ณ หมู่บ้านตงซานหลังจากจากเกิดเหตุการณ์ในค่ำคืนที่ผ่านมา ก็ไม่มีใครกลับไปนอนอีกต่างพากันนั่งรอให้ถึงเช้า อู่ถงพอเปิดประตูออกมาในตอนเช้าตรู่ ก็ต้องชะงักกับสตรีราวเจ็ดแปดคน มายืนรออยู่หน้าเรือนพัก ในมือมีอ่างใส่น้ำ เพื่อให้ทุกคนได้ล้างหน้าล้างตา ฮุ่ยเจียงเดินมารับอ่างจากสตรีนางหนึ่ง แล้วยกเข้าไปด่านในให้กับท่านหญิง ส่วนอู่ถงเดินมารับอ่างน้ำอีกอันเพื่อนำไปให้เหว่ยอ๋อง
หลังจากทุกคนล้างหน้าล้างตากันเสร็จ สตรีที่มาคอยช่วยดูแลก็นำน้ำชาและโจ๊กมาให้ทุกคน ว่านชิงอีมองเห็นวิญญาณห้าดวงที่ยืนมองอยู่ห่างๆ ก็สะกิดปิงปิงให้ไปเรียกเข้ามา “พวกท่านมีอะไรหรือไม่?” “ทูลท่านหญิง พวกกระหม่อมไม่มีที่ไป ขอติดตามเป็นทาสรับใช้ท่านได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” ว่านชิงอีได้ฟังก็พยักหน้า “ได้ต่อไปก็คอยฟังคำสั่งของปิงปิงก็แล้วกัน” ห้าดวงวิญญาณปรายตามองเด็กน้อยวัยห้าขวบ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ท่านหญิงจะให้พวกข้าฟังคำสั่งจากเด็กคนนี้หรือ?” ว่านชิงอียกยิ้ม “อย่าดูถูกความสามารถนางเชียวนะ” ปิงปิงพอได้ยินนางเอ่ยชม ก็ยกแขนขึ้นมากอดอกอย่างเย่อหยิ่ง “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าใครที่เป็นคนทำวิชาอาคมพวกนี้ ในนิมิตข้าเห็นชายผู้หนึ่งแต่ว่าไม่ชัดมาก และข้าอยากรู้ว่าตำแหน่งที่เขาทำพิธีอยู่ที่ใด เพราะข้าเห็นเหล่าดวงวิญญาณมากมายถูกขังอยู่ในนั้น” “ท่านหญิงพวกกระหม่อมก็ไม่รู้เหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ หลังจากถูกดึงวิญญาณไป ก็ถูกควบคุมจากเขาผู้นั้น แต่ดูท่าแล้วเขาน่าจะวิชาอาคมที่แข็งแกร่งมาก พวกกระหม่อมไม่มาสามารถมองเห็นเขาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ” “ที่จริงถึงเขาจะวิชาอาคมแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่สามารถทำอะไรคนปกติได้ นอกจากคนที่มีร่างกายอ่อนแอเพียงเท่านั้น การที่ทุกคนเริ่มล้มป่วยลง ต้องมีคนช่วยเหลือเขาอยู่เป็นแน่ ถ้าให้ข้าเดาอาจจะเป็นคนในหมู่บ้านนี้ก็อาจเป็นได้ พวกท่านก็คอยจับตาดูแล้วคอยรายงานกับปิงปิง เพราะนางสามารถไปมาได้สะดวก” “พ่ะย่ะค่ะ” ห้าดวงวิญญาณคำนับรับปากอย่างแข็งขัน “แบมือของพวกท่านออกมา” ว่านชิงอีเขียนอักษรลงบนฝ่ามือของพวกเขา “ต่อไปจะไม่มีใครสามารถมาดึงวิญญาณของพวกท่าน ให้ไปทำร้ายใครอีก” “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” หลังจากช่วยเหลือผู้คนในหมู่บ้านตงซานและแจกยันต์ป้องกันให้กับทุกคนว่านชิงอีจึงคิดว่าควรเตรียมตัวกลับแต่จู่ๆ อาการปวดหน่วงท้องน้อยก็เริ่มขึ้นมา ว่านชิงอีรีบทรุดตัวลงนั่งอย่างทรมานปิงปิงที่เห็นอาการของนางก็เดาออกทันที “คุณหนูเป็นรอบเดือนใช่หรือไม่ มาอยู่ยุคนี้ยากหน่อยไม่มีผ้าอนามัย เราจะทำอย่างไรกันดี?” “ก็คงต้องตัดผ้ามาพับๆ ทบๆ กันหลายชั้นๆ เสียดายของแบบนี้แม่กับพ่อข้า คงไม่ทำบุญส่งมาให้ข้าหรอก คนทำบุญส่วนใหญ่นึกถึงของกินเป็นอย่างแรก แต่ว่ารสดีทำไมถึงทำบุญส่งมาให้ก็ไม่รู้แปลกจริง แต่ปิงปิงข้าคิดว่าข้าน่าจะทำผ้าอนามัยขายนะ ยุคนี้คงยังไม่มีใครทำออกมา” “คุณหนูความคิดดีมากเลยเจ้าค่ะ แต่ว่าหากทำก็ต้องทำกางเกงในสำหรับใส่ด้วย” “ใช่แล้วปิงปิง!ข้ารู้แล้วว่าจะทำอะไร นอกจากช่วยเหลือวิญญาณ ข้าก็จะมีกิจการเป็นของตนเอง ขอบใจเจ้ามากนะปิงปิง” ว่านชิงอียิ้มอย่างเบิกบานใจ เมื่อนึกถึงกิจการในวันข้างหน้า สินค้าเหล่านี้เป็นสิ่งที่สตรีจำเป็นต้องใช้ กิจการของนางต้องไปได้สวยแน่ “เจ้าเป็นอะไรไม่สบายหรือ?” เหว่ยอ๋องที่เดินเข้ามา เห็นนางนั่งใช้มือกุมอยู่ที่ท้องจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง “ปวดท้องนิดหน่อยเพคะ” พอเขาได้ยินเช่นนั้นก็ทรุดตัวลงนั่งด้วยสีหน้าเป็นกังวล แล้วเอื้อมมือไปจับมือนางมากุมไว้ “มีหมอหลวงมาด้วยจะให้เขาตรวจดูหรือไม่?” “ท่านอ๋องอาการปวดท้องน้อยของสตรีจะเป็นแบบนี้ทุกเดือนเพคะท่านอย่าทรงกังวลไปเลย อีกสามวันหม่อมฉันก็หายแล้วเพคะ” “สามวันเลยหรือเจ้าต้องทรมานมากแน่” ว่านชิงอีเห็นมุมนี้ของเขาก็ยิ้มสดใส “หม่อมฉันทนได้เพคะ” เขายกมือมาลูบแก้มนางเบาๆ อย่างปลอบโยน นางจึงจับมือเขามาแล้วเขียนยันต์ลงไปบนฝ่ามือ “เจ้าเขียนอะไรหรือ?” “เขียนยันต์ความรัก จะได้เหนี่ยวแน่นมั่นคงตลอดไปเพคะ” กล่าวจบนางส่งยิ้มให้เขาอย่างอ่อนหวาน เหว่ยอ๋องมองใบหน้าที่งดงามตรงหน้า ภายในหัวใจเต้นแรง เเละเบิกบานอย่างมีความสุข “วันปักปิ่นของเจ้าคือเมื่อใด?” “อีกหนึ่งเดือนเพคะท่านอ๋องถามทำไมหรือเพคะ? หรือว่าพระองค์อยากแต่งหม่อมฉันเป็นชายา! แหม่ใจร้อนเหมือนกันนะเพคะ” ว่านชิงอีกล่าวพลางกระตุกแขนเสื้อเขาเบาๆ อย่างหยอกล้อ ใบหน้าเหว่ยอ๋องแดงระเรื่อขึ้นมาทันที “เจ้าพูดอะไรข้าก็ถามไปอย่างนั้นเอง” “ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันรับหมั้นคนอื่นดีหรือไม่?” “เจ้าอยากตายหรือข้าจะได้สงเคราะห์ให้” เหว่ยอ๋องเอ่ยน้ำเสียงเย็นเยียบขึ้นมาทันที “ดุจริงๆ ไม่รู้ว่าข้าเผลอไปชอบคนเช่นนี้ได้อย่างไรกันนะ อุ๊บ!ขออภัยเพคะหม่อมฉันคิดดังไปหน่อย” ว่านชิงอีกล่าวขอโทษแต่ใบหน้ากลับยิ้มระรื่น จนเขาต้องยกยิ้มเอ็นดู นางทำให้เขาตกหลุมรักนาง วันละหลายๆ ครั้งได้อย่างไรกันนะ “เราออกเดินทางกันเถิดเพคะเดี๋ยวจะมืดค่ำเสียก่อน” “ไปเถอะ” เหว่ยอ๋องรับคำก่อนจะเดินมาส่งนางขึ้นรถม้า ทางด้านหานไจ๋ที่พอได้รับคำสั่ง จากเจ้าสัวโจวป๋อเหวิน ให้ตามออกมาดูคนที่ออกไปสั่งหารเหว่ยอ๋องและท่านหญิง ว่าเป็นอย่างไรกันบ้างเพราะไม่มีใครมารายงานความคืบหน้าใดๆ เลย ทำให้เจ้าสัวโจวถึงกับนั่งไม่ติด หากแผนลอบสังหารครั้งนี้ผิดพลาด การลงมือครั้งต่อไปก็คงยากขึ้นอย่างแน่นอน หานไจ๋พร้อมกับกลุ่มคนที่มีฝีมือด้านวรยุทธ ควบม้าตรงไปยังเส้นทางที่ไปยังหมู่บ้านตงซาน แต่ภาพที่เห็นไกลๆ ว่ามีกลุ่มคนกำลังเดินทางมา ทำให้เขาต้องรีบบอกทุกคนให้หยุด แล้วไปแอบอยู่บนเนิ่นเขาเพื่อดูว่าเขาเหล่านั้นเป็นใคร พอขบวนเดินทางเข้ามาใกล้เขาถึงตกใจหน้าซีดเผือด นักฆ่าทั้งสิบคนถูกจับและกำลังถูกควบคุมไปเมืองหลวง เป็นไปได้อย่างไรกัน หมายความว่าเหว่ยอ๋องรู้ตัวหรือ? ไม่ได้เขาต้องจัดการปิดปากพวกเขาซะ เหล่านักฆ่าที่ถูกควบคุมให้เดินไปตามถนนจู่ๆ ก็ล้มลงสิ้นใจตายกันกันทีละคน ทำเอาเหล่าทหารหลายสิบคนตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น เอ่อไท่องครักษ์ข้างกายคนสนิทองค์ชายซีห่าว หยุดชะงักเมื่อทหารตะโกนบอกว่ามีคนลอบฆ่าคนร้าย เขารีบกวาดตามองรอบบริเวณแต่ก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ เห็นทีคนบงการคงส่งคนมาฆ่าปิดปากพวกเขาเป็นแน่ ช่างเลือดเย็นและเหี้ยมโหดเกินไปแล้ว “พวกเจ้าระวังตัวด้วยไม่รู้ว่าคนร้ายดักซุ่มอยู่ตรงไหน” “ขอรับ” หลังจากฆ่าปิดปากนักฆ่าทั้งสิบคนด้วยเข็มพิษปลิดวิญญาณ หานไจ๋ก็รีบกลับมารายงานท่านเจ้าสัวโจวทันที ซึ่งโจวป๋อเหวินพอได้รับรู้ว่า หานไจ๋ได้จัดการปิดปากนักฆ่าไปหมดแล้วก็โล่งใจ ถึงแม้แผนจะไม่สำเร็จแต่ไม่มีอะไรสาวมาถึงตัวเขาแค่นี้ เขาก็พอใจมากแล้ว หานไจ๋ไม่เคยทำให้เขาผิดหวังเลยสักครั้ง เขาทำงานได้เด็ดขาดและรู้ว่าควรทำอย่างไร ไม่เสียแรงที่เขาเลี้ยงดูมาเหมือนคนในครอบครัวคนหนึ่ง “ทำงานได้ดีมาก เจ้าไม่เคยทำให้ข้าผิดหวังเลยจริงๆ” โจวป๋อเหวินหัวเราะออกมาด้วยความพอใจ “ขอบคุณนายท่านขอรับ”ดึกสงัดในค่ำคืนเดือนมืด ว่านชิงอีและพี่สาวอีกสองคนของนางก็ยังไม่พากันเตรียมตัวเข้านอน เพราะว่านชิงอีไหว้วานให้พี่สาวทั้งสอง ช่วยพับยันต์ที่นางเขียนขึ้นมามากมาย เพราะอีกไม่นานจะเป็นเทศกาลปีใหม่ ว่านชิงอีจึงอยากจะทำไว้แจกผู้คน แต่ในความรู้สึกส่วนตัวลึกๆ นางมีลางสังหรณ์ว่าจะมีเรื่องราวไม่ดีเกิดขึ้น นางจึงคิดว่าหากมียันต์ป้องกันภูตผีพกติดตัวกันเอาไว้ ก็อาจจะพอช่วยอยู่ได้บ้างแม้จะไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย ว่านชิงอีปรายตามองปิงปิงที่นอนเล่นอยู่บนเตียงของนาง ส่วนดวงวิญญาณอีกสามดวงนั่งอยู่อีกมุมหนึ่ง “เหตุใดเจ้าถึงต้องทำเยอะขนานนี้กัน? ว่านชิงหลานเริ่มรู้สึกเบื่อ เพราะนั่งทำมาหลายชั่วโมงแล้ว เสี่ยวหมานพยักหน้าเห็นด้วยที่ เพราะนางก็เริ่มเมื่อยมือเช่นเดียวกัน “งั้นพี่ใหญ่พี่รองก็ไปนอนเถิดเจ้าค่ะ วันหลังคอยมาพับใหม่” ว่านชิงอีมองเห็นความเหนื่อยล้าของพี่สาวทั้งสอง จึงรีบบอกให้ไปพักผ่อนเสียง “ถ้าเช่นนั้นข้าไปก่อนนะ” ว่านชิงหลินและว่านชิงหลานรีบเอ่ยลา เพราะร่างกายเริ่มล้าและง่วงนอนเต็มที หลังจากพี่สาวของนางจากไปไม่นาน จู่ ๆ ลมก็พัดอย่างรุนแรงคล้ายจะมีลมฝน แต่กลิ่นที่มาพร้อมกับล
ทางด้านสามตระกูลใหญ่ ที่ยามนี้มารวมตัวกันอยู่ที่จวนของตระกูลกู้ เพื่อรอฟังข่าวว่าวันนี้ท่านหญิงจะเป็นเช่นไร เมื่อมีข่าวออกมาว่าผู้คนได้ไปรวมตัวกัน ที่หน้าสำนักงานหน่วยสืบสวนเพื่อเรียกร้องให้จับท่านหญิง มาเผาไฟต่อหน้าทุกคน ฝ่ายกรมยุติธรรมเมื่อถูกกดดันจากราษฎร จึงต้องเข้าไปตรวจสอบ เพื่อความสบายใจให้แก่ทุกคน แม้ว่าเรื่องนี้ฟังดูแล้วข้อกล่าวหาอาจดูเกินจริง และดูเหมือนใส่ร้ายท่านหญิงจนเกินไป แต่เนี่ยนเจินกรมยุติธรรมก็ต้องทำตามหน้าให้ดีที่สุด สร้างความพอใจให้กับสามตระกูลใหญ่เป็นอย่างมาก พวกเขาจึงนัดกันมานั่งจิบชา รอฟังข่าวอยู่ที่จวนเสนากู้ สามฮูหยินและคุณหนูทั้งสามต่างพากัน พูดคุยอย่างอารมณ์ดี พวกนางคิดว่าอย่างไรวันนี้ท่านหญิงก็คงไม่รอด เพราะเหตุการณ์วันนั้นหลายคนเห็นกับตาตนเอง ว่านางสามารถสร้างภาพลวงตาทำให้ผู้คนหวาดกลัว ข้อกล่าวหาว่านางเป็นปีศาจไม่ดูเกินจริงเลยสักนิด “รายงานขอรับ” บ่าวจวนเสนาบดีกู้รีบเข้ามารายงาน หลังออกไปเกาะติดสถานการณ์ เกี่ยวกับท่านหญิงมาทั้งวัน เมื่อได้ยินเสียงตะโกนบอกของบ่าวที่มารายงาน ทุกคนก็ตั้งอกตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ “เรียนท่านเสนาตอนนี้ผู้คนที่รวมตัวกัน ไป
ทางด้านเหว่ยอ๋องพอกลับมาถึงเมืองหลวง เขาและว่านชิงอี ก็ได้แวะที่สำนักงานสืบสวนคดีก่อนเป็นที่แรก เพราะอยากรู้เรื่องที่ให้จับคนร้ายมาขังเพื่อรอไต่สวน แต่กลับต้องผิดหวังเมื่อ องค์ชายซีห่าวบอกว่า นักฆ่าทั้งสิบคนถูกลอบสังหารฆ่าปิดปากจนหมด “เจ้าว่าอย่างไรนะ!” เหว่ยอ๋องแผดเสียงออกมาอย่างผิดหวัง “ข้าก็ไม่คิดว่าคนบงการ จะคิดจัดการกับกลุ่มคนร้ายเช่นนี้ คงไม่อยากให้เรื่องราวถูกสาวถึงตัว แล้วทางหมู่บ้านตงซานเป็นเช่นไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ?” “ก็เรียบร้อยดี เหมือนมีคนจงใจสร้างสถานการณ์ขึ้น ให้ข้าและนางออกไปจากเมืองหลวง ข้าคิดว่าชาวบ้านคงไม่รู้เรื่องอันใด แต่ชิงอีได้ทิ้งคนให้คอยสอดส่องและคอยรายงานแล้ว” องค์ชายซีห่าว สะดุดคำเรียกที่เหว่ยอ๋องเรียกท่านหญิงว่าชิงอี สงสัยความสัมพันธ์ของพวกเขาคงรุดหน้าไปเป็นอย่างดีสินะ “เหตุใดท่านหญิงถึงได้กลายเป็นชิงอีเฉยๆ แล้วเล่า ความสัมพันธ์ของพวกท่านทั้งสอง คงพัฒนาไปเป็นอย่างดีสินะ?” “เจ้าพูดอะไรข้าก็แค่สนิทกับนางมากขึ้น” เหว่ยอ๋องพอถูกผู้เป็นน้องกล่าวล้อขึ้นมาก็ถึงกับวางตัวไม่ถูก “ท่านพี่…คุยเสร็จหรือยังเพคะ” ว่านชิงอียิ่งเห็นเขาทำตัวไม่ถูกก็ยิ่งอยากแกล้ง เหว่ยอ๋องพอ
ณ หมู่บ้านตงซานหลังจากจากเกิดเหตุการณ์ในค่ำคืนที่ผ่านมา ก็ไม่มีใครกลับไปนอนอีกต่างพากันนั่งรอให้ถึงเช้า อู่ถงพอเปิดประตูออกมาในตอนเช้าตรู่ ก็ต้องชะงักกับสตรีราวเจ็ดแปดคน มายืนรออยู่หน้าเรือนพัก ในมือมีอ่างใส่น้ำ เพื่อให้ทุกคนได้ล้างหน้าล้างตา ฮุ่ยเจียงเดินมารับอ่างจากสตรีนางหนึ่ง แล้วยกเข้าไปด่านในให้กับท่านหญิง ส่วนอู่ถงเดินมารับอ่างน้ำอีกอันเพื่อนำไปให้เหว่ยอ๋อง หลังจากทุกคนล้างหน้าล้างตากันเสร็จ สตรีที่มาคอยช่วยดูแลก็นำน้ำชาและโจ๊กมาให้ทุกคน ว่านชิงอีมองเห็นวิญญาณห้าดวงที่ยืนมองอยู่ห่างๆ ก็สะกิดปิงปิงให้ไปเรียกเข้ามา “พวกท่านมีอะไรหรือไม่?” “ทูลท่านหญิง พวกกระหม่อมไม่มีที่ไป ขอติดตามเป็นทาสรับใช้ท่านได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” ว่านชิงอีได้ฟังก็พยักหน้า “ได้ต่อไปก็คอยฟังคำสั่งของปิงปิงก็แล้วกัน” ห้าดวงวิญญาณปรายตามองเด็กน้อยวัยห้าขวบ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ท่านหญิงจะให้พวกข้าฟังคำสั่งจากเด็กคนนี้หรือ?” ว่านชิงอียกยิ้ม “อย่าดูถูกความสามารถนางเชียวนะ” ปิงปิงพอได้ยินนางเอ่ยชม ก็ยกแขนขึ้นมากอดอกอย่างเย่อหยิ่ง “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าใครที่เป็นคนทำวิชาอาคมพวกนี้ ในนิมิตข้าเห็นชายผู้หนึ่งแต่ว่าไม่
พอพานางมาถึงเรือนที่พัก ว่านชิงอีก็หลุดหัวเราะออกมากับกิริยาท่าทางของเขา ที่ดูถือตัวขึ้นมาเมื่อสตรีนางนั้นอยากเช็ดคราบสุราที่นางทำหกใส่แขนเสื้อของเขา “เป็นบุรุษรูปงามก็แบบนี้แหละเพคะไปที่ไหนมีแต่สตรีหมายปอง” “เจ้าไม่โกรธเคืองสตรีเหล่านั้นหรือ?” “โกรธแล้วจะทำอย่างไรได้เล่าเพคะ ห้ามสายตาสตรีเหล่านั้นได้ที่ไหนกัน แต่ว่ามันก็ทำให้หม่อมฉันภูมิใจ ที่ท่านอ๋องหล่อเหล่ามากขนานนี้ มากจนจนหม่อมฉันใจละลาย มอบหัวใจให้ท่านไปจนหมดแล้ว” เหว่ยอ๋องยกนิ้วขึ้นมาเคาะจมูกนาง สตรีนางนี้พูดจาเป็นเรื่องเป็นราว ไม่มีท่าทีกระดากอายเลยสักนิด เขาละจนใจกับความมึนของนาง ก่อนองครักษ์จะตามเข้ามา เหว่ยอ๋องจึงเดินไปนั่งเก้าอี้ข้างเตียง “พวกเจ้าก็หามุมที่จะนอนเอาเองละกัน” “แต่ว่าหากตกดึกอากาศจะหนาวหรือไม่ ฮุ่ยเจียงไปเอาผ้าห่มบนรถม้ามาเพิ่มอีกมีหลายผืน” ว่านชิงอีนึกกังวล เพราะตกดึกอากาศมักจะหนาวเย็น ฮุ่ยเจียงกลับมาพร้อมกับผ้าห่มในอ้อมแขน เหว่ยอ๋องคิ้วกระตุกเมื่อคิดว่า สิ่งที่นางเคยใช้ องครักษ์ของเขาจะได้ใช้ด้วย ไม่ได้เขาไม่มีทางยอม “เอามานี่ ส่วนผ้าห่มที่ทางนี้จัดหาให้พวกเจ้าเอาไป” “ท่านอ๋องแต่ว่าผ้าห่มจะครบคนหร
ชายสี่คนเดินตามอีถงและลู่หลิงที่พาเดินเข้ามาลึกพอสมควร ก่อนที่นางทั้งสองจะหยุดเดิน แล้วหันกลับมาแสยะยิ้มให้พวกเขา จากใบหน้าที่ปกติยามนี้เนาะเฟะมีหนอนชอนไช ดวงตาหลุดออกมานอกเบ้า ชายทั้งสี่ตาเหลือกถลนกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า ก่อนจะพากันร้องลั่นด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะพากันวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต พอหยุดพักหายใจ ก็เห็นร่างวิญญาณที่น่าเกลียดน่ากลัวมาอยู่ตรงหน้า พวกเขาหวาดกลัวจนหมดสติ อีถงและลู่หลิงจึงเดินออกไปหากลุ่มที่ยืนรออยู่ “นายท่าน” พวกเขาอีกหกคนหันมาตามเสียง ก็ถึงกับผงะกับใบหน้าที่น่าเกลียดน่ากลัวของนางทั้งสอง พอหันมามองชายที่ยืนอยู่กับเด็ก ยามนี้เขาก็ดึงคอออกจากหัวอย่างช้า แล้วโยนเล่นไปมา ส่วนเด็กน้อยก็ยืดมืออันแสนยาวเหยียดขึ้นไปโหนต้นไม้ แกว่งไกวตนเองไปมา ชายทั้งหกคนหมดสติไปทันทีด้วยความกลัว ก่อนปิงปิงจะรีบไปส่งข่าวกับว่านชิงอี ไม่นานกลุ่มของท่านอ๋องก็มาถึง “พวกเจ้าทำได้ดีมาก” ว่านชิงอีเอ่ยชม มีผู้ช่วยเป็นวิญญาณก็ดีแบบนี้ไม่ต้องเปลืองแรง “อู่ถงจับมัดพวกเขาเอาไว้ ส่งคนไปแจ้งทางการให้มาเอาตัวพวกเขาไป บอกองค์ชายซีห่าวให้ส่งคนมาช่วยข้ามากหน่อย อีกอย่างบอกองค์ชายซีห่าวชายสิบคนนี้ ข้ากลับ