ภายในเรือนโยวหลานเฟ่ยชุ่ยที่กำลังเก็บเศษซากแจกันที่แตกหักอยู่ด้วยหยาดน้ำตาคลอเบ้า พร้อมทั้งไหล่ทั้งสองข้างที่กำลังสั่นเทาเบา ๆ ฉินเหยี่ยนเย่ว์ที่นอนบนเตียงนั้น ได้แต่มองท่าทีผิดหวังของเฟ่ยชุ่ย ก่อนจะถอนหายใจออกมา “เฟ่ยชุ่ย ข้ามิเป็นอันใด เจ้าหยุดร้องไห้ได้แล้ว”เฟ่ยชุ่ยพลันซืดน้ำมูกเข้าไป “เดิมที
“เจ้าลืมวันมงคลของทุกเดือนไปแล้วหรือ?” ตงฟางหลีกล่าว “วันรุ่งพรุ่งนี้ เจ้าจักต้องเข้าวังพร้อมกับข้า ทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์และเครื่องประดับต่างก็จัดเตรียมเอาไว้ให้เจ้าครบหมดแล้ว”ฉินเหยี่ยนเย่ว์ที่ฉุกคิดขึ้นมาได้ในทันทีว่า วันพระบรมราชสมภพขององค์จักรพรรดินั้นเป็นวันยี่สิบสามของเดือนหนึ่ง ฉะนั้นแล้ววันที่
“เฟ่ยชุ่ย พาคนไปอยู่ในที่อุ่น ๆ ที” ฉินเหยี่ยนเย่ว์พลันกำมือของตนเองเอาไว้แน่น “ข้ามิอาจสัมผัสเลือดได้ คุณทำเอง ได้หรือไม่?”เมื่อเฟ่ยชุ่ยได้ยินเช่นนั้น นางจึงพยักหน้าอย่างรวดเร็วในทันที "พระชายามิจำเป็นต้องลงมือเองก็ได้เพคะ บ่าวทำได้ บ่าวทำได้เพคะ”เฟ่ยชุ่ยจึงพาหู่พั่วไปที่ห้องของนางในทันทีฉินเหยี
“เฟ่ยชุ่ย เจ้าไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ของตนเองเสียก่อน” ฉินเหยี่ยนเย่ว์พูดขึ้นด้วยใบหน้าที่เย็นชา “เจ้าไปดูแลหู่พั่วที่อยู่ในห้องให้ดี ข้าจักออกไปดูข้างนอกเสียหน่อย”“พระชายาเพคะ” ใบหน้าของเฟ่ยชุ่ยพลันซีดลงไปในทันที ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “พระชายาอ๋องสามหาได้มาดีไม่ อีกทั้ง นางยังพาแม่น
“ทั้งหู่พั่วและเฟ่ยชุ่ยช่วงนี้ต้องเก็บตัวเพื่อรักษาอาการป่วยอยู่ มิอาจให้พบผู้ใดได้” ฉินเหยี่ยนเย่ว์พลันกล่าวออกมา “หากพวกนางรักษาตัวจนหายเมื่อใดแล้ว ข้าจักให้หู่พั่วไปที่จวนท่านอ๋องสามเพื่อขอเข้าเฝ้าเจ้าเอง”หลังจากได้ยินฉินเหยี่ยนเย่ว์เอ่ยออกมาเช่นนั้น มุมปากของฉินเสวี่ยเย่ว์พลันยกยิ้มได้ใจขึ้นมาใ
“อุ๊ยตาย ขออภัยด้วยเพคะ บ่าวทำงานหนักจนเคยชินแล้ว แรงเลยมากเกินไปหน่อย ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหมเพคะ” แม้ปากของนางสกุลเฉินจะกล่าวขอโทษ แต่บนใบหน้าไม่ได้มีเจตนาขอโทษเลยสักนิดหลังจากฉินเหยี่ยนเย่ว์ยืนตรง ขมวดคิ้วแน่นยายเฒ่าผู้นี้ จงใจทำ จงใจออกแรงผลักไสนางการกระทำเมื่อครู่นี้ในมุมมองของคนนอกนั้นไม่ได้ท
“พระนาง บ่าวจะประคองท่านเข้าเรือนก่อนเพคะ” ตอนที่เฟ่ยชุ่ยเดินเข้ามา รองเท้าได้สัมผัสกับรอยเลือดแล้วรอยเท้าประทับลงไปบนพื้นหิมะ ทำให้สีค่อย ๆ จางลงสีขาวซีดและสีแดงสด สีสันที่อยู่ภายในความทรงจำมาโดยตลอด สีเหล่านั้น เป็นสีที่เข้าใกล้กับความตายมากที่สุดฉินเหยี่ยนเย่ว์จ้องมองเลือดสีแดงสดที่ใกล้เข้ามาเ
ฉินเหยี่ยนเย่ว์จิตใจไม่สงบนางไม่อยากทนรออีกต่อไป จึงสวมเสื้อคลุม ถือตะเกียงแล้วเดินไปทางห้องครัวใหญ่เปลวไฟภายในห้องครัวใหญ่กำลังส่องสว่างตอนนี้เป็นเวลาอาหาร คนในจวนท่านอ๋องเจ็ดไม่มาก หลังจากที่ส่งอาหารไปให้บรรดาเจ้านายแล้ว ก็เป็นเวลาที่บรรดาบ่าวรับใช้ทานอาหารตอนที่ฉินเหยี่ยนเย่ว์ผลักประตูเข้ามา
ไป๋โค้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ก่อนหน้านั้น หม่อมฉันใช้ชีวิตอย่างอิสระ ทั้งยังมีชื่อเสียงโด่งดังในใต้หล้าอีก หลังจากที่หม่อมฉันคิดอยากจะให้บ่อนพนันทั่วทั้งใต้หล้ามีกิจการรุ่งเรื่องอู้ฟู้นั้น หม่อมฉันก็ได้มาพบกับท่านอ๋องเข้า”“ท่านอ๋องบอกกับหม่อมฉันว่า การพนันเป็นเรื่องที่ผิดศีลธรรม มีคนไม่น้อยเลยที่ต
ฉินเหยี่ยนเย่ว์พลันเลิกคิ้วขึ้นนางหาได้เคยถามเรื่องไป๋โค้วอย่างละเอียดไม่ทั้งยังนึกสงสัยมาโดยตลอดว่า เหตุใดตงฟางหลีถึงได้เลือกสตรีทำร้ายบ้านช่องมาไว้ในจวนเช่นนี้“ก่อนหน้านั้นเจ้าทำอันใดมา?” ฉินเหยี่ยนเย่ว์นึกสนใจขึ้นมาในทันที “เปิดบ่อนพนันงั้นหรือ?”“ใช่และไม่ใช่” ไป๋โค้วกล่าว “หม่อมฉันมีฉายาหนึ่
นางนึกเสียใจที่เอ่ยคำพูดเหล่านั้นกับตงฟางหลียิ่งนักก่อนหน้านั้น บุรุษผู้นี้ยังเป็นห่วงเป็นกังวลในสุขภาพของนาง จนมิกล้าทำอะไรรุนแรงเกินไปอยู่เลย หลังจากเมื่อวานรู้ว่าร่างกายและจิตใจของนางกลับมาแข็งแรงแล้วนั้น เขาก็ยิ่งทำตัวไร้ยางอายมากขึ้นไปอีก“ตื่นแล้วหรือ?” ไป๋โค้วเดินแย้มยิ้มเข้ามา พร้อมกับน้ำร
เมื่อฉินเหยี่ยนเย่ว์เห็นว่าตนเองเฉไฉไปไม่รอดแล้วนั้น ใบหน้าของนางพลันแดงระเรื่อขึ้นมานางเอนตัวเข้าไปหาตงฟางหลี ก่อนจะกระซิบข้างหูว่า “หม่อมฉันมิได้บอกท่านไปก่อนหน้านั้นแล้วหรือ ว่าหม่อมมิอาจควบคุมแหวนได้ทั้งหมด?”ตงฟางหลีพยักหน้าลง “แค่นี้หรือ? เช่นนั้น เหตุใดถึงมิยอมเอ่ยปากพูดออกมาด้วยเล่า?”“ท่าน
ถึงอย่างไร การโยนรูปภาพของตนเองเข้ากองไฟเช่นนี้ ทำเอารู้สึกแปลก ๆ ยิ่งนัก ราวกับว่านางกำลังโดนเผาอย่างไรอย่างนั้น ทว่า เมื่อคิดกลับกันนั้นเรื่องน่าอายเช่นนี้ หากผู้อื่นพบเข้าละก็ ย่อมต้องนำพาให้รู้สึกอับอายเป็นแน่ฉินเหยี่ยนเย่ว์จึงโยนมันเข้าเตาผิงไฟด้วยใบหน้าเย็นชาเมื่อถ่านไฟในเตาผิงเจอกับกระดาษ
ฉินเหยี่ยนเย่ว์เกือบจะหัวเราะออกมาด้วยความโกรธยามที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ในม้วนภาพวาดมีบางรูปที่นางนอนอยู่ กินอยู่ ทั้งยังมีนั่งเหม่อลอยอีก...นี่ยังน้อย ๆ อย่างมากนางก็แค่ดูเหมือนพวกเซ่อซ่าเท่านั้นแต่นอกจากรูปภาพเหล่านี้แล้ว ยังมีที่มากไปกว่านี้อีกภาพในยามที่นางโมโห ยามที่นางหัวเราะอ้าปากกว้างออกม
“เอ่อ…” ตงฟางหลีชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อรู้ว่าตนเองพูดหลุดปากออกไปนั้น เขาจึงแย้มยิ้มเจือน ๆ ออกมา “พระชายางดงามดั่งบุปผาเช่นนี้ ข้าย่อมอดคิดถึงรูปร่างหน้าตาของเจ้าไม่ได้ จึงเริ่มลงมือวาดรูปขึ้นมา น่าเสียดายที่ภาพวาดเหล่านั้น ล้วนแต่เป็นภาพที่ข้าจินตนาการขึ้นมาเอง มีเพียงภาพนี้เท่านั้น ที่ข้าให้พระชาย
“สตรีงามที่ตกอยู่ในความกังวล” ตงฟางหลีจุ่มพู่กันขนาดเล็กลงในจาน พลางโค้งกายลงเล็กน้อย ก่อนจะใช้ปลายพู่กันแต่งแต้มลงไปบนเครื่องประดับไข่มุขบนศีรษะของหญิงงามให้กลายเป็นสีแดง“งามหรือไม่?” ตงฟางหลีเอ่ยถาม“หม่อมฉันย่อมงดงามเพคะ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์พลันพึมพำกล่าวออกมาด้วยความตกใจว่า “ทักษะการวาดภาพของมือขวา
นางกำชับคำถามที่ต้องถามกับเฟยอิ่งคร่าว ๆ จากนั้นก็กำชับให้เขารีบไปรีบกลับเฟยอิ่งรับคำสั่งเสร็จก็จากไปในระหว่างที่กำลังรอข่าวอยู่นั้น ฉินเหยี่ยนเย่ว์เกิดความกระวนกระวายขึ้นในใจ ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกหวาดกลัวเฮยตั้นรู้ว่านางอยู่ในสภาวะว่างเปล่า จึงคอยคุ้มครองอยู่ข้างกายนางอย่างรอบคอบระแวดระวังมาโดยตลอด