“วันนี้ท่านดูนุ่มไปหมด” จิ้นฝานเอ่ยชมตามความรู้สึก“ดูนุ่ม?” ข้าเอ่ยขึ้นอย่างฉงนใจ ว่าแต่มันคือคำชมใช่หรือไม่ ปกติมักจะกล่าวชมว่างาม หรือไม่ก็งามมาก วันนี้มากล่าวว่า ‘นุ่ม’ หมายความว่าอันใดกัน“นี่ไง” จิ้นฝานกล่าว ใช้มือลูบลงไปตรงคอเสื้อที่ทำจากขนสัตว์สีขาวของนาง“ของท่านก็มี แต่เป็นสีดำเหตุใดต้องมาลูบของคนอื่นด้วย” ข้ากล่าวเสียงอู้อี้ในคอ“อยากลูบของท่านมากกว่า” จิ้นฝานตอบไปตามตรงฉีกยิ้มขึ้น ทำหน้าซื่อ“เหอะช่างกล่าวนัก” ข้าเอ่ยบ่นคุณชายจิ้นชอบทำหน้าไม่รู้เรื่องทุกทีตอนที่เขากล่าวอะไรชวนให้ใจสั่น ไม่รู้ว่าจงใจหรือไม่ ที่แน่ๆ มันได้ผลกับข้าดีเยี่ยมไม่มีครั้งไหนเลยที่จะไม่เขิน พลันพอจะโวยวายกลับก็ทำไม่ลง ดูในยามนี้ยังมายืนทำหน้าระรื่นอยู่เลยข้าผ่อนลมหายใจออกมา ก่อนจะกล่าวออกไปใหม่ “ไปงานเลี้ยงกันเถิดเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวจะเย็นไปเสียก่อน”จิ้นฝานพยักหน้ารับ เอื้อมแขนลงไปจับมือของไป๋ซิงหนี่ว์มากุมไว้ แล้วกล่าวออกไปอย่างแนบเนียน หรืออาจจะไม่เนียนก็ได้“วันนี้อากาศหนาวเกรงว่ามือคุณหนูรองจะเย็น กุมไว้เช่นนี้จะอุ่น”เสี่ยวเมิ่งแทบหลุดขำออกมาดูวิธีการเกี้ยวสาวของนายท่านเสียก่อน มันรุดหน้าขึ้นทุ
“เป็นความคิดที่ดี” เฉินหย่าลี่กล่าวจบ คนทั้งสองก็มาถึงเรือนหมอเจิ้งพอดิบพอดี ก่อนจะพากันเดินเข้าไปหาชายหนุ่มที่สวมอาภรณ์สีฟ้าเรียบง่ายเอนหลังอ่านหนังสืออยู่บนก้อนหินข้างเรือน“ท่านหมอเจ้าคะ!” เฉินหย่าลี่ตะโกนเรียก“มาเอายารึแม่นางเฉิน” เจิ้งเหรินอี้วางหนังสือลง หันไปมองสตรีสองคนที่เดินเข้ามา และเหลือบไปมองจางฮวาฮ่าวอย่างแปลกใจ“ฮูหยินเฒ่าปวดหัวเจ้าค่ะ แต่วันนี้นางขอเปลี่ยนมาเป็นยาต้มแทน” เฉินหย่าลี่กล่าว“ได้ ว่าแต่แม่นางจางมาเอายาด้วยรึ” เจิ้งเหรินอี้กล่าวอย่างเป็นมิตร ไม่ลืมที่จะมอบรอยยิ้มไปให้นางทั้งสอง“ข้าอยากได้ยาบำรุงร่างกายเจ้าค่ะ” จางฮวาฮ่าวพลางลูบท้องใหญ่โตของนางเจิ้งเหรินอี้หลุบตามองท้องหญิงสาวอย่างเคลือบแคลง เพราะก่อนหน้านี้สองเดือนเขาค่อนข้างมั่นใจว่าหญิงสาวเสียเลือด เพราะอาการแท้งบุตรแล้วเหตุใดท้องนางยังใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ด้านในไม่มีเด็กก็ต้องมีบางสิ่งแอบซ่อนอยู่ ว่าแต่เสนาบดีจิ้นจะทราบเรื่องนี้แล้วหรือยังไม่มีทางที่จิ้นฝานจะไม่รู้... หากมองให้ดีนั้น เขาตั้งใจจะทำบางสิ่งอยู่เป็นแน่“ข้าจัดเทียบยาให้แม่นางจางก่อน แม่นางเฉินนั่งรอในสวนสักครู่” เจิ้งเหรินอี้กล่าวกับพวกนาง ก
จะว่าไปคุณชายจิ้นเป็นแบบนี้ก็น่ารักดีเหมือนกัน ไม่ร้ายกาจเหมือนก่อน ช่วงหลังมานี้มองไปมองมาหน้าตาเหมือนจะดีขึ้น ไม่ทราบว่าไปแอบใช้อะไรมาหรือเปล่า ถ้าแอบใช้มาจริงๆ สงสัยว่าต้องเป็นยาชั้นดีมากเป็นแน่“หน้าข้ามีอันใดติดรึ” จิ้นฝานเอ่ยถามอย่างสงสัย เมื่อเห็นคุณหนูรองจ้องเขาตาไม่กะพริบ“ไม่มี แต่ว่าฝันดีนะเจ้าคะ” คืนนี้ข้าชิงบอกเขาก่อน ปกติก่อนนอนจะเป็นคุณชายจิ้น“ฝันดี” จิ้นฝานตอบรับด้วยความอิ่มเอมใจ เรื่องที่ติดใจก่อนหน้านี้เกี่ยวกับแท่งหมึกดำได้มลายหายไปจนหมดสิ้น นางยังยิ้มให้เขาเช่นนี้หมายความว่านางไม่รังเกียจอะไร เขาจึงปล่อยวางลงได้ส่วนไป๋ซิงหนี่ว์คงจะไม่ทราบกระมังว่า เมื่อใดสตรีรู้สึกดีต่อตัวบุรุษเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ความชอบ ความดีของเขาจะทดแทนในส่วนที่บกพร่องได้เองตามธรรมชาตินี่ละหนอใจคน ไม่รักไม่ชอบก็มองว่าไม่ดี ไม่หล่อเหลา พลันใจเปลี่ยนแปลงก็เริ่มมองเห็นในแง่อื่นตามลำดับขั้น ว่าแต่ขั้นไหนถึงจะมองบุรุษผู้หนึ่งที่เคยเห็นว่าขี้เหร่นั้น หน้าตาดีขึ้นมาได้นั้น คงจะคาดเดาไม่ยาก…..จวนตระกูลจิ้นนี้ใหญ่โต มีบ่าวไพร่มากมาย และผู้คนที่มาขออยู่อาศัย การดำเนินชีวิตของพวกเขาเหมือนกับทุกๆ วัน ไ
เขาแยกกับเจิ้งเหรินอี้ที่หน้าเรือนใหญ่ เดินมาที่เรือนซือซือ แหงนหน้ามองใบไม้ที่ผลัดออก ร่วงหล่นมาด้านล่าง งานที่ว่าเครียด ไม่อาจเครียดเท่าเรื่องคุณหนูรองได้เลยสักนิดเดียวเรื่องแบบนี้จะเอาไปปรึกษาใครได้ จะให้เขาเปิดอาภรณ์ออก แล้วถามว่ามันดำหรือไม่ คนฟังมิตกใจแย่เลยรึเขาเหลือบตาไปมองสวี่เจียวที่เดินถือชาอุ่นๆ เข้ามาให้สวน และรายงานความเคลื่อนไหวในจวนตามประสา อีกทั้งยังไม่ลืมที่จะรายงานเรื่องจางฮวาฮ่าวออกไปอีกด้วย“วันนี้แม่นางจางพึ่งจะออกจากเรือน จากที่เก็บตัวหลังจากวันนั้นขอรับ”“รู้หรือไม่ว่านางทำอะไรในเรือน” จิ้นฝานเอ่ย พลางยกชาขึ้นดื่ม“มีบ่าวได้ยินเสียงโอดครวญ วันนี้ใบหน้าซีด ข้าเกรงว่าลูกในท้องนางจะเป็นอันใดไปแล้ว” สวี่เจียวกล่าว“เฮ้อ” จิ้นฝานเพียงถอนหายใจออกมาวิธีการช่วยเหลือมีมากมาย แต่เขาจงใจจะช่วยเหลือนางแบบนี้ สุดท้ายความสงสารนั้นยังแฝงบางสิ่งเอาไว้สวี่เจียวนั้นรู้จักนายท่านเป็นอย่างดี ไม่ชอบความวุ่นวาย หรือทำให้ยุ่งยาก แต่ถ้าจะทำสิ่งใดนั้นย่อมต้องนำมาใช้ประโยชน์ได้ด้วย ไม่มีความสงสารที่บริสุทธิ์ นับว่าใบหน้าที่นิ่งเรียบนี้กลับเป็นคนเจ้าเล่ห์ยากจะคาดถึง“บ่าวจะจับตาดูอย่
จิ้นฝานพยักหน้ารับ มองหมอหลวงหนุ่มด้านหน้าอย่างพินิจ และเอ่ยขึ้นอีกด้วยนํ้าเสียงทุ้มตํ่า“ท่านเป็นหมอหลวงฝีมือดี ยามนี้ข้าต้องการคนมาตรวจสอบเรื่องโรคระบาดนี้ อีกอย่างท่านก็ยังเห็นสถานที่จริงมาแล้ว มองเห็นคนเจ็บ คนไข้ ยินดีมาร่วมงานกับข้าหรือไม่”ใบหน้าของเจิ้งเหรินอี้ระบายด้วยรอยยิ้มอยู่ตามเดิม ในหัวครุ่นคิดหาข้อดี และข้อเสีย แต่เขาเองก็สนใจโรคระบาดนี้อยู่ด้วยเหมือนกัน ถ้าร่วมงานกับจิ้นฝานน่าจะสะดวกขึ้น เขาจึงตัดสินใจรับงานนี้“ข้ายินดีมาก” “เช่นกัน ข้าจะให้ผู้ช่วยมาชี้แจ้งรายละเอียดกับท่านอีกที ยามนี้ข้ายังมีงานในเมืองหลวงที่ต้องจัดการต่อ ไม่อาจมาอธิบายให้ท่านฟังทั้งหมดได้เอง” จิ้นฝานกล่าวเมื่อสองวันก่อนสายลับมารายงานว่า ยังมีพวกอั้งยี่หลงเหลือในเมืองหลวง ที่คอยส่งข่าวให้องค์ชายใหญ่ และก็เป็นไปตามที่เขาคิดไว้ ไม่มีทางที่คืนกวาดล้างจะเก็บกวาดได้หมด ยังมีบางพวกที่ซ่อนเร้นกายอยู่ เขาจะต้องรีบจัดการให้หมดจะได้ไม่ยืดเยื้อให้สูญเสียเวลาไปมากกว่านี้ หรือสร้างปัญหาได้ในภายหลังขณะเดียวกันที่เรือนซือซือห้องโถงยามนี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ถึงแม้ว่าจะดึกมากแล้ว แต่หม่านรัวอิง กับจิ้นเซ่ายู่ก
“ลุกไหวหรือไม่” จิ้นฝานกลบเกลื่อนสีหน้าเจื่อนเมื่อครู่ของตัวเอง“ไหวๆ คราวหน้าก็อย่าเปิดโท่งๆ ออกมาเช่นนั้น ท่านไม่อาย แต่ข้าอาย” ข้ากล่าวเสียงดุใส่เขา ยันกายลุกขึ้นยืน หลบเลี่ยงที่จะมองหน้ากัน ภาพสัดส่วนของเขานั้นยังติดตา และไม่รู้ว่าจะวางตัวอย่างไรดี“.........” จิ้นฝานสงบคำ เลียริมฝีปากอย่างประหม่า ครั้งที่แล้วนางก็กล่าวออกมาเรื่องขนหน้าอกเหมือนขนหมูป่า ยามนี้ก็ดวงใจบุรุษนางยังเรียกว่าแท่งหมึกดำอีกขนาดใหญ่เท่ายังพอดีใจ แต่สีดำนี่ก็...... ว่าแต่ตัวเขามีอะไรดีบ้างที่นางมองเห็น จิ้นฝานเกิดคำถามขึ้นในใจ แต่นางไม่เป็นอะไรก็ถือว่าคุ้มกับข้อกล่าวหานั้นแล้วสถานการณ์ดูเหมือนอึดอัดไปต่อไม่ได้ ข้าจึงชวนเขาสนทนาเรื่องอื่นขึ้นแทน “หมอเจิ้งย้ายมาอยู่ที่จวนแล้วนะเจ้าค่ะ” “ทราบแล้ว” จิ้นฝานตอบ เดินไปหยิบอาภรณ์มาสวมให้เรียบร้อยหลังฉากกั้นด้วยใบหน้าถอดสีอย่างน่าสงสารส่วนด้านนอกเรือนซือซือเจิ้งเหรินอี้เดินอ่านตำราที่พกติดตัวไปตามทาง พลันก็ชนเข้ากับสตรีนางหนึ่ง ทั้งจวนนี้ก็มีสตรีนางเดียวที่มักเดินก้มหน้าไม่ดูทางเดินจางฮวาฮ่าวกระเด็นลงไปนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง ใบหน้าซีดขาว ราวกับผีดิบ“แม่นาง!” เจิ