หลังจากนั้นฮูหยินผู้เฒ่าก็กระแอม เพื่อเรียกสติลูกชายคนโตกลับมา ภายในห้องมีเพียงสาวใช้คนสนิทถือว่าเป็นคนเก่าคนแก่ที่ไว้ใจได้คนหนึ่ง
“เจียวเจียว บิดารู้ว่าทำผิดต่อเจ้าเอาไว้มากมาย แต่ถึงแม้ว่าจะย้ายไปอยู่บ้านเดิมยังพื้นที่ห่างไกล เจ้าและมารดาก็คงจะไม่ได้รับความลำบากเท่าใดกระมัง” ท่านราชครูกว่าที่จะมีวันนี้ได้ ต้องยอมรับว่า ได้รับความช่วยเหลือจากทางฝั่งฮูหยินใหญ่ผู้ล่วงลับ ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาไม่น้อย หากว่าเขาไม่เห็นกับตา ก็คงไม่เชื่อว่าภรรยาจะทำตัวเป็นดอกซิ่งโผล่นอกกำแพงเช่นนี้ได้
แม้ว่าจะเนรเทศฮูหยินใหญ่และบุตรสาวคนโตไปยังบ้านเกิด ทว่าที่นั่นไม่ได้ลำบากมากมายเท่าใดนัก บ้านเดิมมีบ่าวไพร่ที่ทำงานดูแลรักษาบ้าน นอกจากนั้นยังมีที่นาไว้สำหรับให้เช่าและค้าขาย เงินค่าเช่ารายเดือนรายปีนั้นจำนวนไม่น้อย
ความโชคดีของท่านราชครูในตอนนั้น คือฮูหยินรองซึ่งได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้ แต่งเข้าจวนมาเพียงหนึ่งเดือนนางถึงกับตั้งครรภ์ในทันที
ในตอนนั้นหลี่เจียวยังอยู่ในครรภ์ของมารดาได้ราว ๆ 4-5 เดือนเห็นจะได้ หากโยนตำแหน่งหน้าที่ทิ้งไป เขาก็เป็นเพียงบุรุษผู้หนึ่ง ที่ยังมีความต้องการอยู่ ภรรยาตั้งครรภ์ไม่สามารถปรนนิบัติสามีได้ มีคุณหนูจากจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย แม้ว่าจะเป็นเพียงบุตรอนุ ทว่ารูปโฉมงามหยดย้อย ต่อให้หนักแน่นในรักมากเพียงใด ย่อมต้องหวั่นไหวเป็นเรื่องธรรมดา
‘หึ ไม่ลำบากเช่นนั้นหรือ มารดาของนางต้องอาศัยแสงจันทรา ในการปักผ้าเพื่อประทังชีวิต และซื้อตำราสอนนางวาดภาพ ดีดพิณ คัดอักษร ตามแบบฉบับของคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ โชคดีที่ยังพอเหลือความจำเมื่อครั้งยังเป็นคุณหนูใหญ่ของจวนได้บ้าง ทำให้ท่านแม่ไม่ต้องเหนื่อยเท่าใดนัก’
คำพูดเหล่านี้จะเอื้อนเอ่ยบอกกับบิดาได้อย่างไรเล่า ตลอดสิบปี ที่ผ่านมา นางพยายามเขียนจดหมาย ขอให้บิดายกโทษและสืบสาวเรื่องราวที่เกิดขึ้นใหม่ นางเขียนมาตลอดสามปีตั้งแต่ที่ไปถึง แต่กลับมีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้นที่เป็นคำตอบ
แม้ว่านางจะรู้แล้วว่าจดหมายไม่ถึงมือของผู้เป็นบิดา แต่แล้วอย่างไรเล่า หากเขามีใจผูกพันต่อนางซึ่งเป็นบุตรสาวคนโตอย่างแท้จริง เหตุใดถึงไม่มาเยี่ยมนางบ้าง ส่งคนสนิทที่ไว้ใจได้มาสืบข่าวนางบ้างก็ยังดี
ทว่าเป็นเพียงความคิดที่แสนโง่งมเท่านั้น บิดาผู้นี้หลงลืมความรักเมื่อครั้งเก่ากับมารดา หลงลืมรากเหง้าของตนเอง หลงใหลในลาภยศ และชื่อเสียงเงินทองที่ฮ่องเต้ประทานให้
นางมิเคยลืมว่าความลำบากนั้นเป็นเช่นไร รวมถึงรสชาติที่แสนสุขเมื่อครั้งยังเยาว์ด้วยเช่นกัน ในเมื่อมีโอกาสฟื้นคืนมาใหม่ เหตุใดต้องพร่ำหาความรักจอมปลอมพวกนั้นด้วยเล่า ความสุขพวกนั้น นางสามารถสร้างมันขึ้นมาด้วยตนเองได้
‘พี่สาวที่แสนดีอย่างนั้นหรือ ฝันไปเถอะ’
“เจ้าค่ะ” หลี่เจียวตอบรับเสียงเบา คล้ายไม่เต็มใจจะเอื้อนเอ่ยคำนี้ออกมาสักเท่าใดนัก
บิดาผู้นี้ ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างโจษจันถึงความเก่งกาจ ว่าเป็นคนที่ฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัย ให้สอนหนังสือองค์รัชทายาทมาตั้งแต่ยังเยาว์ และมีโอกาสได้รับใช้เป็นที่ปรึกษาฮ่องเต้ตั้งแต่ยังมิขึ้นครองราชย์เสียด้วยซ้ำ
แต่นั่นเป็นเพราะท่านตาของนางต่างหากเล่า เป็นเพราะท่านตาแนะนำบุตรเขยให้รู้จัก ถึงได้มีโชคหล่นทับมากมายเพียงนั้น ลำพังแค่บัณฑิตรูปงามผู้หนึ่งมีมากมายทั่วทั้งเมืองหลวง ไหนเลยจะสามารถเข้าพระทัยฮ่องเต้ได้อย่างถ่องแท้ หากไม่ได้รับคำชี้แนะจากท่านตาซึ่งเป็นหมอหลวงรักษาส่วนพระองค์มายาวนาน
ฮูหยินรองถึงกับกลั้นหายใจกับคำตอบของลูกเลี้ยงผู้นี้ ทว่าก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายของนางไปมากเท่าใดนัก จดหมายที่เด็กโง่เขลาและมารดาของนางที่เป็นหนามทิ่มใจเขียนมานั้น ถูกทำลายทิ้งตั้งแต่ท่านราชครูยังมิทันได้ก้าวเข้าจวนเสียด้วยซ้ำ ไหนเลยจะรับรู้ถึงความยากลำบากของบุตรสาวอันเป็นที่รักได้เล่า
“ดี เป็นเช่นนั้นก็ดีแล้ว” ท่านราชครูตบเข่าตัวเองไปฉาดใหญ่ ได้ฟังจากปากบุตรสาวของตนเองว่าไม่ได้รับความลำบากก็โล่งอก ถึงอย่างไรก็เป็นลูกที่เกิดมาด้วยความรัก เขาย่อมรู้สึกต่อนางไม่มากก็น้อย
“เจ้าใหญ่ เข้าเรื่องเถอะ” ฮูหยินผู้เฒ่านั้นร้อนใจนัก เนื่องจาก อีกไม่นานราชโองการก็คงจะมาถึงในไม่ช้านี้แล้ว แต่ลูกชายตัวดียังมัวพิรี้พิไรไม่เข้าเรื่องเสียที แบบนี้จะทันขันทีมาประกาศราชโองการได้อย่างไรกัน
หลี่เจียวยกยิ้มมุมปาก นางจำได้ว่าวันนี้เป็นวันที่หิมะตกหนักที่สุด ทว่าเหล่าขันทีกลับฝ่าความหนาวเหน็บออกมาจากในวัง เพื่ออ่านราชโองการสมรสพระราชทานให้องค์ชายแปดและบุตรสาวคนโตของราชครูหลี่
ในครั้งนั้นนางโง่เขลา ด้วยหลักคำสอนบุตรสาวอยู่ที่เรือนเชื่อฟังบิดา แต่งงานเชื่อฟังสามี สิ้นบุญสามีเชื่อฟังบุตร ไหนเลยจะกล้าขัดคำสั่งของบิดา ยอมสลับตัวกับน้องสาว หลี่ถิง ที่ถูกหมายตาเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะได้เป็นพระชายาขององค์ชายแปด ซึ่งจะเลื่อนขั้นไปเป็นรัชทายาทในไม่ช้านี้
อีกทั้งนางยังมีชายในดวงใจ ที่ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าใด ก็ยังมิเคยลืมเลือนคนผู้นั้น เดิมทีคิดว่าคงไร้วาสนาต่อกันไปนานแล้ว เนื่องจากว่านางไม่มีหน้าจะไปยืนเคียงคู่ซื่อจื่อแห่งตำหนักชินอ๋องได้
กอปรกับช่วงนั้น องค์ชายแปดอยู่แดนเหนือ ปราบโจรที่ก่อกบฏ ฮ่องเต้ทรงร้อนพระทัย เมื่อทราบข่าวว่าโจรทางแดนเหนือถูกปราบจนหมดสิ้นแล้ว จึงมีรับสั่งให้องค์ชายแปดกลับวัง เพื่อสมรสกับคู่หมายที่เคยพูดไว้เมื่อครั้งยังเยาว์ ข่าวนี้โด่งดังถูกพูดถึงไปทั่วทั้งเมืองหลวง
อาจจะเพราะเวลาล่วงเลยมายาวนานถึงสิบปี ในความทรงจำของชาวเมืองจึงเข้าใจว่า หลี่ถิง คือคุณหนูใหญ่แห่งจวนราชครู คุณหนูผู้มีฉายาว่างามล่มเมือง เป็นหงส์เพลิงเคียงคู่มังกร
“เจียวเจียวคงจำได้กระมัง ครั้งหนึ่งท่านตาของเจ้าเคยบอกเอาไว้ ว่าได้หมั้นหมายกับองค์ชายแปด” ราชครูหลี่กระแอมเบาๆ จากนั้นก็เริ่มพูดจาหว่านล้อมบุตรสาวคนโต แม้ว่านางจะงดงามไม่แพ้น้องสาว แต่หลายปีมานี้ หลี่ถิงได้ถูกฝึกฝนเพื่อเป็นพระชายาขององค์ชายแปดโดยแท้จริง ไม่ว่ามองไปทางไหนก็คิดว่าบุตรสาวคนรองนั้นเหมาะสมกว่า
“เจ้าค่ะ” หลี่เจียวขานรับหนักแน่น ไม่หลบสายตาแม้เพียงน้อย ทำเอาท่านราชครูหลี่ถึงกับใจสั่น รู้สึกประหม่าขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“หลายปีมานี้ องค์ชายแปดอยู่ทำศึกที่แดนเหนือ เหล่าขุนนางเร่งรัดเรื่องภายใน ทว่าเรื่องพวกนี้ เจ้าเป็นสตรีไม่ต้องก้าวล่วงเป็นดีที่สุด รู้เพียงว่าฝ่าบาททรงร้อนพระทัย ทรงตรัสถามเรื่องหมั้นหมายของพวกเจ้ามาหลายปี พ่อเองก็ร้อนใจ จึงได้ปรึกษาท่านย่าและแม่รองของเจ้า หลี่ถิงเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย อีกทั้งกิริยามารยาทก็งดงาม เพิ่งจะผ่านวัยปักปิ่นมาได้ไม่นาน แต่ยังไม่ยอมออกเรือน บอกเพียงอยากจะอยู่รับใช้ท่านย่า เด็กคนนี้ช่างโง่งมนัก” ท่านราชครูจู่ ๆ ก็ตำหนิบุตรสาวคนรอง แต่ใบหน้ากลับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ที่นางแสดงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ
ฮูหยินผู้เฒ่าหน้ามืดคล้ายจะเป็นลม บุตรชายที่สง่างามดันทำตัวโง่งม ชมน้องสาวต่อหน้าพี่สาวนางได้เช่นใดกัน
“ให้แม่พูดเถอะ” ฮูหยินผู้เฒ่าไม่รอฟังคำพูดพรรณนาของบุตรชาย ที่ดูเหมือนจะเป็นการขุดดินฝังกลบตัวเองอีกต่อไป จึงตัดสินใจที่จะเป็นคนจบเรื่องราวทั้งหมดนี้เอง “เจียวเจียว ย่าคนนี้ผิดต่อเจ้าและแม่เจ้ายิ่งนัก แต่หลานจากบ้านไปนาน อีกทั้งมารยาทพิธีการต่าง ๆ นั้นย่อมไม่มีประสบการณ์ เป็นการยากที่จะเข้ากับธรรมเนียมจากในวังหลวงได้ ย่าพูดเท่านี้หลานพอจะเข้าใจหรือไม่” ฮูหยินผู้เฒ่าโยนเผือกร้อนมาให้แบบไม่ทันตั้งตัว
หากนางตอบไปว่า ‘เข้าใจ’ นั่นหมายความว่า นางยอมรับกับผลที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ แต่หากนางบอกว่าไม่เข้าใจ นางก็จะยิ่งกลายเป็นสตรีที่แสนโง่งม เรื่องเพียงเท่านี้กลับไม่เข้าใจ ยิ่งไม่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับตำแหน่งพระชายาขององค์ชายแปด
เมื่อร่างหนาล้มตัวลงนอน ซูเจียวก็นอนลงบ้างเช่นเดียวกัน แม้จะเตรียมตัวมาบ้างแล้ว ทว่านางก็ยังรู้สึกเกร็งอยู่มากเลยทีเดียว ไม่คิดไม่ฝันว่าบุรุษผู้นี้จะยังเลือกนางอยู่เห็นเขานอนสงบนิ่งไม่ไหวติง นางจึงใจกล้าขยับมือของตนเองไปสัมผัสฝ่ามือหยาบที่ร้อนผ่าว จากนั้นทั้งสองก็ประสานมือเข้าด้วยกัน ซูเจียวรู้สึกพอใจไม่น้อยกับท่าทางเช่นนี้ แต่ยังไม่ทันจะหลับตา ร่างหนาที่คิดว่าหลับไปแล้วก็พลิกตัวขึ้นคร่อมร่างของนางเอาไว้“องค์รัชทายาท” ซูเจียวเรียกชื่อเขาเสียงแผ่วเบา“ท่านพี่ อยู่ด้วยกันสองคนให้เจ้าเรียกข้าว่าท่านพี่ดังเช่นฮูหยิน จวนอื่นเรียกขานกัน อยู่กับเจ้าสองคนข้าก็จะเรียกเจ้าว่าฮูหยินเช่นเดียวกัน” เซ่าหมิงหยวนสบดวงตาดอกท้อคู่นั้น ใบหน้าของทั้งสองห่างกันเพียงลมหายใจกั้นเท่านั้น กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของใบชา ทำให้สมองของนางกระจ่างแจ้ง“เจ้าค่ะ ท่านพี่”สิ้นคำนั้นริมฝีปากร้อนที่อยู่ด้านบนก็เข้ามาประกบริมฝีปากหวานในทันที ความเร็วในการรุกล้ำเข้ามานั้นเริ่มจากจังหวะช้าเนิบนาบ ผ่านไปสักพักก็เพิ่มความหิวกระหายเข้าไป จนทำเอาสตรีใต้ร่างหายใจแทบไม่ทันเมื่อเห็นว่านางเริ่มประท้วง เขาก็ผ่อนแรงลง ละริมฝีปากออก แทะเ
หลังจากที่ผ่านเรื่องราวความวุ่นวายมากมาย ก็ใกล้จะถึงกำหนดการวันอภิเษกสมรส ระหว่างองค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่สกุลหลี่ ซึ่งตอนหลังคนอื่นจะเรียกนางคุณหนูสกุลซู เนื่องจากหมอหลวงซูประกาศชัดเจนว่าหลี่เจียวเข้ามาเป็นคนของสกุลซู ชื่อของนางก็คือ ซูเจียว ซึ่งนางก็ชอบมากเช่นเดียวกันราชครูหลี่รู้ตัวว่าหมดความสำคัญในราชสำนัก อีกทั้งยังถูกหักหน้าเช่นนั้น ไม่สามารถอยู่ต่อในราชสำนักได้อีก จึงเขียนฎีกาลาออกยื่นถวายแด่ฮ่องเต้ ซึ่งเป็นไปตามคาด พระองค์ไม่ทรงคัดค้านเรื่องการลาออกของเขาเลยสักนิด“เจ้าลูกโง่ ลาออกก็แล้วไปเถิด เหตุใดต้องออกจากเมืองหลวง ไปด้วยเล่า” ฮูหยินผู้เฒ่าสู้ฟันฝ่ามาจนถึงขั้นนี้แล้ว นางไม่มีทางกลับไปตายที่บ้านเกิดให้คนอื่นหัวเราะเยาะเป็นอันขาดชื่อเสียงเงินทองที่สะสมมา ต้องพังพินาศเพราะสองแม่ลูกนั่น บัดนี้นางเพิ่งหูตาสว่าง หากไม่ใช่เพราะถูกจางซื่อเป่าหู มีหรือผู้เฒ่าหูตาพร่ามัวเช่นนางจะหน้ามืดเพียงนี้“ท่านแม่ เป็นเช่นนี้ถือว่าฮ่องเต้ทรงเมตตาแล้ว รัชทายาทแสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบพวกเรา ขืนทู่ซี้อยู่มีแต่จะเจ็บตัวเปล่า ๆ อีกอย่างเจียวเอ๋อร์ก็มีใจออกห่างจากพวกเรานานแล้ว หลายเดือนมานี้ที่น
เนื่องจากว่าก่อนหน้านี้ได้กระอักเลือดออกมาแล้วรอบหนึ่ง ทำให้ครั้งนี้อาการของชินอ๋องน่าเป็นห่วง อีกทั้งหนึ่งเดือนที่ผ่านมาพักผ่อนน้อย ทั้งยังสู้รบ ทำให้ร่างกายและพละกำลังถดถอย“เจ้า” ชินอ๋องไม่มีแม้กระทั่งแรงจะเรียกชื่อหลานชายเสียด้วยซ้ำ“แต่ไม่ต้องห่วง เวลานี้บุตรชายที่รักของท่าน กำลังรออยู่ที่คุกหลวง โทษฐานลอบสังหารรัชทายาทเช่นข้า ท่านอาจจะคิดว่าเขานิสัยไม่เหมือนท่าน แต่ข้ากลับคิดว่า เขากล้าหาญกว่าท่านมากนัก เพราะกว่าที่ท่านจะกล้าลงมือก็นานนับสิบปี ตีเหล็กต้องตีตอนที่ยังร้อนเหมือนที่สวีเฮ่าทำ เพราะ ถ้ามัวแต่รอแบบท่าน สุดท้ายแล้ว เมื่อเหล็กเส้นนั้นหายร้อน นอกจากตีเป็นดาบไม่ได้ ปล่อยไว้นานวันเข้าสนิมก็เริ่มเกาะกิน เหมือนเช่นภายในใจท่านที่เกิดความลังเล” ดวงตาเซ่าหมิงหยวนฉายแววเหี้ยมโหดออกมา“ฮ่า ๆ อ๋องอย่างข้า ไม่จำเป็นต้องให้เด็กเมื่อวานซืนอย่างเจ้ามาชี้นำ หากพวกเจ้าสองพ่อลูกไม่ใช้แผนสกปรก มีหรือที่ข้าจะพ่ายแพ้ คนแพ้ไม่สามารถเรียกร้องสิ่งใดได้ ระหว่างข้ากับเจ้า ไม่สามารถอยู่ร่วมโลกกันได้ วันนี้ข้าผู้เป็นอ๋องอยู่ไม่สู้ตาย”พูดจบเซ่าเยี่ยนก็สั่งทหารที่ซุ่มอยู่โจมตีในทันที ทั้งสองฝ่ายต่าง
ข่าวเรื่องอาการบาดเจ็บขององค์รัชทายาท ต่างคาดเดาไปต่าง ๆ นานา เนื่องจากว่าฮ่องเต้ทรงมีรับสั่ง ห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าเยี่ยมโดยเด็ดขาด แม้กระทั่งเสวียนกุ้ยเฟยและพระคู่หมั้นอย่างคุณหนูใหญ่สกุลหลี่เรื่องนี้ค่อนข้างเป็นประเด็นถกเถียงกันในราชสำนัก เหล่าขุนนางต่างหยิบยกถึงความมั่นคงของการสืบทอดบัลลังก์มาพูดกัน“เหลวไหล รัชทายาทบาดเจ็บ พวกเจ้าไม่เพียงไม่แสดงความภักดี แต่ยังแสดงออกว่าไม่เชื่อมั่นในสายตาของเราผู้เป็นฮ่องเต้ อีกอย่างเรายังไม่ตาย พวกเจ้าก็กังวลกันไปใหญ่โต เช่นนี้จะให้เราคิดเป็นอื่นได้อย่างไร” ฮ่องเต้ทรงพิโรธหนัก เหล่าขุนนางอกสั่นขวัญแขวนด้วยความกลัว รีบคุกเข่าขอความเมตตา ด้วยรู้ดีว่าโอรสสวรรค์ผู้นี้อารมณ์แปรปรวนยิ่งกว่าสตรี“ขอฝ่าบาทอย่าทรงพิโรธ พวกเราเพียงแต่คิดเผื่อเอาไว้เท่านั้น พ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายพูดขึ้น“ความหวังดีของพวกท่านเรารับรู้ เพียงแต่อยากขอให้พวกท่านอย่าได้กังวล รัชทายาทบาดเจ็บครั้งนี้ โทษของตำหนักชินอ๋องยากเกินให้อภัยได้ จำเป็นต้องรีบจับกุมตัวชินอ๋องเข้ามารับโทษไปพร้อมกับคนในตำหนัก”ทางด้านรัชทายาทเซ่าหมิงหยวน แท้จริงแล้วเขาออกจากวังตั้งแต่คืนที่ได้รับบาดเจ็บแ
เซ่าหมิงหยวนแม้ว่าจะรวดเร็วเพียงใด แต่ก็ยังได้รับบาดเจ็บจนได้ หนำซ้ำยังเป็นธนูที่อาบยาพิษอีกด้วยฮ่องเต้ทราบข่าวทรงพิโรธหนัก เร่งส่งองครักษ์เสื้อแพรพร้อมทั้งทหารในวังเข้าล้อมตำหนักชินอ๋องในทันที ไม่มีผู้ใดสามารถออกมาได้ ซื่อจื่อถูกขังไว้ในคุกหลวงรอวันลงอาญาจากนั้นออกราชโองการแต่งตั้งองค์ชายแปดเป็นองค์รัชทายาท พร้อมทั้งออกประกาศติดไปทั่วทั้งเมืองหลวง ตำหนักชินอ๋องก่อกบฏ ลอบสังหารองค์รัชทายาท มีโทษประหารเก้าชั่วโคตรข่าวนี้ค่อนข้างเป็นที่ฮือฮาของชาวเมืองหลวง ทุกคนต่างเก็บตัวเงียบ ปิดประตูบ้านเรือน ไม่มีแม้กระทั่งสัตว์สักตัวเดินอยู่บนถนนมีเพียงทหารเวรยามเดินสวนไปสวนมา เพื่อรักษาความสงบเท่านั้นทางด้านจวนราชครูต่างอกสั่นขวัญแขวนไปกับข่าวที่ได้ยิน ด้วยไม่คิดว่าซื่อจื่อจะกล้ากระทำการอุกอาจเช่นนี้ แม้กระทั่งชินอ๋องยังไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน“สวรรค์ นับว่าสกุลหลี่ยังพอมีวาสนาอยู่บ้าง หากเกี่ยวดองกับตำหนักอ๋อง มีหวังได้ถูกประหารเก้าชั่วโคตรไปด้วย” ฮูหยินผู้เฒ่ากลัวจนตัวสั่นเมื่อได้ยินข่าวจากบุตรชาย“ข้ายังต้องเร่งเข้าวัง ครั้งนี้ฝ่าบาททรงพิโรธหนัก องค์รัชทายาท ถูกพิษบาดเจ็บสาหัส น่าแปล
พริบตาเดียวอีกเพียงสามวัน ก็ถึงวันงานอภิเษกสมรสระหว่าง องค์หญิงเก้าและซื่อจื่อ ทว่าที่ตำหนักชินอ๋องกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆหลายวันที่ผ่านมานี้ พ่อบ้านอยากจะกรอกยาพิษใส่ปากตัวเอง วันละหลายร้อยรอบ ทว่ากลับทำไม่ลง เนื่องจากสงสารซื่อจื่อ อยู่ไม่สู้ตาย หลายวันที่ผ่านมาเขาจึงเป็นคนจัดการเตรียมงานทุกอย่าง ดีที่มีคนจากในวังเข้ามาช่วยจัดการ ทำให้ทุกอย่างเป็นระเบียบมากขึ้นงานอภิเษกองค์หญิงออกนอกวัง ไม่ยุ่งยากเท่ากับการรับพระชายาเข้าวัง เนื่องจากแต่งออกไปแล้วก็ถือว่าเป็นคนของตำหนักชินอ๋อง ถึงอย่างนั้นขั้นตอนและพิธีการต่าง ๆ ก็ถือว่าซับซ้อนมากกว่าคนทั่วไปมากนัก“ซื่อจื่อ องค์ชายแปดมาขอรับ” ต้าหลางลนลานเข้ามารายงาน“อืม” เขาไม่แปลกใจที่เห็นเซ่าหมิงหยวนมาที่นี่ ด้วยความสามารถของอีกฝ่ายแล้ว ย่อมสามารถหลบหลีกสายตาของเหล่าองครักษ์เงาได้เป็นอย่างดีเซ่าหมิงหยวนเดินเข้ามาในห้องหนังสือ แท้จริงแล้วภายในห้องนี้ ยังมีเส้นทางลับสำหรับออกไปข้างนอก ซึ่งเขาก็ใช้ทางลับนี้เข้ามายังที่นี่ด้วยเช่นกัน เดิมทีคิดว่าญาติผู้น้องคนนี้ต้องหาทางติดต่อกับเขา แต่กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายเก็บตัวเงียบ ยอมทำตามคำสั่งของชิน