ทางด้านสามตระกูลใหญ่ ที่ยามนี้มารวมตัวกันอยู่ที่จวนของตระกูลกู้ เพื่อรอฟังข่าวว่าวันนี้ท่านหญิงจะเป็นเช่นไร เมื่อมีข่าวออกมาว่าผู้คนได้ไปรวมตัวกัน ที่หน้าสำนักงานหน่วยสืบสวนเพื่อเรียกร้องให้จับท่านหญิง มาเผาไฟต่อหน้าทุกคน
ฝ่ายกรมยุติธรรมเมื่อถูกกดดันจากราษฎร จึงต้องเข้าไปตรวจสอบ เพื่อความสบายใจให้แก่ทุกคน แม้ว่าเรื่องนี้ฟังดูแล้วข้อกล่าวหาอาจดูเกินจริง และดูเหมือนใส่ร้ายท่านหญิงจนเกินไป แต่เนี่ยนเจินกรมยุติธรรมก็ต้องทำตามหน้าให้ดีที่สุด สร้างความพอใจให้กับสามตระกูลใหญ่เป็นอย่างมาก พวกเขาจึงนัดกันมานั่งจิบชา รอฟังข่าวอยู่ที่จวนเสนากู้ สามฮูหยินและคุณหนูทั้งสามต่างพากัน พูดคุยอย่างอารมณ์ดี พวกนางคิดว่าอย่างไรวันนี้ท่านหญิงก็คงไม่รอด เพราะเหตุการณ์วันนั้นหลายคนเห็นกับตาตนเอง ว่านางสามารถสร้างภาพลวงตาทำให้ผู้คนหวาดกลัว ข้อกล่าวหาว่านางเป็นปีศาจไม่ดูเกินจริงเลยสักนิด “รายงานขอรับ” บ่าวจวนเสนาบดีกู้รีบเข้ามารายงาน หลังออกไปเกาะติดสถานการณ์ เกี่ยวกับท่านหญิงมาทั้งวัน เมื่อได้ยินเสียงตะโกนบอกของบ่าวที่มารายงาน ทุกคนก็ตั้งอกตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ “เรียนท่านเสนาตอนนี้ผู้คนที่รวมตัวกัน ไปเรียกร้องให้เผาท่านหญิง ต่างพากันคุกเข่าขออภัยโทษที่ได้กล่าวล่วงต่อท่านหญิงขอรับ” “เจ้าว่าอย่างไรนะ!” เสนากู้ยามนี้ตกใจแทบร่วงเก้าอี้ เหตุใดเหตุการณ์ถึงกลับกลายเป็นเช่นนี้ เสนาจางและเสนาซูตกใจไม่ต่างกัน นี่มันเกิดอะไรขึ้น! “มันเกิดอะไรขึ้นเจ้าเล่ามาให้หมด” เสนากู้ยามนี้อารมณ์ปะทุด้วยความโกรธภายในใจ นี่เขาจะทำอะไรนางไม่ได้จริง ๆ หรือ? “เรื่องเป็นแบบนี้ขอรับ ท่านหญิงนางได้ให้เหล่าดวงวิญญาณที่ได้รับความเดือดร้อน จากการตายโดยไม่เป็นธรรมมาปรากฎตัว ท่านหญิงยังบอกอีกว่า วิญญาณเหล่านั้นมาหานางเพื่อขอความช่วยเหลือ เพราะนางสามารถมองเห็นและพูดคุยกับวิญญาณได้ และวันนี้วิญญานที่ถูกฆ่าปิดปากในคุก ก็ยังปรากฏตัวแล้วยังได้ชี้ตัวคนร้ายต่อหน้าทุกคน ยามนี้ทุกคนต่างกล่าวยกย่องท่านหญิง ว่าเป็นสตรีที่มีจิตใจเมตตา แม้แต่วิญญาณนางก็ให้ความช่วยเหลือจากการตาย โดยไม่รับความเป็นธรรมขอรับ” “เจ้าว่าอะไรนะ!วิญญาณที่ตายในคุกอย่างนั้นรึ?” เสนาซูตกใจสุดขีดเมื่อได้ยินว่า วิญญาณที่ตายในคุกปรากฏตัวแล้วยังได้ชี้ตัวคนร้าย นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน คนตายไปแล้วยังมาปรากฎตัวได้ นี่มันเรื่องจริงใช่หรือไม่? “ตกใจอะไรกันขนาดนั้นเสนาซู อย่าบอกนะว่า ท่านมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนที่ตายในคุก?” เสนาซูเริ่มทำตัวไม่ถูกเมื่อเสนาจางเอ่ยถามขึ้นมา เสนากู้ปรายตามองเขาก่อนจะถอนใจออกมา “เรื่องนี้ข้าว่าท่านควรอยู่เฉย ๆ ตั้งแต่แรก น้องชายของท่านทำตัวเบ่งอำนาจว่างท่าใหญ่โต เที่ยวหอคณิกาเข้าบ่อนการพนัน ล่าสุดทำร้ายคนจนถึงขั้นเสียชีวิต เพราะถือว่ามีพี่ชายเป็นเสนาบดี ท่านช่วยเขาปิดบังความผิด ท่านจะเดือดร้อนไปด้วย เนื้อร้ายบางทีก็ต้องยอมตัดมันทิ้ง ท่านคิดว่าฆ่าคนในคุกเพื่อปิดปาก แล้วคนที่อยู่ที่บ่อนพนันอีกเล่า ไม่ใช่ว่ามีเขาเพียงคนเดียวที่ไหนกันที่เห็นเหตุการณ์ ท่านทำอะไรไม่คิดให้ถี่ถ้วนเอาเสียเลย” เสนากู้กล่าวออกมายืดยาว เพื่อจะเตือนสติของสหาย “แล้วเช่นนั้นข้าจะทำเช่นไรดี?” เสนาซูยามนี้สีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด “ท่านก็แค่ปล่อยให้ทางการจัดการกับน้องชายตัวดีของท่านไป ท่านแค่ห้ามไปยุ่ง” เสนาจางกล่าวเสริมขึ้น “ใช่ข้าเห็นด้วยกับเสนาจาง แต่ว่าเรื่องท่านหญิงข้าว่าพวกเราควรต้องไปปรึกษากับนายใหญ่เสียแล้ว หลายต่อหลายครั้งแล้วที่พวกเรา ไม่สามารถทำอะไรนางได้เลย ขืนปล่อยไว้เช่นนี้ต่อไป นางต้องสืบสวนจนสาวมาถึงพวกเราแน่ ยิ่งนางมีเหล่าวิญญาณเป็นบ่าวรับใช้เช่นนี้ ข้ารู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย” “ข้าเห็นด้วยกับท่าน ให้คนไปติดต่อนายใหญ่เถิดเรื่องนี้เราจะนิ่งนอนใจได้” เสนาจางเห็นด้วย ในเมื่อลงเรือลำเดียวกันแล้ว ก็ต้องช่วยกันคิดหาวิธีรับมือ เพราะหากถูกนางสืบสาวราวเรื่องขึ้นมา คนที่โดนไม่ใช่เขาคนเดียวแต่เป็นพวกเขาทั้งหมด หลังจากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันกลับจวนอย่างหัวเสีย เสนากู้เป็นฝ่ายเสนอที่จะเป็นคนติดต่อไปหานายใหญ่ และให้ทางฝ่ายนั้นนัดแนะว่าให้ไปพบที่ใด เพราะแต่ละครั้งสถานที่ที่นัดเจอ จะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด วันต่อมาทางฝั่งนายใหญ่ก็ส่งคนมาแจ้งกับเสนากู้ถึงสถานที่นัดพบ เขาจึงให้คนไปบอกเสนาซูและเสนาจาง จากนั้นเขาก็รีบรุดหน้าไปยังสถานที่นัด นั้นก็คือร้านขายหนังสือร้านหนึ่ง ซึ่งเป็นกิจการของตระกูลโจว ที่มีอยู่หลายสิบแห่งในเมืองเจินฟ่าน ตระกูลโจวครอบครองกิจการค้าขายมากมาย จนเป็นตระกูลที่ร่ำรวยเป็นอันดับหนึ่งในแคว้นเจิน ผู้คนต่างให้ความเคารพนับถือ แต่เบื้องหลังใครจะรู้ว่า ความประสบผลสำเร็จที่ได้มานั้น ต้องแลกมากับสิ่งใดบ้าง ผู้คนมองเห็นแค่ฉากหน้าที่สวยงาม จึงไม่เคยนึกถึงฉากหลังว่าเป็นเช่นไร รถม้าสามคันมาจอดที่หน้าร้านหนังสือในเวลาไล่เลี่ยกัน เสนากู้เดินเข้าไปในร้านเป็นคนแรก ตามด้วยเสนาจางและเสนาซูตามลำดับ ภายในร้านตกแต่งอย่างสวยงาม มีมุมให้นั่งอ่านอย่างเงียบ ๆ อีกทั้งร้านยังมีบริการน้ำชา ให้กับลูกค้าที่เข้ามาซื้อหนังสืออีกด้วย พอพนักงานที่เห็นพวกเขาเดินเข้ามา ก็รีบเดินนำพาพวกเขาขึ้นไปบนชั้นบน ชั้นนี้รอบด้านทำเป็นชั้นวางหนังสือต่าง ๆ แต่พอบุรุษที่เป็นพนักงานคนนั้น สัมผัสกับหนังสือเล่มหนึ่ง ฝาผนังก็เลื่อนเปิดออก เผยให้เห็นว่ามีห้องอยู่ด้านใน สามเสนารีบก้าวเข้าไปทันที ก่อนฝาผนังจะเลื่อนปิดลงอีกครั้ง “ท่านเสนาทั้งสามเชิญนั่ง” โจวเหม่ยหลิงกล่าวเชื้อเชิญเมื่อเห็นพวกเขาก้าวเข้ามาในห้อง สามเสนาคำนับให้โจวป๋อเหวินและโจวเหม่ยหลิงอย่างให้เกียรติ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่จัดเตรียมให้ “ท่านไม่ต้องเอ่ยสิ่งใดทั้งสิ้น เพราะข้ารู้เรื่องทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว จากที่ข้าสังเกตดูช่วงนี้ พวกท่านก็พยายามกันอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าใด ต่อไปเรื่องท่านหญิงข้าจะเป็นคนจัดการเอง พวกท่านมีหน้าที่เพียงสร้างสถานการณ์ เบี่ยงเบนความสนใจของผู้คนในเมืองเจินฟ่าน การลักลอบขุดเหมืองแร่กำลังดำเนินไปด้วยดี ที่จริงข่าวของท่านหญิงในช่วงนี้ก็มีส่วนดีอยู่บ้าง แต่ว่าการที่นางสามารถมองเห็นวิญญาณ และยังมีพวกเขาเป็นบ่าวรับใช้นั้นไม่ใช่เรื่องดีเท่าใดนัก เทศกาลปีใหม่ใกล้เข้ามาแล้ว พวกท่านรู้ว่าควรทำอย่างไร ส่วนข้าหากมีใครมาขวางทางข้า แน่นอนว่าข้าย่อมไม่เก็บเอาไว้” โจวเหม่ยหลิงกล่าวอย่างเฉื่อยชาแต่แฝงไปด้วยความอำมหิต สามเสนามองหน้ากันด้วยอาการขนลุก พวกเขารู้ดีว่าภายใต้ใบหน้าอันงดงาม ปกปิดความชั่วร้ายไว้มากเพียงใด หลังจากพูดคุยกันจนเข้าใจ พวกเขาสามคนก็ขอตัวกลับ พอสามเสนากลับออกไปแล้ว บุรุษผู้หนึ่งก็ก้าวออกมาจากฉากกั้น เขาผู้ซึ่งมีใบหน้าหล่อเหล่าแต่แฝงไปด้วยความเยือกเย็น ร่างกายของเขาสูงโปร่งดุจดั่งทหารนักรบ แม้จะอยู่ในชุดเสื้อผ้าเรียบ ๆ แต่ก็ไม่อาจปิดบังความสง่างาม “คารวะท่านเจ้าสัว คารวะนายหญิง” “นั่งลงเถิด” โจวเหม่ยหลิงรีบยกกาน้ำชา มารินให้เขาด้วยตนเอง เจ้าสัวโจวป๋อเหวินปรายตามองอย่างไม่ชอบใจนัก ที่บุตรสาวของเขาแสดงทีท่าชื่นชอบบุรุษผู้นี้อย่างออกหน้าออกตา แต่ว่าเขาจะทำอย่างไรได้ นางทำอะไรตามใจตนเองมาแต่ไหนแต่ไร อีกทั้งกิจการทั้งหมดที่ตระกูลโจวครอบครอง รุ่งเรืองได้ถึงเพียงนี้ก็เป็นเพราะนางดูแล “ท่านคงรู้เรื่องแล้ว คิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป?” “คืนนี้ข้าจะส่งลูกน้องข้าให้ไปจัดการกับวิญญาณเหล่านั้น หากไม่มีเหล่าวิญญาณคอยชี้เบาะแส นางก็สืบหาอะไรไม่ได้” ซิ่วเป่าเอ่ยขึ้นน้ำเสียงเรียบนิ่ง โจวเหม่ยหลิงได้ฟังคำตอบ ก็แสยะยิ้มก่อนจะเอ่ยขึ้น “ข้าว่าฆ่านางทิ้งเสียน่าจะง่ายกว่า ไม่มีนางวิญญาณพวกนั้นก็ไร้ความหมาย” ซิ่วเป่าพอจะเดาความคิดของนางได้อยู่แล้ว แต่เพียงเพราะเขายังไม่โหดเหี้ยมเท่านางก็แค่นั้นเอง จึงไม่อยากเสนอวิธีการนี้ออกไป “ท่านพ่อคิดว่าอย่างไรเจ้าคะ?” นางหันไปถามความคิดเห็นของเจ้าสัว “ข้าก็คิดกำจัดนางทิ้งไปก็เป็นวิธีที่ดี” จ้าวลัทธิซิ่วเป่าแอบถอนใจ สมกับเป็นพ่อลูกกันเลือดเย็นทั้งคู่ดึกสงัดในค่ำคืนเดือนมืด ว่านชิงอีและพี่สาวอีกสองคนของนางก็ยังไม่พากันเตรียมตัวเข้านอน เพราะว่านชิงอีไหว้วานให้พี่สาวทั้งสอง ช่วยพับยันต์ที่นางเขียนขึ้นมามากมาย เพราะอีกไม่นานจะเป็นเทศกาลปีใหม่ ว่านชิงอีจึงอยากจะทำไว้แจกผู้คน แต่ในความรู้สึกส่วนตัวลึกๆ นางมีลางสังหรณ์ว่าจะมีเรื่องราวไม่ดีเกิดขึ้น นางจึงคิดว่าหากมียันต์ป้องกันภูตผีพกติดตัวกันเอาไว้ ก็อาจจะพอช่วยอยู่ได้บ้างแม้จะไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย ว่านชิงอีปรายตามองปิงปิงที่นอนเล่นอยู่บนเตียงของนาง ส่วนดวงวิญญาณอีกสามดวงนั่งอยู่อีกมุมหนึ่ง “เหตุใดเจ้าถึงต้องทำเยอะขนานนี้กัน? ว่านชิงหลานเริ่มรู้สึกเบื่อ เพราะนั่งทำมาหลายชั่วโมงแล้ว เสี่ยวหมานพยักหน้าเห็นด้วยที่ เพราะนางก็เริ่มเมื่อยมือเช่นเดียวกัน “งั้นพี่ใหญ่พี่รองก็ไปนอนเถิดเจ้าค่ะ วันหลังคอยมาพับใหม่” ว่านชิงอีมองเห็นความเหนื่อยล้าของพี่สาวทั้งสอง จึงรีบบอกให้ไปพักผ่อนเสียง “ถ้าเช่นนั้นข้าไปก่อนนะ” ว่านชิงหลินและว่านชิงหลานรีบเอ่ยลา เพราะร่างกายเริ่มล้าและง่วงนอนเต็มที หลังจากพี่สาวของนางจากไปไม่นาน จู่ ๆ ลมก็พัดอย่างรุนแรงคล้ายจะมีลมฝน แต่กลิ่นที่มาพร้อมกับล
ทางด้านสามตระกูลใหญ่ ที่ยามนี้มารวมตัวกันอยู่ที่จวนของตระกูลกู้ เพื่อรอฟังข่าวว่าวันนี้ท่านหญิงจะเป็นเช่นไร เมื่อมีข่าวออกมาว่าผู้คนได้ไปรวมตัวกัน ที่หน้าสำนักงานหน่วยสืบสวนเพื่อเรียกร้องให้จับท่านหญิง มาเผาไฟต่อหน้าทุกคน ฝ่ายกรมยุติธรรมเมื่อถูกกดดันจากราษฎร จึงต้องเข้าไปตรวจสอบ เพื่อความสบายใจให้แก่ทุกคน แม้ว่าเรื่องนี้ฟังดูแล้วข้อกล่าวหาอาจดูเกินจริง และดูเหมือนใส่ร้ายท่านหญิงจนเกินไป แต่เนี่ยนเจินกรมยุติธรรมก็ต้องทำตามหน้าให้ดีที่สุด สร้างความพอใจให้กับสามตระกูลใหญ่เป็นอย่างมาก พวกเขาจึงนัดกันมานั่งจิบชา รอฟังข่าวอยู่ที่จวนเสนากู้ สามฮูหยินและคุณหนูทั้งสามต่างพากัน พูดคุยอย่างอารมณ์ดี พวกนางคิดว่าอย่างไรวันนี้ท่านหญิงก็คงไม่รอด เพราะเหตุการณ์วันนั้นหลายคนเห็นกับตาตนเอง ว่านางสามารถสร้างภาพลวงตาทำให้ผู้คนหวาดกลัว ข้อกล่าวหาว่านางเป็นปีศาจไม่ดูเกินจริงเลยสักนิด “รายงานขอรับ” บ่าวจวนเสนาบดีกู้รีบเข้ามารายงาน หลังออกไปเกาะติดสถานการณ์ เกี่ยวกับท่านหญิงมาทั้งวัน เมื่อได้ยินเสียงตะโกนบอกของบ่าวที่มารายงาน ทุกคนก็ตั้งอกตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ “เรียนท่านเสนาตอนนี้ผู้คนที่รวมตัวกัน ไป
ทางด้านเหว่ยอ๋องพอกลับมาถึงเมืองหลวง เขาและว่านชิงอี ก็ได้แวะที่สำนักงานสืบสวนคดีก่อนเป็นที่แรก เพราะอยากรู้เรื่องที่ให้จับคนร้ายมาขังเพื่อรอไต่สวน แต่กลับต้องผิดหวังเมื่อ องค์ชายซีห่าวบอกว่า นักฆ่าทั้งสิบคนถูกลอบสังหารฆ่าปิดปากจนหมด “เจ้าว่าอย่างไรนะ!” เหว่ยอ๋องแผดเสียงออกมาอย่างผิดหวัง “ข้าก็ไม่คิดว่าคนบงการ จะคิดจัดการกับกลุ่มคนร้ายเช่นนี้ คงไม่อยากให้เรื่องราวถูกสาวถึงตัว แล้วทางหมู่บ้านตงซานเป็นเช่นไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ?” “ก็เรียบร้อยดี เหมือนมีคนจงใจสร้างสถานการณ์ขึ้น ให้ข้าและนางออกไปจากเมืองหลวง ข้าคิดว่าชาวบ้านคงไม่รู้เรื่องอันใด แต่ชิงอีได้ทิ้งคนให้คอยสอดส่องและคอยรายงานแล้ว” องค์ชายซีห่าว สะดุดคำเรียกที่เหว่ยอ๋องเรียกท่านหญิงว่าชิงอี สงสัยความสัมพันธ์ของพวกเขาคงรุดหน้าไปเป็นอย่างดีสินะ “เหตุใดท่านหญิงถึงได้กลายเป็นชิงอีเฉยๆ แล้วเล่า ความสัมพันธ์ของพวกท่านทั้งสอง คงพัฒนาไปเป็นอย่างดีสินะ?” “เจ้าพูดอะไรข้าก็แค่สนิทกับนางมากขึ้น” เหว่ยอ๋องพอถูกผู้เป็นน้องกล่าวล้อขึ้นมาก็ถึงกับวางตัวไม่ถูก “ท่านพี่…คุยเสร็จหรือยังเพคะ” ว่านชิงอียิ่งเห็นเขาทำตัวไม่ถูกก็ยิ่งอยากแกล้ง เหว่ยอ๋องพอ
ณ หมู่บ้านตงซานหลังจากจากเกิดเหตุการณ์ในค่ำคืนที่ผ่านมา ก็ไม่มีใครกลับไปนอนอีกต่างพากันนั่งรอให้ถึงเช้า อู่ถงพอเปิดประตูออกมาในตอนเช้าตรู่ ก็ต้องชะงักกับสตรีราวเจ็ดแปดคน มายืนรออยู่หน้าเรือนพัก ในมือมีอ่างใส่น้ำ เพื่อให้ทุกคนได้ล้างหน้าล้างตา ฮุ่ยเจียงเดินมารับอ่างจากสตรีนางหนึ่ง แล้วยกเข้าไปด่านในให้กับท่านหญิง ส่วนอู่ถงเดินมารับอ่างน้ำอีกอันเพื่อนำไปให้เหว่ยอ๋อง หลังจากทุกคนล้างหน้าล้างตากันเสร็จ สตรีที่มาคอยช่วยดูแลก็นำน้ำชาและโจ๊กมาให้ทุกคน ว่านชิงอีมองเห็นวิญญาณห้าดวงที่ยืนมองอยู่ห่างๆ ก็สะกิดปิงปิงให้ไปเรียกเข้ามา “พวกท่านมีอะไรหรือไม่?” “ทูลท่านหญิง พวกกระหม่อมไม่มีที่ไป ขอติดตามเป็นทาสรับใช้ท่านได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” ว่านชิงอีได้ฟังก็พยักหน้า “ได้ต่อไปก็คอยฟังคำสั่งของปิงปิงก็แล้วกัน” ห้าดวงวิญญาณปรายตามองเด็กน้อยวัยห้าขวบ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ท่านหญิงจะให้พวกข้าฟังคำสั่งจากเด็กคนนี้หรือ?” ว่านชิงอียกยิ้ม “อย่าดูถูกความสามารถนางเชียวนะ” ปิงปิงพอได้ยินนางเอ่ยชม ก็ยกแขนขึ้นมากอดอกอย่างเย่อหยิ่ง “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าใครที่เป็นคนทำวิชาอาคมพวกนี้ ในนิมิตข้าเห็นชายผู้หนึ่งแต่ว่าไม่
พอพานางมาถึงเรือนที่พัก ว่านชิงอีก็หลุดหัวเราะออกมากับกิริยาท่าทางของเขา ที่ดูถือตัวขึ้นมาเมื่อสตรีนางนั้นอยากเช็ดคราบสุราที่นางทำหกใส่แขนเสื้อของเขา “เป็นบุรุษรูปงามก็แบบนี้แหละเพคะไปที่ไหนมีแต่สตรีหมายปอง” “เจ้าไม่โกรธเคืองสตรีเหล่านั้นหรือ?” “โกรธแล้วจะทำอย่างไรได้เล่าเพคะ ห้ามสายตาสตรีเหล่านั้นได้ที่ไหนกัน แต่ว่ามันก็ทำให้หม่อมฉันภูมิใจ ที่ท่านอ๋องหล่อเหล่ามากขนานนี้ มากจนจนหม่อมฉันใจละลาย มอบหัวใจให้ท่านไปจนหมดแล้ว” เหว่ยอ๋องยกนิ้วขึ้นมาเคาะจมูกนาง สตรีนางนี้พูดจาเป็นเรื่องเป็นราว ไม่มีท่าทีกระดากอายเลยสักนิด เขาละจนใจกับความมึนของนาง ก่อนองครักษ์จะตามเข้ามา เหว่ยอ๋องจึงเดินไปนั่งเก้าอี้ข้างเตียง “พวกเจ้าก็หามุมที่จะนอนเอาเองละกัน” “แต่ว่าหากตกดึกอากาศจะหนาวหรือไม่ ฮุ่ยเจียงไปเอาผ้าห่มบนรถม้ามาเพิ่มอีกมีหลายผืน” ว่านชิงอีนึกกังวล เพราะตกดึกอากาศมักจะหนาวเย็น ฮุ่ยเจียงกลับมาพร้อมกับผ้าห่มในอ้อมแขน เหว่ยอ๋องคิ้วกระตุกเมื่อคิดว่า สิ่งที่นางเคยใช้ องครักษ์ของเขาจะได้ใช้ด้วย ไม่ได้เขาไม่มีทางยอม “เอามานี่ ส่วนผ้าห่มที่ทางนี้จัดหาให้พวกเจ้าเอาไป” “ท่านอ๋องแต่ว่าผ้าห่มจะครบคนหร
ชายสี่คนเดินตามอีถงและลู่หลิงที่พาเดินเข้ามาลึกพอสมควร ก่อนที่นางทั้งสองจะหยุดเดิน แล้วหันกลับมาแสยะยิ้มให้พวกเขา จากใบหน้าที่ปกติยามนี้เนาะเฟะมีหนอนชอนไช ดวงตาหลุดออกมานอกเบ้า ชายทั้งสี่ตาเหลือกถลนกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า ก่อนจะพากันร้องลั่นด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะพากันวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต พอหยุดพักหายใจ ก็เห็นร่างวิญญาณที่น่าเกลียดน่ากลัวมาอยู่ตรงหน้า พวกเขาหวาดกลัวจนหมดสติ อีถงและลู่หลิงจึงเดินออกไปหากลุ่มที่ยืนรออยู่ “นายท่าน” พวกเขาอีกหกคนหันมาตามเสียง ก็ถึงกับผงะกับใบหน้าที่น่าเกลียดน่ากลัวของนางทั้งสอง พอหันมามองชายที่ยืนอยู่กับเด็ก ยามนี้เขาก็ดึงคอออกจากหัวอย่างช้า แล้วโยนเล่นไปมา ส่วนเด็กน้อยก็ยืดมืออันแสนยาวเหยียดขึ้นไปโหนต้นไม้ แกว่งไกวตนเองไปมา ชายทั้งหกคนหมดสติไปทันทีด้วยความกลัว ก่อนปิงปิงจะรีบไปส่งข่าวกับว่านชิงอี ไม่นานกลุ่มของท่านอ๋องก็มาถึง “พวกเจ้าทำได้ดีมาก” ว่านชิงอีเอ่ยชม มีผู้ช่วยเป็นวิญญาณก็ดีแบบนี้ไม่ต้องเปลืองแรง “อู่ถงจับมัดพวกเขาเอาไว้ ส่งคนไปแจ้งทางการให้มาเอาตัวพวกเขาไป บอกองค์ชายซีห่าวให้ส่งคนมาช่วยข้ามากหน่อย อีกอย่างบอกองค์ชายซีห่าวชายสิบคนนี้ ข้ากลับ