ดึกสงัดในค่ำคืนเดือนมืด ว่านชิงอีและพี่สาวอีกสองคนของนางก็ยังไม่พากันเตรียมตัวเข้านอน เพราะว่านชิงอีไหว้วานให้พี่สาวทั้งสอง ช่วยพับยันต์ที่นางเขียนขึ้นมามากมาย เพราะอีกไม่นานจะเป็นเทศกาลปีใหม่ ว่านชิงอีจึงอยากจะทำไว้แจกผู้คน แต่ในความรู้สึกส่วนตัวลึกๆ นางมีลางสังหรณ์ว่าจะมีเรื่องราวไม่ดีเกิดขึ้น นางจึงคิดว่าหากมียันต์ป้องกันภูตผีพกติดตัวกันเอาไว้ ก็อาจจะพอช่วยอยู่ได้บ้างแม้จะไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย ว่านชิงอีปรายตามองปิงปิงที่นอนเล่นอยู่บนเตียงของนาง ส่วนดวงวิญญาณอีกสามดวงนั่งอยู่อีกมุมหนึ่ง
“เหตุใดเจ้าถึงต้องทำเยอะขนานนี้กัน? ว่านชิงหลานเริ่มรู้สึกเบื่อ เพราะนั่งทำมาหลายชั่วโมงแล้ว เสี่ยวหมานพยักหน้าเห็นด้วยที่ เพราะนางก็เริ่มเมื่อยมือเช่นเดียวกัน “งั้นพี่ใหญ่พี่รองก็ไปนอนเถิดเจ้าค่ะ วันหลังคอยมาพับใหม่” ว่านชิงอีมองเห็นความเหนื่อยล้าของพี่สาวทั้งสอง จึงรีบบอกให้ไปพักผ่อนเสียง “ถ้าเช่นนั้นข้าไปก่อนนะ” ว่านชิงหลินและว่านชิงหลานรีบเอ่ยลา เพราะร่างกายเริ่มล้าและง่วงนอนเต็มที หลังจากพี่สาวของนางจากไปไม่นาน จู่ ๆ ลมก็พัดอย่างรุนแรงคล้ายจะมีลมฝน แต่กลิ่นที่มาพร้อมกับลม ทำเอาว่านชิงอีเบ้หน้า กลิ่นเน่าคล้ายกลิ่นของซากศพ รุนแรงจนนางต้องยกมือขึ้นมาปิดจมูก ปิงปิงรีบลุกขึ้นมานั่งทำสมาธิเพ่งจิตทันที ส่วนตงไห่ อีถง ลู่หลิง รีบลุกขึ้นมายืนข้างๆ ว่านชิงอี ส่วนองครักษ์หญิงฮุ่ยเจียงแม้จะรู้สึกหวาดกลัว แต่พยายามข่มกลั้นเอาไว้ หากเป็นคนนางไม่กลัว แต่เป็นผีหรือวิญญาณนางต้องยอมรับว่ากลัวจริง ๆ ว่านชิงอีพอจะเข้าใจความรู้สึกขององครักษ์หญิงข้างกาย จึงเอ่ยขึ้นอย่างให้กำลังใจ “เจ้าไม่ต้องกลัวมีข้าอยู่ทั้งคน” ฮุ่ยเจียงได้ยินก็รู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อย “ท่านหญิงกับคนหม่อมฉันสู้ไม่ถอย แต่กับสิ่งนี้หม่อมฉันยอมรับว่ากลัวมากเพคะ” ฮุ่ยเจียงสารภาพออกไปตามตรง เพราะนางไม่อยากฝืนความรู้สึกอีกต่อไป ว่านชิงอีจับมือนางมาบีบเบาๆ ส่วนเสี่ยวหมานรีบไปยืนหลบอยู่ด้านหลังของว่านชิงอีตั้งแต่ลมพัด “คุณหนูมีดวงวิญญาณอยู่ด้านนอกเจ้าค่ะ ท่าทางไม่ได้มาดี กลิ่นอายความชั่วร้ายลอยฟุ้งอยู่รอบบบริเวณเลยเจ้าค่ะ” ปิงปิงพอลืมตาก็รีบรายงานทันที ว่านชิงอีพยักหน้ารับรู้เพราะนางก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน แม้นางจะอยู่ภายในห้อง ก่อนนางจะเริ่มร่ายมนต์วิชาที่ได้ติดตัวมาแล้วเอ่ยขึ้น “พวกเจ้าอยู่ในนี้ไม่ต้องออกไป รวมถึงวิญญาณของพวกเจ้าสามคนด้วย ส่วนปิงปิงเจ้าไปกับข้า” ว่านชิงอีร่ายมนต์สร้างเกราะป้องกันในเขตอาคม ไม่ให้วิญญาณร้ายเข้ามาทำอะไรได้ ว่านชิงอีและปิงปิงก้าวเท้าเดินออกไปเผชิญกับสิ่งที่มาเยือนอย่างไม่สะทกสะท้าน เด็กน้อยปิงปิงก้าวเดินเคียงข้างว่านชิงอี อย่างไม่หวาดหวั่นเช่นเช่นเดียวกัน ร่างดำทะมึนของวิญญาณร้ายที่ดูคล้ายปีศาจดวงตาแดงก่ำ จ้องมองมาที่ว่านชิงอี อย่างอาฆาตมาดร้ายพร้อมแสยะยิ้ม ก่อนจะเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่า นางเป็นเพียงดรุณีน้อยนางหนึ่งเท่านั้น “แม่นางน้อยเจ้าคิดจะมาขวางข้าหรือ? ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็มอบดวงวิญญาณสามดวงนั้นมาให้ข้าซะดีๆ” “ตาแก่วิญญาณเฒ่า เป็นวิญญาณไม่ยอมไปผุดไปเกิด อยู่รับใช้คนชั่วจนแก่ชรา คิดว่าพวกข้าจะยอมให้เจ้า มาเอาดวงวิญญาณใครไปง่ายๆ รึ” ประโยคนี้เป็นปิงปิงเอ่ยขึ้นมา ว่านชิงอียกยิ้มด้วยความถูกใจกับคำพูดของคู่หูตัวจิ๋ว “ฮึ!เจ้าเด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม พูดจาโอหังนัก มาดูกันว่าหากข้าจะเอาวิญญาณของใครแล้ว ก็ไม่มีใครมาห้ามข้าได้” กล่าวจบวิญญาณร้ายตนนั้น ก็ปล่อยพลังดูดวิญญาณออกมา พลังปราณสีดำลอยหมุนไปรอบๆ เรือนของว่านชิงอี แต่ยังไม่สามารถดูดวิญญาณออกมาได้ วิญญาณร้ายพยายามอยู่หลายครั้งจนต้องล้มเลิก ก่อนจะหันมามองว่านชิงอีและปิงปิงอย่างไม่เข้าใจ เพราะเหตุใดพลังดูดวิญญาณถึงไม่ได้ผล พวกนางก็ยืนกันอยู่เฉยๆ ไม่ได้ขัดขวางแต่อย่างใด เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ หากเขาทำงานนี้ไม่สำเร็จ จ้าวลัทธิคงจับวิญญาณเขาขังไม่ให้ออกมาเห็นโลกภายนอกเป็นแน่ “แปลกใจละสิว่าทำไมถึงดูดวิญญาณพวกเขาไม่ได้” ว่านชิงอีเอ่ยเยาะ “นั่นนะสิเจ้าบอกข้าทีสิว่าเป็นเพราะเหตุใด?” ปิงปิงได้ยินวิญญาณร้ายเอ่ยขึ้นเช่นนั้นก็หลุดหัวเราะออกมา ตอนมาท่าทางดุดันน่ากลัว แต่เหตุใดยามนี้กลายเป็นหมาหง่อยไปเสียแล้ว “ก็เพราะว่าพวกข้าเก่งอย่างไรละ” ปิงปิงเอ่ยตอบอย่างผู้เหนือกว่า “แต่ข้าไม่เห็นว่าพวกเจ้าทำอะไรเลยนะ!” “ข้าขอถามหน่อย เหตุใดถึงยอมทำงานรับใช้คนชั่ว ไม่อยากไปผุดไปเกิดแล้ว? หรือว่าพอใจที่จะเป็นผีเป็นวิญญาณแบบนี้?” ว่านชิงอียกแขนขึ้นมากอดอกแล้วถามออกไป อย่างสงสัยใคร่รู้ “ข้าก็อยากไปเกิดใหม่แต่ข้าทำไม่ได้ เขาจับวิญญาณคนในครอบครัวของข้าขังไว้ทั้งหมด หากข้าไม่ยอมทำตาม เขาจะทำลายปราณวิญญาณเหล่านั้นทั้งหมด แล้วพวกเขาก็จะไม่ได้ไปเกิดอีก” ว่านชิงอีได้ฟังก็ถอนใจ ขนานตายเป็นผียังมีคนจับเอาดวงวิญญาณไปข่มขู่ ยังมีเรื่องแบบนี้จริงๆ เหรอเนี้ยะ แต่ยังไม่ทันที่ว่านชิงอีจะได้ทำอะไร ก็มีวิญญาญร้ายอีกดวงปรากฎขึ้น ท่าทางกราดเกรี้ยวและไม่พอใจ ที่วิญญาณเฒ่าทำงานไม่สำเร็จ “นายท่านคิดถูกที่ส่งข้าตามมาดู เจ้ามันไม่ได้เรื่อง” กล่าวจบนางก็สะบัดพลังใส่วิญญาณเฒ่าตนนั้น จนเขากระเด็นลอยไปกระแทกกับต้นไม้ ก่อนจะส่งพลังไปดูดดวงวิญญาณที่อยู่ในเรือนของว่านชิงอี ดูท่าทางวิญญาณตนนี้จะมีพลังแข็งแกร่งพอตัว จึงสามารถดึงสามวิญญาณให้ลอยออกมาได้ แต่ว่านชิงอีก็รีบโยนสายสิญจน์อาคมออกไป พอสายสิญจน์ถูกโยนขึ้นไปบนอากาศ ก็กลายเป็นเชือกขนาดใหญ่ ลอยไปมัดและดึงสามวิญญาณมาไว้กับนางทันที “คิดจะเอาวิญญาณบ่าวรับใช้ของข้าไป เจ้าไม่ถามข้าหน่อยหรือว่าข้าอนุญาตหรือไม่?” ว่านชิงอีเอ่ยขึ้นอย่างแข็งกร้าว “ข้าจำเป็นที่จะต้องถามวามคิดเห็นกับเด็กน้อยเช่นเจ้าด้วยหรือ ข้าแค่มีหน้าที่ทำตามคำสั่งของนายท่านเท่านั้น” วิญญาณตนตอบกลับมา “ตายเป็นวิญญาณแล้วก็ยังไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี งั้นวันนี้ข้าก็จะไม่ใจดีอีกต่อไป” กล่าวจบว่านชิงอีกก็โยนสายสิญจน์ไปมัดวิญญาญตนนั้น จากนั้นก็ร่ายมนต์ ก่อนไฟจะลุกพรึบติดตามเชือกสายสิญจน์ ที่มัดอยู่รอบตัวดวงของดวงวิญญาณร้ายตนนั้น วิญญานร้ายเริ่มกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด เพราะเชือกสายสิญจน์ที่เริ่มรัดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งไฟเริ่มลุกไหม้อย่างรุนแรง ก่อนดวงวิญญาณตนนั้นจะดับสลายไป พอวิญญาณเฒ่าเห็นเช่นนั้นก็เริ่มหวาดกลัว รีบวิ่งกุลีกุจอวิ่งมาคุกเข่าต่อหน้าว่านชิงอีอย่างสำนึกผิด “คุณหนูปล่อยข้าไปเถอะข้าถูกบีบบังคับ ข้าไม่ได้อยากทำตามคำสั่งของเขา” ว่านชิงอีมองวิญญาณตนนี้อย่างชั่งใจว่าจะเอาอย่างไรดี ถึงจะเป็นเพียงวิญญาณก็ยังต้องทนทุกข์ ไม่เป็นอิสระของตนอย่างแท้จริง “ข้าให้ท่านตัดสินใจว่าจะกลับไป หรือว่าจะอยู่กับข้าที่นี่ เพื่อช่วยสร้างบุญสร้างกุศลให้กับตัวท่าน และวิญญาณของคนในครอบครัว บางทีการกลับไปก็ไม่ใช้ทางเลือกที่ดี หากว่ายังคงถูกบีบบังคับอยู่เช่นนี้ วิญญาณที่ถูกจับไปขังไว้ ข้าต้องหาทางช่วยออกมาแน่ ตายแล้วก็สมควรไปสู่ภพใหม่ไม่ใช่ยังคงถูกกักขังอยู่ที่นี่” “ข้าสามารถสร้างบุญสร้างกุศลได้หรือขอรับ?” “แน่นอนสิบุญกุศลที่ท่านทำ สามารถเป็นพลังอย่างหนึ่ง ที่จะช่วยให้วิญญาณของคนในครอบครัวของท่านไม่ได้รับความลำบากมากนัก ถึงจะถูกทำลายวิญญาณไป ก็ยังมีเกราะความดีคุ้มครอง และก็อาจได้ไปเกิดใหม่ในภพที่ดี” วิญญาณตนนั้นพอได้ฟังก็เริ่มคลายความกังวล และเริ่มดีใจกับสิ่งที่ได้รับรู้ว่า เขาสามารถช่วยวิญญาณของครอบครัวตนได้ “ข้าจะอยู่รับใช้ท่านขอรับ” “ท่านชื่อว่าอะไร?” “ลู่กังขอรับ” “ท่านส่งมือมา” ว่านชิงอีเขียนตัวอักษรลงบนฝ่ามือของชายตนนั้น จากนั้นร่างที่ดำทะมึนค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นร่างดั่งคนทั่วไปในชุดสีขาว “ท่านอย่ายึดติดจนเกินไป ทุกคนมีหน้าที่ของตนเอง ไม่มีใครคอยปกป้องคนอื่นได้ตลอดไป วิญญาณของคนในครอบครัวของท่านต้องไปสู่ภพที่ดีแน่ หากท่านมีความตั้งใจจริงพวกเขาก็คงรับรู้ได้” “ขอบคุณคุณหนูที่ให้โอกาสขอรับ” ว่านชิงอียิ้มให้อย่างอ่อนโยน “ต่อไปเขาผู้นั้นก็จะไม่สามารถมาดึงวิญญาณของท่านไปได้อีกแล้ว ต่อไปท่านก็คอยเป็นผู้ช่วยวิญญาณของสามตนนั้น ท่านมีอะไรก็สามารถบอกปิงปิงได้เลย นางจะรีบมารายงานข้าเอง “ขอรับ”ดึกสงัดในค่ำคืนเดือนมืด ว่านชิงอีและพี่สาวอีกสองคนของนางก็ยังไม่พากันเตรียมตัวเข้านอน เพราะว่านชิงอีไหว้วานให้พี่สาวทั้งสอง ช่วยพับยันต์ที่นางเขียนขึ้นมามากมาย เพราะอีกไม่นานจะเป็นเทศกาลปีใหม่ ว่านชิงอีจึงอยากจะทำไว้แจกผู้คน แต่ในความรู้สึกส่วนตัวลึกๆ นางมีลางสังหรณ์ว่าจะมีเรื่องราวไม่ดีเกิดขึ้น นางจึงคิดว่าหากมียันต์ป้องกันภูตผีพกติดตัวกันเอาไว้ ก็อาจจะพอช่วยอยู่ได้บ้างแม้จะไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย ว่านชิงอีปรายตามองปิงปิงที่นอนเล่นอยู่บนเตียงของนาง ส่วนดวงวิญญาณอีกสามดวงนั่งอยู่อีกมุมหนึ่ง “เหตุใดเจ้าถึงต้องทำเยอะขนานนี้กัน? ว่านชิงหลานเริ่มรู้สึกเบื่อ เพราะนั่งทำมาหลายชั่วโมงแล้ว เสี่ยวหมานพยักหน้าเห็นด้วยที่ เพราะนางก็เริ่มเมื่อยมือเช่นเดียวกัน “งั้นพี่ใหญ่พี่รองก็ไปนอนเถิดเจ้าค่ะ วันหลังคอยมาพับใหม่” ว่านชิงอีมองเห็นความเหนื่อยล้าของพี่สาวทั้งสอง จึงรีบบอกให้ไปพักผ่อนเสียง “ถ้าเช่นนั้นข้าไปก่อนนะ” ว่านชิงหลินและว่านชิงหลานรีบเอ่ยลา เพราะร่างกายเริ่มล้าและง่วงนอนเต็มที หลังจากพี่สาวของนางจากไปไม่นาน จู่ ๆ ลมก็พัดอย่างรุนแรงคล้ายจะมีลมฝน แต่กลิ่นที่มาพร้อมกับล
ทางด้านสามตระกูลใหญ่ ที่ยามนี้มารวมตัวกันอยู่ที่จวนของตระกูลกู้ เพื่อรอฟังข่าวว่าวันนี้ท่านหญิงจะเป็นเช่นไร เมื่อมีข่าวออกมาว่าผู้คนได้ไปรวมตัวกัน ที่หน้าสำนักงานหน่วยสืบสวนเพื่อเรียกร้องให้จับท่านหญิง มาเผาไฟต่อหน้าทุกคน ฝ่ายกรมยุติธรรมเมื่อถูกกดดันจากราษฎร จึงต้องเข้าไปตรวจสอบ เพื่อความสบายใจให้แก่ทุกคน แม้ว่าเรื่องนี้ฟังดูแล้วข้อกล่าวหาอาจดูเกินจริง และดูเหมือนใส่ร้ายท่านหญิงจนเกินไป แต่เนี่ยนเจินกรมยุติธรรมก็ต้องทำตามหน้าให้ดีที่สุด สร้างความพอใจให้กับสามตระกูลใหญ่เป็นอย่างมาก พวกเขาจึงนัดกันมานั่งจิบชา รอฟังข่าวอยู่ที่จวนเสนากู้ สามฮูหยินและคุณหนูทั้งสามต่างพากัน พูดคุยอย่างอารมณ์ดี พวกนางคิดว่าอย่างไรวันนี้ท่านหญิงก็คงไม่รอด เพราะเหตุการณ์วันนั้นหลายคนเห็นกับตาตนเอง ว่านางสามารถสร้างภาพลวงตาทำให้ผู้คนหวาดกลัว ข้อกล่าวหาว่านางเป็นปีศาจไม่ดูเกินจริงเลยสักนิด “รายงานขอรับ” บ่าวจวนเสนาบดีกู้รีบเข้ามารายงาน หลังออกไปเกาะติดสถานการณ์ เกี่ยวกับท่านหญิงมาทั้งวัน เมื่อได้ยินเสียงตะโกนบอกของบ่าวที่มารายงาน ทุกคนก็ตั้งอกตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ “เรียนท่านเสนาตอนนี้ผู้คนที่รวมตัวกัน ไป
ทางด้านเหว่ยอ๋องพอกลับมาถึงเมืองหลวง เขาและว่านชิงอี ก็ได้แวะที่สำนักงานสืบสวนคดีก่อนเป็นที่แรก เพราะอยากรู้เรื่องที่ให้จับคนร้ายมาขังเพื่อรอไต่สวน แต่กลับต้องผิดหวังเมื่อ องค์ชายซีห่าวบอกว่า นักฆ่าทั้งสิบคนถูกลอบสังหารฆ่าปิดปากจนหมด “เจ้าว่าอย่างไรนะ!” เหว่ยอ๋องแผดเสียงออกมาอย่างผิดหวัง “ข้าก็ไม่คิดว่าคนบงการ จะคิดจัดการกับกลุ่มคนร้ายเช่นนี้ คงไม่อยากให้เรื่องราวถูกสาวถึงตัว แล้วทางหมู่บ้านตงซานเป็นเช่นไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ?” “ก็เรียบร้อยดี เหมือนมีคนจงใจสร้างสถานการณ์ขึ้น ให้ข้าและนางออกไปจากเมืองหลวง ข้าคิดว่าชาวบ้านคงไม่รู้เรื่องอันใด แต่ชิงอีได้ทิ้งคนให้คอยสอดส่องและคอยรายงานแล้ว” องค์ชายซีห่าว สะดุดคำเรียกที่เหว่ยอ๋องเรียกท่านหญิงว่าชิงอี สงสัยความสัมพันธ์ของพวกเขาคงรุดหน้าไปเป็นอย่างดีสินะ “เหตุใดท่านหญิงถึงได้กลายเป็นชิงอีเฉยๆ แล้วเล่า ความสัมพันธ์ของพวกท่านทั้งสอง คงพัฒนาไปเป็นอย่างดีสินะ?” “เจ้าพูดอะไรข้าก็แค่สนิทกับนางมากขึ้น” เหว่ยอ๋องพอถูกผู้เป็นน้องกล่าวล้อขึ้นมาก็ถึงกับวางตัวไม่ถูก “ท่านพี่…คุยเสร็จหรือยังเพคะ” ว่านชิงอียิ่งเห็นเขาทำตัวไม่ถูกก็ยิ่งอยากแกล้ง เหว่ยอ๋องพอ
ณ หมู่บ้านตงซานหลังจากจากเกิดเหตุการณ์ในค่ำคืนที่ผ่านมา ก็ไม่มีใครกลับไปนอนอีกต่างพากันนั่งรอให้ถึงเช้า อู่ถงพอเปิดประตูออกมาในตอนเช้าตรู่ ก็ต้องชะงักกับสตรีราวเจ็ดแปดคน มายืนรออยู่หน้าเรือนพัก ในมือมีอ่างใส่น้ำ เพื่อให้ทุกคนได้ล้างหน้าล้างตา ฮุ่ยเจียงเดินมารับอ่างจากสตรีนางหนึ่ง แล้วยกเข้าไปด่านในให้กับท่านหญิง ส่วนอู่ถงเดินมารับอ่างน้ำอีกอันเพื่อนำไปให้เหว่ยอ๋อง หลังจากทุกคนล้างหน้าล้างตากันเสร็จ สตรีที่มาคอยช่วยดูแลก็นำน้ำชาและโจ๊กมาให้ทุกคน ว่านชิงอีมองเห็นวิญญาณห้าดวงที่ยืนมองอยู่ห่างๆ ก็สะกิดปิงปิงให้ไปเรียกเข้ามา “พวกท่านมีอะไรหรือไม่?” “ทูลท่านหญิง พวกกระหม่อมไม่มีที่ไป ขอติดตามเป็นทาสรับใช้ท่านได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” ว่านชิงอีได้ฟังก็พยักหน้า “ได้ต่อไปก็คอยฟังคำสั่งของปิงปิงก็แล้วกัน” ห้าดวงวิญญาณปรายตามองเด็กน้อยวัยห้าขวบ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ท่านหญิงจะให้พวกข้าฟังคำสั่งจากเด็กคนนี้หรือ?” ว่านชิงอียกยิ้ม “อย่าดูถูกความสามารถนางเชียวนะ” ปิงปิงพอได้ยินนางเอ่ยชม ก็ยกแขนขึ้นมากอดอกอย่างเย่อหยิ่ง “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าใครที่เป็นคนทำวิชาอาคมพวกนี้ ในนิมิตข้าเห็นชายผู้หนึ่งแต่ว่าไม่
พอพานางมาถึงเรือนที่พัก ว่านชิงอีก็หลุดหัวเราะออกมากับกิริยาท่าทางของเขา ที่ดูถือตัวขึ้นมาเมื่อสตรีนางนั้นอยากเช็ดคราบสุราที่นางทำหกใส่แขนเสื้อของเขา “เป็นบุรุษรูปงามก็แบบนี้แหละเพคะไปที่ไหนมีแต่สตรีหมายปอง” “เจ้าไม่โกรธเคืองสตรีเหล่านั้นหรือ?” “โกรธแล้วจะทำอย่างไรได้เล่าเพคะ ห้ามสายตาสตรีเหล่านั้นได้ที่ไหนกัน แต่ว่ามันก็ทำให้หม่อมฉันภูมิใจ ที่ท่านอ๋องหล่อเหล่ามากขนานนี้ มากจนจนหม่อมฉันใจละลาย มอบหัวใจให้ท่านไปจนหมดแล้ว” เหว่ยอ๋องยกนิ้วขึ้นมาเคาะจมูกนาง สตรีนางนี้พูดจาเป็นเรื่องเป็นราว ไม่มีท่าทีกระดากอายเลยสักนิด เขาละจนใจกับความมึนของนาง ก่อนองครักษ์จะตามเข้ามา เหว่ยอ๋องจึงเดินไปนั่งเก้าอี้ข้างเตียง “พวกเจ้าก็หามุมที่จะนอนเอาเองละกัน” “แต่ว่าหากตกดึกอากาศจะหนาวหรือไม่ ฮุ่ยเจียงไปเอาผ้าห่มบนรถม้ามาเพิ่มอีกมีหลายผืน” ว่านชิงอีนึกกังวล เพราะตกดึกอากาศมักจะหนาวเย็น ฮุ่ยเจียงกลับมาพร้อมกับผ้าห่มในอ้อมแขน เหว่ยอ๋องคิ้วกระตุกเมื่อคิดว่า สิ่งที่นางเคยใช้ องครักษ์ของเขาจะได้ใช้ด้วย ไม่ได้เขาไม่มีทางยอม “เอามานี่ ส่วนผ้าห่มที่ทางนี้จัดหาให้พวกเจ้าเอาไป” “ท่านอ๋องแต่ว่าผ้าห่มจะครบคนหร
ชายสี่คนเดินตามอีถงและลู่หลิงที่พาเดินเข้ามาลึกพอสมควร ก่อนที่นางทั้งสองจะหยุดเดิน แล้วหันกลับมาแสยะยิ้มให้พวกเขา จากใบหน้าที่ปกติยามนี้เนาะเฟะมีหนอนชอนไช ดวงตาหลุดออกมานอกเบ้า ชายทั้งสี่ตาเหลือกถลนกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า ก่อนจะพากันร้องลั่นด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะพากันวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต พอหยุดพักหายใจ ก็เห็นร่างวิญญาณที่น่าเกลียดน่ากลัวมาอยู่ตรงหน้า พวกเขาหวาดกลัวจนหมดสติ อีถงและลู่หลิงจึงเดินออกไปหากลุ่มที่ยืนรออยู่ “นายท่าน” พวกเขาอีกหกคนหันมาตามเสียง ก็ถึงกับผงะกับใบหน้าที่น่าเกลียดน่ากลัวของนางทั้งสอง พอหันมามองชายที่ยืนอยู่กับเด็ก ยามนี้เขาก็ดึงคอออกจากหัวอย่างช้า แล้วโยนเล่นไปมา ส่วนเด็กน้อยก็ยืดมืออันแสนยาวเหยียดขึ้นไปโหนต้นไม้ แกว่งไกวตนเองไปมา ชายทั้งหกคนหมดสติไปทันทีด้วยความกลัว ก่อนปิงปิงจะรีบไปส่งข่าวกับว่านชิงอี ไม่นานกลุ่มของท่านอ๋องก็มาถึง “พวกเจ้าทำได้ดีมาก” ว่านชิงอีเอ่ยชม มีผู้ช่วยเป็นวิญญาณก็ดีแบบนี้ไม่ต้องเปลืองแรง “อู่ถงจับมัดพวกเขาเอาไว้ ส่งคนไปแจ้งทางการให้มาเอาตัวพวกเขาไป บอกองค์ชายซีห่าวให้ส่งคนมาช่วยข้ามากหน่อย อีกอย่างบอกองค์ชายซีห่าวชายสิบคนนี้ ข้ากลับ