นเพียงบุรุษผู้หนึ่ง ที่ยังมีความต้องการอยู่ ภรรยาตั้งครรภ์ไม่สา
ตั้งแต่กลับมา นางยังไม่เคยได้เข้าไปทำความเคารพบิดาผู้ให้กำเนิดเลยสักครั้ง เพราะเขาถูกเรียกตัวเข้าวัง เป็นเวลาเกือบเจ็ดวันแล้วที่ยังไม่กลับเข้าจวน แต่เดิมทีบุตรสาวจะได้พบหน้าบิดาก็เป็นเรื่องยากพอสมควร เนื่องจากหญิงชายมีการเว้นช่องว่างให้กันอย่างชัดเจน แม้กระทั่งคนในครอบครัวก็ไม่ละเว้น ทุกอย่างเข้มงวดกวดขันมาก“คุณหนูเจ้าคะ นายท่านกลับมาแล้ว พ่อบ้านหลี่มาเชิญคุณหนูให้เข้าไปพบเจ้าค่ะ”หลี่เจียวฝึกคัดอักษรในห้องนอนส่วนตัว เมื่อก่อนตอนที่อยู่ชนบทกระดาษและหมึกเป็นของราคาแพง มารดากลับไม่นึกตระหนี่ถี่เหนียวกับสิ่งของพวกนี้เลยสักนิด ทว่านางผู้เป็นลูกเห็นมารดาแอบปักผ้าตอนกลางคืนเพื่อหาเงินมาใช้จ่ายส่วนนี้ก็รู้สึกปวดใจทุกครั้งที่ต้องคัดอักษรเพื่อให้มารดาได้ชื่นชมทุกครั้งที่วาดพู่กันไปบนกระดาษ นางจึงตั้งใจมากเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้คัดผิดแม้แต่ตัวเดียว มาบัดนี้จวนราชครูมั่งคั่ง ทั้งยังเป็นที่ โปรดปรานขององค์ฮ่องเต้ ไหนเลยจะมานั่งเสียดายสิ่งของเหล่านี้เล่า“อืม”ผู้เป็นนายคัดตัวอักษรสุดท้ายเสร็จ ฉินซินเหลือบเห็นว่าอักษร ตัวสุดท้ายปลายพู่กันที่ตวัดนั้นดูสั่นเล็กน้อยไม่พลิ้วไหวเหมือนตัวอื่น ๆ
หลังจากการทักทายอย่างดุเดือดจบลง และการสนทนาในครั้งนี้ หลี่เจียวก็ตั้งใจเปิดศึกให้คนเหล่านั้นได้รู้ว่า ตนจะไม่มีวันยอมเหมือนที่ผ่านมาเป็นอันขาดในเมื่อนางกลับถึงเรือนหลังใหญ่ที่เคยเป็นที่พำนักของตนและมารดา บัดนี้ถูกคนบ้านรองยึดครองไปเสียแล้ว ยังดีที่มารดาเลี้ยงยังคงรักษาหน้าตาอันดีงามของตนเองเอาไว้ สั่งให้คนงานจัดเตรียมเรือนทางฝั่งตะวันออกที่มีสวนดอกไม้งดงามเอาไว้ให้ และนางเองก็ชอบเรือนหลังนี้อยู่ไม่น้อยเพราะทั้งเงียบสงบและหลีกหนีความวุ่นวายหลี่เจียวในชาติก่อน ถูกเนรเทศออกนอกจวนไปยังบ้านเกิดของบิดาตั้งแต่ยังเล็ก โชคดีที่มารดาเป็นสตรีที่ผ่านการเลี้ยงดูเฉกเช่นคุณหนูชนชั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นความสามารถทางด้านใดที่สตรีพึงมี นางต่างได้ร่ำเรียนจากมารดามาจนหมดสิ้น ทว่าในตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องแสดงความสามารถเหล่านั้นออกมา ปล่อยให้พวกเขาเข้าใจว่านางเป็นเพียงสตรีบ้านนอกที่เพิ่งเข้ามาในเมืองหลวงดีกว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งจากนั้นไม่นาน สาวใช้ในเรือนใหญ่ก็ส่งเสื้อผ้าสำเร็จรูปเนื้อผ้าชั้นดีมาให้นาง ช่วงนี้อากาศหนาวมากจึงไม่คิดปฏิเสธ สิ่งที่ควรจะเป็นของตนมาตั้งแต่ต้นก็ควรที่จะรั
เมื่อคุณหนูใหญ่ลงมาจากรถม้าโดยมีสาวใช้ประคองอยู่ไม่ห่าง ทว่าพวกเขาแทบจะแยกไม่ออก ว่าผู้ใดคือนาย ผู้ใดคือบ่าว เพราะแทบจะมองไม่เห็นถึงความแตกต่าง มีเพียงหน้าตาและผิวพรรณที่พอจะแยกออกได้บ้าง‘นี่หรือคือคุณหนูใหญ่แห่งจวนท่านราชครู เหตุใดถึงไม่ต่างจากขอทานข้างถนนเลยสักนิด เสื้อผ้าขาดวิ่น เทียบไม่ได้แม้กระทั่งเสื้อผ้าของบ่าวไพร่ในเรือนเลยแม้แต่น้อย หรือข่าวที่ได้บอกกล่าวก่อนหน้านั้นจะไม่ใช่เรื่องจริง ที่บอกว่าฮูหยินใหญ่แห่งจวนราชครูตัดขาดทางโลก เดินทางแสวงบุญพร้อมกับลูกสาวคนโตที่มีจิตใจกตัญญู ขอติดตามมารดาเพื่อลิ้มรสพระธรรม’ทางด้านฮูหยินรอง จางซื่อ ถึงกับกัดฟันกรอด เมื่อเห็นสภาพของลูกเลี้ยงไม่ต่างอะไรกับขอทาน เป็นแบบนี้นางจะปล่อยให้ไปพบกับฮูหยินผู้เฒ่าได้อย่างไร“หลี่เจียว คารวะฮูหยินรอง ท่านอาสะใภ้ ลูกอกตัญญูที่ปล่อยให้ผู้ใหญ่มายืนตากไอเย็นรอ” หลี่เจียวเดินไปถึง เห็นแม่เลี้ยงยืนรออยู่ ภายในใจนึกขัน คนพวกนี้ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด แม้ว่าอากาศจะหนาวเหน็บเพียงใด ทว่าหน้าตาก็ยังคงสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดอยู่ดี“คุณหนูใหญ่ เหตุใดถึงได้พิลึกพิลั่นใส่เสื้อผ้าเช่นนี้ ข้างนอกอากาศหนาว รีบเข้าไปคุยข้
ปีที่ยี่สิบสองแห่งการครองราชย์ของฮ่องเต้หมิงคัง ลมหนาวของเดือนหนึ่ง ช่างหนาวเหน็บลึกลงไปถึงขั้วหัวใจ หญิงสาวร่างกายผ่ายผอม เหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก ริมฝีปากแห้งผากราวกับพื้นดินที่แตกระแหง ขาดน้ำหล่อเลี้ยงจิตใจ ดวงตาบวมช้ำปิดสนิท จนไม่สามารถลืมตาขึ้นมามองโลกภายนอกได้“ไปกันเถอะ” ร่างดำทมิฬ ทว่ากลับดูสง่างาม ยากนักที่จะละสายตาให้มองไปทางอื่นได้“ไม่ ข้ายังไม่อยากตาย” หลี่เจียวกำลังยืนมองร่างอันไร้วิญญาณ หากเมื่อพินิจมองแล้วเป็นต้องตกใจ เพราะนั่นคือนาง“เจ้าจักฝืนไปไย ในเมื่อทุกอย่างเป็นเจ้าที่โง่งม เลือกทางเดินผิดด้วยตนเอง” คำพูดที่ถากถางไปถึงขั้วหัวใจ แฝงไปด้วยความเย้ยหยัน“เพราะข้าโง่งม ปล่อยให้ความรักบังตา จนมองไม่เห็นความจริง ว่าแท้จริงแล้วผู้ใดที่รักและหวังดีกับข้า ได้โปรด...เช่นนี้หาได้ยุติธรรมสำหรับข้าไม่” ร่างที่ไร้เรี่ยวแรงทำเพียงแค่หันไปมองบุคคลลึกลับผู้นั้น ทั้งที่ไม่ได้เปล่งเสียงใด ๆ ออกมา ทว่ากลับรับรู้ได้ว่ากำลังสนทนา เพื่อต่อดวงชะตาให้กับตนเองอยู่“ยามมีอยู่ไม่เห็นค่า ยามจากมาเหตุใดถึงอาวรณ์เพียงนี้เล่า” น้ำเสียงเย้ยหยันแกมประชดประชัน น่าแปลกทั้งที่ไม่ได้พูดหรือแสดงสีหน้