ก่อนถึงบ้าน นางตัดสินใจทุบกำไลหยกม่วงชิ้นที่นางขโมยมาจนแตกละเอียด แล้วโปรยทิ้งลงในแม่น้ำ แทนการนำไปขายเหมือนชาติที่แล้ว จำได้ว่าเพราะนางนำมันไปขาย กำไลหยกม่วงล้ำค่าเป็นของหายาก กอปรกับมีข่าวว่ากำไลของคุณหนูอันรั่วหลันที่มีสีม่วงเหมือนกันหายไป สืบสาวไปมาก็มาถึงตัวนาง
จำได้ว่านางถูกทรมานให้รับสารภาพจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่กระนั้นนางก็ยังคงปิดปากแน่นสนิท ไม่ยอมพูดออกไปว่าเป็นผู้ขโมย เมื่อเค้นไปแล้วไม่ได้ความ อัครเสนาบดีอันคงกลัวว่านางจะตายในชายคาบ้าน จึงบอกให้อันรั่วหลันและเซียงถังซีเลิกแล้วต่อกันไป สัญญาว่าจะตัดชุดใหม่และซื้อกำไลวงใหม่ให้กับพวกนาง ทั้งสองคนจึงยุติการลงโทษนางในที่สุด
ส่วนชุดผ้าไหม แม้จะเสียดายอยู่ไม่น้อย แต่สุดท้ายนางก็ต้องตัดใจทำลายทิ้ง เมื่อกลับมาถึงจวนอัครเสนาบดี อันเนี่ยนฉีรีบไปห้องครัว โชคดีที่ยังไม่มีใครตื่นมาที่นี่ นางจึงจุดเตาฝืน นำชุดผ้าไหมพวกนั้นเผาจนไม่เหลือซาก คราวนี้นางตรวจตราให้ถี่ถ้วน เมื่อมั่นใจว่าไม่เหลือซากจึงทำท่าเหมือนกำลังต้มน้ำดื่มชา
ครั้งที่แล้วนางเสียดายไม่ยอมทำลายทิ้งเก็บเอาไว้ในเรือนของตน คิดจะเอามาดัดแปลงเก็บไว้ใส่ในงานวันหน้า แต่ก็ถูกจับได้อยู่ดี อันเนี่ยนฉีนั่งเขี่ยเศษขี้เถ้าในเตาไปมา เพื่อดูให้แน่ชัดว่าไม่เหลือร่องรอยอะไรแล้ว กระทั่งแม่ครัวประจำจวนอัครเสนาบดีเข้ามาเตรียมตัวทำอาหาร
“คุณหนูเก้า” แม่ครัวส่งเสียงทักทาย “ท่านมาทำอะไรแต่เช้าเจ้าคะ”
“คอแห้งน่ะ ข้าอยากดื่มน้ำอุ่น ๆ จึงมาจุดไฟตั้งเตา” เป็นเวลาที่กาน้ำเดือดพอดี อันเนี่ยนฉีจึงขอตัว นี่เป็นสิ่งที่นางทำเป็นประจำ อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะไม่ได้สงสัยสิ่งใด นางจึงเดินกลับมาที่เรือนหลังของตนอย่างง่ายดาย
ตอนแรกก็ว่าจะใช้น้ำร้อนที่เพิ่งต้มเสร็จ ชงชาและดื่มแก้กระหาย แต่รู้สึกเหนียวตัวเหลือเกินจึงตัดใจนำมันผสมกับน้ำเย็น ใช้ชำระล้างร่างกาย มือเล็กสัมผัสริมฝีปากของตนเอง อดคิดถึงค่ำคืนที่ผ่านมาไม่ได้ ต้องยอมรับว่าเขาเป็นบุรุษที่ถนอมบุปผา ต่างจาก....
เมื่อคิดถึงความทรงจำเลวร้ายหลังจากถูกส่งตัวไปค้าเป็นทาสแล้ว หัวใจของอันเนี่ยนฉีพลันรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมาเสียดื้อ ๆ นางถูกกระทำย่ำยีไม่ต่างอะไรจากสัตว์ ได้ย้อนเวลากลับมาครั้งนี้นับว่าสวรรค์ให้โอกาส แต่คงจะดีกว่านี้หากให้กลับมาก่อนที่นางจะลงมือวางยาหนานกงหว่านเฉียน
อันเนี่ยนฉีสำรวจร่างกายของตนเองผ่านกระจกทองเหลืองใบเก่า พบว่ามีร่องรอยที่เขาสร้างขึ้นอยู่เต็มไปหมด อีกสักพักหลังจากมื้ออาหารเช้าแม่ใหญ่และอันรั่วหลันจะเข้ามาหาเรื่องนาง เรื่องชุดและกำไลหยกม่วงที่หายไป จะให้พวกเขาสงสัยไม่ได้
นางมองไปรอบ ๆ ห้อง เริ่มทำลายกระดาษที่แปะเอาไว้ตามระแนงไม้ภายในห้อง ที่ด้านนอกก็จำได้ว่ามีรังมดเล็ก ๆ นางจึงคิดอะไรดี ๆ ออก อันเนี่ยนฉีรีบวิ่งไปขุดรังมดจากนั้นฝังกลบให้ดี ๆ จากนั้นจึงนำพวกมันมาโปรยเอาไว้ตรงช่องระแนงไม้ที่นางเพิ่งทำลายแล้วค่อยโรยโยงพวกมันมาถึงเตียงนอน เท่านี้ก็คงมีเหตุผลเพียงพอแล้วกระมัง
เพราะความเหนื่อยล้า นางจึงเดินมางีบหลับอยู่ที่เตียงนอนเล่น เมื่อคืนไม่ได้นอนตลอดทั้งคืนเพราะหนานกงหว่านเฉียนเอาแต่จับนางพลิกตัวไปมา คิดว่าจะตายเสียแล้ว ไม่รู้ว่าไอ้ของพรรค์นั้นมันสามารถสอดเข้าไปในตัวนางได้อย่างไร เพราะเคยถูกกระทำย่ำยีจากบุรุษมากหน้าหลายตามาก่อนในชาติที่แล้ว นางจึงพอรู้ขนาดมาตรฐานของบุรุษทั่วไปอยู่บ้าง แต่ของเขานั้นมันไม่ปกติ ถ้าเขาถูกตัดขาไปข้างหนึ่ง ก็สามารถใช้เจ้านั่นเดินแทนได้
หลับไปยังไม่ทันเท่าไหร่ประตูห้องนอนของนางก็ถูกเปิดออก
“เลยเวลาอาหารเช้าแล้วงั้นหรือ” อันเนี่ยนฉีพึมพำ
“น้องเก้า” เจ้าอยู่ไหน อันรั่วหลันเดินไปหานางที่เตียงนอน พลิกผ้าห่มไปมาไม่พบคนเจอแต่มดเต็มไปหมด
“พี่ใหญ่ ข้าอยู่นี่เจ้าค่ะ” อันเนี่ยนฉีเดินเข้าไปช้า ๆ ใบหน้าซีดเซียว
“นางตัวดี” ท่านแม่ใหญ่เมื่อเห็นหน้านางก็ปรี่เข้ามาตบสั่งสอน กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งอยู่ในโพรงปาก เป็นเหตุการณ์ที่คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าต้องเจอ
“ท่านแม่ใหญ่” นางคุกเข่าลงกับพื้น “เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ” น้ำตาคลอเต็มสองตา
“อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่องกำไลหยกม่วงกับชุดผ้าไหมที่ฮ่องเต้พระราชทานให้พี่สาวเจ้า เจ้าเป็นคนเอาไปใช่หรือไม่ ทำให้นางเกือบพลาดการไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนท่านแม่ทัพ” เซียงถังซีเดินปรี่เข้ามาเอาเรื่องอันเนี่ยนฉี รวมถึงกระชากเส้นผมของนางลากไปกับพื้นห้อง
“ท่านแม่ใหญ่ ข้าไม่ได้เอาไปเจ้าค่ะ ข้าไม่รู้เรื่อง” นางรู้เรื่องและผู้ที่เข้าไปขโมยมาจากห้องของอันรั่วหลันก็คือนาง แต่ต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้ การทำร้ายร่างกายแค่นี้นับว่ายังน้อยกว่าที่นางเคยเผชิญมาในอดีต
“ท่านแม่ อย่าทำน้องเก้าเจ้าค่ะ” ปากก็บอกห้ามปราม แต่การกระทำนั้นตรงข้าม อันรั่วหลันเอาแต่ยืนเฉย ๆ มองมารดาลงไม้ลงมือกับตนเอง ในอดีตนางเคยคิดว่าพี่สาวผู้นี้เป็นคนจิตใจดี แต่หารู้ไม่ว่า ผู้ที่เป็นคนต้นคิดให้ส่งตัวนางให้กับขบวนค้าทาสก็คือนาง
“รั่วเอ๋อร์ เจ้าก็ใจดีกับนางเกิน” เซียงถังซีลากอันเนี่ยนฉีออกมาจากห้องนอน ส่วนบ่าวไพร่เข้าไปค้นหาสิ่งของที่หายไป
ค้นหาจนเรือนเล็กของนางที่สภาพย่ำแย่อยู่แล้วแย่ยิ่งกว่าเดิม
“ท่านแม่ใหญ่ ข้าไม่ได้เอาไปจริง ๆ นะเจ้าคะ ท่านแม่ใหญ่ต้องเชื่อข้านะเจ้าคะ” อันเนี่ยนฉีอ้อนวอน
“อย่ามาคิดแก้ตัว มีคนเห็นว่าเจ้าออกมาจากห้องนอนของรั่วเอ๋อร์ หน็อย!! ทั้งที่นางเป็นผู้เดียวในจวนอัครเสนาบดีที่ใจดีกับเจ้า แต่เจ้ากลับกินบนเรือนขี้รดบนหลังคา กล้าขโมยของของนางได้อย่างหน้าด้าน ๆ” เซียงถังซียังคงด่ากราดบริภาษ บุตรสาวนอกสายโลหิตของตนไม่หยุด
“พี่หญิง ข้ายืนยันจริง ๆ นะเจ้าคะ ว่าข้าไม่ได้ทำ” อันเนี่ยนฉีหันไปหาพี่สาวต่างมารดา พยายามอ้อนวอนนางอีกแรง และอีกครู่หนึ่ง จะมีแขกคนสำคัญเดินหลงทางผ่านมาทางนี้
ฉุดกระชากกันไปมาจนเสื้อผ้าของนางหลุดลุ่ยเซียงถังซีจึงเห็นว่าบนตัวของนางมีแต่รอยสีแดง นางอายุขนาดนี้ มีหรือจะไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร
“อย่าบอกนะว่าเจ้าไปมีสัมพันธ์กับบุรุษมา หน้าไม่อาย นางลูกชั่ว” ปากก็พูดไปมือกับตบตีลูกเลี้ยงเช่นอันเนี่ยนฉีอย่างไม่ยั้งมือ
“ท่านแม่ใหญ่ ไม่ใช่นะเจ้าคะ ไม่ใช่”
หนานกงหว่านเฉียนถอดเสื้อผ้าของตนออก หูพลันได้ยินเสียงนางสะอึกสะอื้นเบา ๆ จึงก้มลงฟังให้ชัด ๆ ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นอันเนี่ยนฉี เห็นหน้าเขาก็ปาดน้ำตาป้อย ผินหน้าไปทางอื่น คนชั่วช้าทำให้นางอับอาย นางเกลียดนัก“คุณหนูเก้า เจ้าเป็นอะไร” เขาเชยคางนางกลับมา จุมพิตแก้มนุ่มของนางเบา ๆ“...” นางเบะปากไม่พูดสิ่งใด เขาทำเหมือนกับเมื่อครู่ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ทั้งที่ทำให้นางอับอายงั้นหรือ“อ้อ...นึกออกแล้ว เจ้าไม่ได้ทำเรื่องสกปรกหรอกนะ มันคือ...ธรรมชาติของร่างกายสตรีต่างหาก” หนานกงหว่านเฉียนจูบซับน้ำตา “ครั้งแรกที่เจ้ากับข้ามีสัมพันธ์กันเจ้าก็ทำเรื่องเช่นนี้มาแล้ว”อันเนี่ยนฉีอ้าปากค้าง หัวสมองเล็ก ๆ ของนางตื้อไปหมด หมายความว่ายังไงกัน อันที่จริง ประสบการณ์ที่นางมีในครั้งก่อน...มัน...ไม่น่าอภิรมย์เท่าใดนัก นางถูกวางยากระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความคิดของนางในเวลานั้นได้แต่ภาวนาให้ผ่านเรื่องเลวร้ายไปเสียที และไม่คิดจะจดจำประสบการณ์พวกนั้นเสี
เมื่อครบสามวัน ตั้งใจทดสอบอาการดูสักหน่อย ก็พบว่าร่างกายของหนานกงหว่านเฉียนก็มีอาการแปลกไปอย่างที่นางว่าเอาไว้จริง ๆ ความรู้สึกเจ็บปวดเพิ่มขึ้นทีละน้อยอย่างเชื่องช้า แม้จะใช้พลังปราณในการสกัดกั้นเอาไว้แต่ก็ไม่เป็นผล เห็นทีว่าถ้าหากไม่ได้สนองก็คงจะทรมานอยู่เช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ นี่แค่เพียงขั้นต้น ก็แย่แล้ว แล้วนางล่ะ เป็นเพียงสตรีธรรมดาเท่านั้น มีหรือจะทนความเจ็บปวดนี้ได้รั้งรออยู่จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดินค่อนไปจนเกือบดึก หนานกงหว่านเฉียนจึงลักลอบไปที่จวนอัครเสนาบดีในทันที หน้าต่างห้องนอนของนางไม่ได้ลงกลอนเอาไว้ เขาเปิดเข้าไปอย่างง่ายดาย มุ่งตรงไปที่เตียงนอนที่อยู่ด้านในสุด อย่างเชื่องช้าและคิดไม่ถึงว่านางจะรอเขาอยู่แล้ว“ท่านมาแล้ว” น้ำเสียงของอันเนี่ยนฉีสั่นเครือเจือความออดอ้อน ร่างเล็กหย่อนขาลงข้างเตียง“ไปกันเถอะ” เขาส่งมือให้แก่นาง แต่นางทำหน้าเศร้าไม่ยอมสบตา ซ้ำยังไม่ส่งมือออกมา ทำเอาเขาประหลาดใจ “คุณหนูเก้าหรือท่านจะเปลี่ยนใจ”&ldqu
แม้ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปราวกับผีเสื้อขยับปีก แต่ก็ไม่อาจจะเปลี่ยนเรื่องที่นางถูกลงโทษได้ เมื่อการลงทัณฑ์ของนางจบสิ้น อันรั่วหลันได้รู้สึกว่าตนเองระบายอารมณ์แล้วก็หมุนตัวเดินจากไป บ่าวรับใช้ที่เป็นคนของพี่ชาย ก็อยู่ในสภาพไม่แตกต่างจากผู้เป็นนาย แต่กระนั้นก็ยังประคองตนเองมาอยู่เคียงข้างคุณหนูเก้าพวกนางได้รับการสั่งสอนมาจากในวังหลวง ให้รู้จักขนบธรรมเนียมอันดีงาม ตอนแรกที่ได้ยินว่าจะได้ออกมาดูแลคุณหนูจวนเสนาบดี ก็ยังคิดว่าสบายแล้ว เพราะเรื่องความเคร่งครัดอาจจะด้อยไปกว่าตอนอยู่ในวังหลวง แต่ก็มีบางเรื่องที่พวกนางคิดไม่ถึงคุณหนูเก้าผู้นี้ช่างน่าสงสารยิ่งนัก มือของสตรี ร่างกายของสตรี ยิ่งเป็นชนชั้นสูงจะให้มีบาดแผลได้อย่างไรกัน แม้จะใช้เวลาร่วมกันไม่นาน แต่พวกนางก็ผูกใจเอาไว้กับเจ้านายคนใหม่ผู้นี้แล้ว“คุณหนู” พวกนางประคองเจ้านายของตนให้กลับขึ้นไปบนที่นอน“พวกเขากระทำเช่นนี้กับคุณหนูตลอดเลยหรือเจ้าคะ”อันเนี่ยนฉีพยักหน้า ดวงตาสีน้ำตาลเข้มนิ่งเฉยคาดเดาไม่ได้ว่านางกำลังค
พอหลุดออกมาจากอ้อมแขนของหนานกงหว่านเฉียนนางก็กระโดดถอยออกมาไกล ๆ ครั้นมั่นใจว่าปลอดภัยจึงรู้สึกโล่งใจ ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามือที่ปกติใช้จับดาบฆ่าฟันศัตรู จะซุกซนไม่เข้าเรื่องเช่นนั้น นางส่งสายตาค้อนขวับให้เขาหนึ่งที แล้วไอ้การทำหน้าตาชั่วร้าย แถมยิ้มกรุ้มกริ่มเจ้าเล่ห์เหมือนกับสุนัขจิ้งจอกจะให้นางคิดอย่างไรกันอีกสามวัน กว่าจะถึงวันนั้นเขาอาจจะขาดใจตายไปแล้วก็ได้ ในตอนแรกออกจะรังเกียจนางอยู่สักหน่อย แต่เมื่อพบว่าคืนนั้นเป็นครั้งแรกของเขาและนาง อีกทั้งนางทำไปก็เพราะถูกพิษที่ตอนนี้ยังหาตัวผู้กระทำไม่ได้ อันเนี่ยนฉีเองก็นับว่าเป็นเหยื่อของเรื่องนี้ ยาพิษหนอนไหมคู่รักอะไรนั่นเขาเองก็เพิ่งจะเคยเห็นกับตาของตนเองและรับรู้ถึงการมีอยู่ของสิ่งสิ่งนั้น ให้คนของเขาที่อยู่ในสำนักตรวจการตรวจสอบแล้วอีกไม่นานก็คงได้รู้“แล้วถ้าเกิดถึงวันนั้นแล้ว เราจะพบกันที่ไหน”นางเองก็คิดไม่ตก “ที่จวนท่านดีหรือไม่ ที่นั่นน่าจะปลอดภัยที่สุด” นางตอบซื่อ ๆ เพราะคิดไม่ออกว่าเรื่องแบบนั้นอยู่ที่ใ
นางไม่รู้ว่าพี่ชายของนางไปเจรจาสิ่งใดกับหนานกงหว่านเฉียน แต่เมื่อพบว่าตนกลับมาอยู่ที่จวนอัครเสนาบดีได้อย่างราบรื่นปลอดภัย ก็เลยคิดเอาเองว่าสุดท้ายแล้วก็คงตกลงกันด้วยดีกระมัง รักษาตัวอยู่เป็นสัปดาห์ อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันที่ครบกำหนดสิบสี่วัน แม้จะเคยร่วมสัมพันธ์กับเขามาครั้งหนึ่งแล้วแต่นางก็ยังรู้สึกกังวลใจอยู่ดีหลังจากอาการไข้ของนางดีขึ้น อันเนี่ยนฉีจึงหมั่นออกมาเดินเล่นในสวน สวนที่แต่ก่อนนางไม่มีสิทธิ์ออกมาเดินเตร็ดเตร่โดยเด็ดขาด คิดไม่ถึงว่าการขอร้องอันจิ้งหยางแค่เพียงครั้งเดียว จะสามารถพลิกชีวิตของนางได้ถึงเพียงนี้ ถ้าหากเมื่อชีวิตที่แล้ว นางกล้าอ้อนวอนเขา ชีวิตก็คง...ไม่ลำบากถึงขั้นนั้นอีกไม่กี่วันก็จะครบกำหนดสิบสี่วันอย่างตามที่นางบอกเอาไว้ตั้งแต่ครานั้น ข่าวจากจวนอัครเสนาบดีก็ไม่มีส่งมาที่เขา ด้วยความกังวลใจ จึงเกิดความคิดอะไรดี ๆ ก็ในเมื่อพี่ชายของนางเป็นคนพูดเอาเองว่าในเวลาปกติสามารถไปพบนางได้ เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ไม่รอช้ามุ่งหน้าไปที่จวนอัครเสนาบดีในทันที
เสียงคนกลุ่มหนึ่งเดินป้วนเปี้ยนอยู่นอกห้อง เดาจากฝีเท้าผู้หนึ่งเป็นผู้ไม่เป็นยุทธ์ ส่วนคนข้าง ๆ กันเป็นผู้มีวรยุทธ์สูงส่ง คงเป็นคุณชายใหญ่พี่ชายของนางกระมัง เมื่อห่มผ้าให้นางเรียบร้อยแล้ว เขาจึงโผล่หน้าออกไปนอกห้องเมื่อออกมานอกห้องก็พบกับบุรุษสวมชุดสีขาว ใบหน้าหล่อเหลาสะอาดสะอ้าน มีบางส่วนคล้ายคลึงกับสตรีที่นอนอยู่ในห้อง บางมุมก็คล้ายกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ดวงตาล้ำลึก เป็นผู้มีความรู้ ดูก็รู้ว่าต้องเป็นคุณชายใหญ่อัน ที่อันเนี่ยนฉีขอร้องให้เขาไปตามตัวสายตาของคุณชายใหญ่อันผู้นี้ชัดเจนว่ากำลังสงสัยเรื่องของและผู้เป็นน้องสาว ส่วนข้าง ๆ กันเป็นองครักษ์ผู้หนึ่งสวมชุดสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ ถือกระบี่เคียงข้างเขา ใบหน้านิ่งเฉย ไม่ได้แสดงความรู้สึกใดผิดกับผู้เป็นเจ้านาย ที่ร้อนรนจนแสดงอาการวิตกกังวล“ด้านในมีเพียงท่านกับนางงั้นหรือ” อันจิ้งหยางยืนรอสักพัก รอว่าอาจจะมีหญิงรับใช้หรือใครอื่นนอกจากเขาเดินตามออกมา“ช่างเป็นคำทักทายที่แปลกใหม่ดีจริง ๆ คุณชายใหญ่” เดาจากท่าทางร้อนรนคงเป