ตั้งแต่กลับมา นางยังไม่เคยได้เข้าไปทำความเคารพบิดาผู้ให้กำเนิดเลยสักครั้ง เพราะเขาถูกเรียกตัวเข้าวัง เป็นเวลาเกือบเจ็ดวันแล้วที่ยังไม่กลับเข้าจวน แต่เดิมทีบุตรสาวจะได้พบหน้าบิดาก็เป็นเรื่องยากพอสมควร เนื่องจากหญิงชายมีการเว้นช่องว่างให้กันอย่างชัดเจน แม้กระทั่งคนในครอบครัวก็ไม่ละเว้น ทุกอย่างเข้มงวดกวดขันมาก
“คุณหนูเจ้าคะ นายท่านกลับมาแล้ว พ่อบ้านหลี่มาเชิญคุณหนูให้เข้าไปพบเจ้าค่ะ”
หลี่เจียวฝึกคัดอักษรในห้องนอนส่วนตัว เมื่อก่อนตอนที่อยู่ชนบทกระดาษและหมึกเป็นของราคาแพง มารดากลับไม่นึกตระหนี่ถี่เหนียวกับสิ่งของพวกนี้เลยสักนิด ทว่านางผู้เป็นลูกเห็นมารดาแอบปักผ้าตอนกลางคืนเพื่อหาเงินมาใช้จ่ายส่วนนี้ก็รู้สึกปวดใจทุกครั้งที่ต้องคัดอักษรเพื่อให้มารดาได้ชื่นชม
ทุกครั้งที่วาดพู่กันไปบนกระดาษ นางจึงตั้งใจมากเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้คัดผิดแม้แต่ตัวเดียว มาบัดนี้จวนราชครูมั่งคั่ง ทั้งยังเป็นที่ โปรดปรานขององค์ฮ่องเต้ ไหนเลยจะมานั่งเสียดายสิ่งของเหล่านี้เล่า
“อืม”
ผู้เป็นนายคัดตัวอักษรสุดท้ายเสร็จ ฉินซินเหลือบเห็นว่าอักษร ตัวสุดท้ายปลายพู่กันที่ตวัดนั้นดูสั่นเล็กน้อยไม่พลิ้วไหวเหมือนตัวอื่น ๆ นั่นบ่งบอกได้ว่าอารมณ์ของคุณหนูในตอนนี้ไม่คงที่ แม้ว่านางจะรักษาสีหน้าให้ดูสงบนิ่งเหมือนไม่รู้สึกอะไรเลยก็ตาม
ใบหน้าเรียวงามกระจ่างใส ต่างจากเมื่อครั้งที่มาถึงใหม่ๆ เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง คล้ายว่ากำลังจ้องมองไปที่ไกลแสนไกล สิบปีแล้วที่นางไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงของบิดา ในความทรงจำของเด็กวัยห้าขวบ บิดาของนางเป็นบุรุษผู้เคร่งครัดในจารีตมากที่สุด ซื่อสัตย์เถรตรง จึงเป็นที่ต้องใจของฮ่องเต้
หากท่านพ่อของนางในครั้งก่อนไม่ใจร้อน สืบหาความจริงอีกสักนิด บางทีมารดาของนางอาจจะไม่ต้องจบชีวิตลงด้วยวัยเพียงเท่านี้ เมื่อนึกถึงว่ามารดาต้องเจอกับอะไรบ้าง ไฟแค้นภายในใจก็สุมขึ้นมาเป็นกองใหญ่ยากจะดับมอดลงได้ภายในวันเดียว
ไปดูสักหน่อยก็ดี บุรุษที่ถูกผู้อื่นชื่นชมว่าสมควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ทว่าภายในนั้นเน่าเฟะมากเพียงใดยากจะหยั่งรู้
ร่างอ้อนแอ้นอรชรเดินหลังตรง กลีบกระโปรงไม่ขยับ แม้กระทั่งต่างหูทั้งสองข้างก็ไม่ไหวติง เมื่อเข้ามาถึงห้องโถงใหญ่ ก็พบเข้ากับบุรุษท่านหนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่น่าเกรงขาม แต่ยังมีกลิ่นอายของบัณฑิตผู้แกร่งกล้าวิชาเรียน ดูอย่างไรก็เป็นผู้มีความรู้แตกฉานท่านหนึ่ง
“หลี่เจียวคารวะฮูหยินผู้เฒ่าขอให้มีสุขภาพแข็งแรง ท่านราชครู ฮูหยินรองเจ้าค่ะ” พูดจบก็ยอบกายอยู่อย่างนั้นไม่ได้ลุกขึ้นในทันที ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นข้าง ๆ ราวกับว่ารอคอยเวลานี้มาสักพักแล้ว
“หลี่ถิงคารวะท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่เจ้าค่ะ” ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นผู้ใด หลี่เจียวไม่ไหวติง ยังคงยอบกายอยู่อย่างนั้น
ผู้ใหญ่ทั้งสามได้แต่มองหน้ากันไปมา ภายในใจรู้สึกอย่างไรนั้นยากจะกล่าว ท่านราชครูที่ไปรับมือกับอารมณ์แปรปรวนของฮ่องเต้ เมื่อได้ยินบุตรสาวที่เคยเฝ้าถนอมฟูมฟักมาตั้งแต่ยังเยาว์ กับบุตรสาวคนรองที่ขี้อ้อนเอาใจ ก็รู้สึกปวดหนึบที่หัวใจ ยากจะเอ่ยเรื่องสำคัญกับบุตรทั้งสองออกมาได้
“ลุกขึ้นเถอะ” ฮูหยินผู้เฒ่าเหมือนจะได้สติก่อนบุตรชาย ส่วนฮูหยินรองนั้นแอบลอบเบ้มุมปากคนเดียวเบาๆ กับความแตกต่างของหญิงงามทั้งสอง
หลี่เจียว ได้ความสง่าจากบิดามาแบบไม่ต้องสงสัย รูปร่างของนางสูงโปร่ง ผอมบาง ทว่าก็เหมาะแล้วสำหรับสตรีที่ยังไม่ออกเรือน
หลี่ถิง บุตรสาวของนางนั้น แม้ว่าจะสูงไม่เท่าหลี่เจียว ทว่าใบหน้าและผิวพรรณนั้นดูกระจ่างใสกว่ามากนัก หรือจะพูดให้เข้าใจได้ง่ายมากขึ้น คือมีราศีของคุณหนูผู้สูงศักดิ์มากกว่า
“ขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่า/ขอบคุณท่านย่าเจ้าค่ะ” ทั้งสองคนพูดขึ้นพร้อมกัน จากนั้นหลี่ถิงก็เดินไปนั่งยังตำแหน่งคุณหนูใหญ่ด้วยความเคยชิน
หลี่เจียวเห็นอย่างนั้นก็ชะงักฝีเท้าเอาไว้ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม แล้วหันไปพูดกับน้องสาวต่างมารดาด้วยน้ำเสียงชวนฟังว่า
“น้องรองคงนั่งผิดที่กระมัง” หลี่เจียวพูดเสียงระคนเอ็นดูน้องสาวอยู่หลายส่วน ที่นางเลอะเลือนไม่รู้จักตำแหน่งของตนเอง
“อันใดกันพี่ใหญ่เย้าข้าเล่นแล้ว ที่ตรงนี้ข้านั่งมาตั้งแต่จำความได้ เป็นไปไม่ได้ที่จะนั่งผิด” หลี่ถิงส่ายหน้าเบาๆ ด้วยความขบขัน แม้จะรู้ว่า ตรงนี้คือที่นั่งของคุณหนูใหญ่ แต่แล้วผู้ใดจะสนกันเล่า ในเมื่อตลอดสิบปีที่ผ่านมา นางก็ถูกทุกคนปรนนิบัติไม่ต่างจากคุณหนูใหญ่ของสกุลหลี่
“เช่นนั้นหรือ ข้าคงเลอะเลือนไปเอง จากบ้านไปนานไม่ได้ติดตามกฎของสกุลหลี่ ว่ามีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปบ้าง” หลี่เจียวพยักหน้าพูดจบแล้ว แต่ยังคงยืนอยู่ไม่ยอมหาที่นั่ง
ท่านราชครูที่ถูกเบื้องบนบีบบังคับมา ก็รู้สึกเส้นเลือดปูดขึ้นมาในทันใด เดิมทีอยากจะทักทายบุตรสาวคนโตก่อนสักสองสามประโยค แล้วค่อยเข้าเรื่องสำคัญ ทว่าตอนนี้มาเห็นฉากพี่น้องแย่งที่นั่งกัน แล้วรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างยากจะระงับ
“ก็แค่ที่นั่ง เหตุใดต้องขุ่นเคืองกันถึงเพียงนี้ เจ้าเพิ่งมาอย่าก่อเรื่องเหมือนแม่เจ้าได้หรือไม่ จะนั่งตรงที่ใดก็นั่งเถิด” ท่านราชครูพูดขึ้นอย่างโมโห
หลี่เจียวพยักหน้าเข้าใจอย่างว่าง่าย จากนั้นก็นั่งลงข้างๆ บิดา ซึ่งเป็นตำแหน่งของบุตรชายผู้สืบทอด
“เจ้า” ราชครูเบิกตากว้าง อยากจะพ่นไฟใส่ลูกสาวที่มิรู้ความผู้นี้ ต่ำช้าไร้การศึกษาที่สุด
“ไม่ได้หรือเจ้าคะ” หลี่เจียวถามด้วยสีหน้าใสซื่อ แม้จะรู้ว่ากระทำไม่เหมาะสม แต่การได้ยั่วโทสะของท่านราชครูหลี่ผู้สุขุมเยือกเย็นช่างสนุกเสียจริง
“เอาละ ๆ เข้าเรื่องเลยเถอะ เวลาไม่คอยท่าแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าห้ามศึกย่อมๆ ของพ่อลูก เริ่มรู้สึกถึงความวุ่นวายที่กำลังจะคืบคลานเข้ามายังจวนราชครูแห่งนี้ในอีกไม่ช้า
ฮูหยินผู้เฒ่าปลอบใจตนเอง หลานสาวห่างจวนไปนาน ขาดผู้บ่มเพาะขัดเกลานิสัย ทำให้แสดงนิสัยเยี่ยงคนบ้านป่าเมืองเถื่อนนั้นออกมา แต่หลงลืมไปว่า เมื่อครั้งก่อนตนก็เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง อาศัยบารมีของบุตรชายคนโต ถึงได้ไต่เต้ามาเป็นฮูหยินตราตั้งได้
“เจียวเจียว เจ้าก็เรียกข้าว่าย่าอย่างที่ควรจะเรียกเถอะ” ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินหลานสาวทั้งสองเรียกขานแล้วกระดากอายจนถึงที่สุด จึงเป็นฝ่ายบอกกล่าวกับหลานสาวคนโต ก่อนที่คนทั้งจวนจะได้ยินกันไปมากกว่านี้
“เจ้าค่ะ ท่านย่า” หลี่เจียวขานรับอย่างว่าง่าย ต่างจากเมื่อครู่ที่มีท่าทีว่าไม่ยอมผู้ใด
ทางด้านฮูหยินรองนั้น ได้แต่หยิกแขนตัวเองเอาไว้ ไม่ให้เผลอหัวเราะออกมา เมื่อเห็นพฤติกรรมของลูกเลี้ยงและสีหน้าของสามีผู้สุขุม ถึงขั้นเก็บอารมณ์ไม่อยู่ คุณหนูใหญ่ผู้นี้ยังคงเจ้าอารมณ์เหมือนเดิม นอกจากนั้นยังยั่วโทสะผู้อื่นเก่งมากด้วยเช่นกัน
ไม่ว่านางจะเลือกทางใด ล้วนถูกกำหนดไว้แล้ว ว่าถึงอย่างไร ผู้ที่เหมาะสมที่สุดก็คือน้องสาวต่างมารดา หลี่ถิงผู้นั้น แล้วเช่นนี้จะให้นางตอบอย่างไรได้อีกเล่า“ท่านย่า สิ่งที่ท่านย่าพูดมานั้นหลานเข้าใจดีว่าท่านกังวลสิ่งใดเจ้าค่ะ แต่ขอให้ท่านย่าวางใจ แม้ว่าหลานจะไม่เคยเข้าร่วมงานของสตรีสูงศักดิ์ หรือไม่ได้ร่ำเรียนจากอาจารย์ผู้มากด้วยความรู้เหมือนน้องรอง แต่นั่นเพราะถูกเนรเทศตั้งแต่ยังเยาว์ ทว่าท่านแม่ได้สอนกิริยามารยาทต่าง ๆ ของสตรีที่พึงมีจนหมดสิ้น พวกท่านคงไม่ลืมกระมัง ว่ามารดาของข้านั้นเป็นผู้ใด” ประโยคท้ายเหมือนฮูหยินผู้เฒ่าถูกตีที่กลางหน้าผาก นางจะลืมได้อย่างไรว่าสะใภ้ใหญ่นั้นเป็นสตรีสูงศักดิ์ ที่ลดตัวลงมาแต่งกับบัณฑิตเช่นลูกชายของนางจริง ๆ“คุณหนูใหญ่คงไม่ทราบ หลายปีมานี้ขนบธรรมเนียมล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แม้ว่าฮูหยินใหญ่จะเป็นสตรีสูงศักดิ์ ทว่าก็ไม่ได้เข้าสังคมมานาน คงสอนได้ไม่ทั้งหมดกระมัง” ฮูหยินรองพูดขึ้นบ้าง เรื่องภายในไฉนเลยสามีที่เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับตำราจะเข้าใจได้เล่าว่าจะต้องพูดอย่างไร“เรื่องที่ฮูหยินรองพูดมานั้นมีเหตุผลยิ่ง แต่เรื่องลบหลู่เบื้องสูง โดยการสลับตัวคง
หลังจากนั้นฮูหยินผู้เฒ่าก็กระแอม เพื่อเรียกสติลูกชายคนโตกลับมา ภายในห้องมีเพียงสาวใช้คนสนิทถือว่าเป็นคนเก่าคนแก่ที่ไว้ใจได้คนหนึ่ง“เจียวเจียว บิดารู้ว่าทำผิดต่อเจ้าเอาไว้มากมาย แต่ถึงแม้ว่าจะย้ายไปอยู่บ้านเดิมยังพื้นที่ห่างไกล เจ้าและมารดาก็คงจะไม่ได้รับความลำบากเท่าใดกระมัง” ท่านราชครูกว่าที่จะมีวันนี้ได้ ต้องยอมรับว่า ได้รับความช่วยเหลือจากทางฝั่งฮูหยินใหญ่ผู้ล่วงลับ ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาไม่น้อย หากว่าเขาไม่เห็นกับตา ก็คงไม่เชื่อว่าภรรยาจะทำตัวเป็นดอกซิ่งโผล่นอกกำแพงเช่นนี้ได้แม้ว่าจะเนรเทศฮูหยินใหญ่และบุตรสาวคนโตไปยังบ้านเกิด ทว่าที่นั่นไม่ได้ลำบากมากมายเท่าใดนัก บ้านเดิมมีบ่าวไพร่ที่ทำงานดูแลรักษาบ้าน นอกจากนั้นยังมีที่นาไว้สำหรับให้เช่าและค้าขาย เงินค่าเช่ารายเดือนรายปีนั้นจำนวนไม่น้อยความโชคดีของท่านราชครูในตอนนั้น คือฮูหยินรองซึ่งได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้ แต่งเข้าจวนมาเพียงหนึ่งเดือนนางถึงกับตั้งครรภ์ในทันทีในตอนนั้นหลี่เจียวยังอยู่ในครรภ์ของมารดาได้ราว ๆ 4-5 เดือนเห็นจะได้ หากโยนตำแหน่งหน้าที่ทิ้งไป เขาก็เป็นเพียงบุรุษผู้หนึ่ง ที่ยังมีความต้องการอยู่ ภรรยาตั้งครรภ์ไม่สา
ตั้งแต่กลับมา นางยังไม่เคยได้เข้าไปทำความเคารพบิดาผู้ให้กำเนิดเลยสักครั้ง เพราะเขาถูกเรียกตัวเข้าวัง เป็นเวลาเกือบเจ็ดวันแล้วที่ยังไม่กลับเข้าจวน แต่เดิมทีบุตรสาวจะได้พบหน้าบิดาก็เป็นเรื่องยากพอสมควร เนื่องจากหญิงชายมีการเว้นช่องว่างให้กันอย่างชัดเจน แม้กระทั่งคนในครอบครัวก็ไม่ละเว้น ทุกอย่างเข้มงวดกวดขันมาก“คุณหนูเจ้าคะ นายท่านกลับมาแล้ว พ่อบ้านหลี่มาเชิญคุณหนูให้เข้าไปพบเจ้าค่ะ”หลี่เจียวฝึกคัดอักษรในห้องนอนส่วนตัว เมื่อก่อนตอนที่อยู่ชนบทกระดาษและหมึกเป็นของราคาแพง มารดากลับไม่นึกตระหนี่ถี่เหนียวกับสิ่งของพวกนี้เลยสักนิด ทว่านางผู้เป็นลูกเห็นมารดาแอบปักผ้าตอนกลางคืนเพื่อหาเงินมาใช้จ่ายส่วนนี้ก็รู้สึกปวดใจทุกครั้งที่ต้องคัดอักษรเพื่อให้มารดาได้ชื่นชมทุกครั้งที่วาดพู่กันไปบนกระดาษ นางจึงตั้งใจมากเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้คัดผิดแม้แต่ตัวเดียว มาบัดนี้จวนราชครูมั่งคั่ง ทั้งยังเป็นที่ โปรดปรานขององค์ฮ่องเต้ ไหนเลยจะมานั่งเสียดายสิ่งของเหล่านี้เล่า“อืม”ผู้เป็นนายคัดตัวอักษรสุดท้ายเสร็จ ฉินซินเหลือบเห็นว่าอักษร ตัวสุดท้ายปลายพู่กันที่ตวัดนั้นดูสั่นเล็กน้อยไม่พลิ้วไหวเหมือนตัวอื่น ๆ
หลังจากการทักทายอย่างดุเดือดจบลง และการสนทนาในครั้งนี้ หลี่เจียวก็ตั้งใจเปิดศึกให้คนเหล่านั้นได้รู้ว่า ตนจะไม่มีวันยอมเหมือนที่ผ่านมาเป็นอันขาดในเมื่อนางกลับถึงเรือนหลังใหญ่ที่เคยเป็นที่พำนักของตนและมารดา บัดนี้ถูกคนบ้านรองยึดครองไปเสียแล้ว ยังดีที่มารดาเลี้ยงยังคงรักษาหน้าตาอันดีงามของตนเองเอาไว้ สั่งให้คนงานจัดเตรียมเรือนทางฝั่งตะวันออกที่มีสวนดอกไม้งดงามเอาไว้ให้ และนางเองก็ชอบเรือนหลังนี้อยู่ไม่น้อยเพราะทั้งเงียบสงบและหลีกหนีความวุ่นวายหลี่เจียวในชาติก่อน ถูกเนรเทศออกนอกจวนไปยังบ้านเกิดของบิดาตั้งแต่ยังเล็ก โชคดีที่มารดาเป็นสตรีที่ผ่านการเลี้ยงดูเฉกเช่นคุณหนูชนชั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นความสามารถทางด้านใดที่สตรีพึงมี นางต่างได้ร่ำเรียนจากมารดามาจนหมดสิ้น ทว่าในตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องแสดงความสามารถเหล่านั้นออกมา ปล่อยให้พวกเขาเข้าใจว่านางเป็นเพียงสตรีบ้านนอกที่เพิ่งเข้ามาในเมืองหลวงดีกว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งจากนั้นไม่นาน สาวใช้ในเรือนใหญ่ก็ส่งเสื้อผ้าสำเร็จรูปเนื้อผ้าชั้นดีมาให้นาง ช่วงนี้อากาศหนาวมากจึงไม่คิดปฏิเสธ สิ่งที่ควรจะเป็นของตนมาตั้งแต่ต้นก็ควรที่จะรั
เมื่อคุณหนูใหญ่ลงมาจากรถม้าโดยมีสาวใช้ประคองอยู่ไม่ห่าง ทว่าพวกเขาแทบจะแยกไม่ออก ว่าผู้ใดคือนาย ผู้ใดคือบ่าว เพราะแทบจะมองไม่เห็นถึงความแตกต่าง มีเพียงหน้าตาและผิวพรรณที่พอจะแยกออกได้บ้าง‘นี่หรือคือคุณหนูใหญ่แห่งจวนท่านราชครู เหตุใดถึงไม่ต่างจากขอทานข้างถนนเลยสักนิด เสื้อผ้าขาดวิ่น เทียบไม่ได้แม้กระทั่งเสื้อผ้าของบ่าวไพร่ในเรือนเลยแม้แต่น้อย หรือข่าวที่ได้บอกกล่าวก่อนหน้านั้นจะไม่ใช่เรื่องจริง ที่บอกว่าฮูหยินใหญ่แห่งจวนราชครูตัดขาดทางโลก เดินทางแสวงบุญพร้อมกับลูกสาวคนโตที่มีจิตใจกตัญญู ขอติดตามมารดาเพื่อลิ้มรสพระธรรม’ทางด้านฮูหยินรอง จางซื่อ ถึงกับกัดฟันกรอด เมื่อเห็นสภาพของลูกเลี้ยงไม่ต่างอะไรกับขอทาน เป็นแบบนี้นางจะปล่อยให้ไปพบกับฮูหยินผู้เฒ่าได้อย่างไร“หลี่เจียว คารวะฮูหยินรอง ท่านอาสะใภ้ ลูกอกตัญญูที่ปล่อยให้ผู้ใหญ่มายืนตากไอเย็นรอ” หลี่เจียวเดินไปถึง เห็นแม่เลี้ยงยืนรออยู่ ภายในใจนึกขัน คนพวกนี้ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด แม้ว่าอากาศจะหนาวเหน็บเพียงใด ทว่าหน้าตาก็ยังคงสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดอยู่ดี“คุณหนูใหญ่ เหตุใดถึงได้พิลึกพิลั่นใส่เสื้อผ้าเช่นนี้ ข้างนอกอากาศหนาว รีบเข้าไปคุยข้
ปีที่ยี่สิบสองแห่งการครองราชย์ของฮ่องเต้หมิงคัง ลมหนาวของเดือนหนึ่ง ช่างหนาวเหน็บลึกลงไปถึงขั้วหัวใจ หญิงสาวร่างกายผ่ายผอม เหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก ริมฝีปากแห้งผากราวกับพื้นดินที่แตกระแหง ขาดน้ำหล่อเลี้ยงจิตใจ ดวงตาบวมช้ำปิดสนิท จนไม่สามารถลืมตาขึ้นมามองโลกภายนอกได้“ไปกันเถอะ” ร่างดำทมิฬ ทว่ากลับดูสง่างาม ยากนักที่จะละสายตาให้มองไปทางอื่นได้“ไม่ ข้ายังไม่อยากตาย” หลี่เจียวกำลังยืนมองร่างอันไร้วิญญาณ หากเมื่อพินิจมองแล้วเป็นต้องตกใจ เพราะนั่นคือนาง“เจ้าจักฝืนไปไย ในเมื่อทุกอย่างเป็นเจ้าที่โง่งม เลือกทางเดินผิดด้วยตนเอง” คำพูดที่ถากถางไปถึงขั้วหัวใจ แฝงไปด้วยความเย้ยหยัน“เพราะข้าโง่งม ปล่อยให้ความรักบังตา จนมองไม่เห็นความจริง ว่าแท้จริงแล้วผู้ใดที่รักและหวังดีกับข้า ได้โปรด...เช่นนี้หาได้ยุติธรรมสำหรับข้าไม่” ร่างที่ไร้เรี่ยวแรงทำเพียงแค่หันไปมองบุคคลลึกลับผู้นั้น ทั้งที่ไม่ได้เปล่งเสียงใด ๆ ออกมา ทว่ากลับรับรู้ได้ว่ากำลังสนทนา เพื่อต่อดวงชะตาให้กับตนเองอยู่“ยามมีอยู่ไม่เห็นค่า ยามจากมาเหตุใดถึงอาวรณ์เพียงนี้เล่า” น้ำเสียงเย้ยหยันแกมประชดประชัน น่าแปลกทั้งที่ไม่ได้พูดหรือแสดงสีหน้