เสียงระฆังของศาลเจ้าเล็กๆ ด้านท้ายเมืองดังแว่วมาแต่ไกล ท่ามกลางสายลมเย็นของปลายฤดูใบไม้ผลิ ภายในเรือนที่ล้อมรอบด้วยกลิ่นหอมของดอกเหมย หญิงสาวผู้หนึ่งยืนอยู่หน้ากระจกทองเหลือง ใบหน้าของนางซีดเซียวราวกับไร้ชีวิต
"นี่เราตายไปแล้ว หรือว่ายังมีชีวิตอยู่กันแน่"
เสียงเอ่ยแผ่วเบาดังขึ้น ราวกับพึมพำกับตนเอง
ก่อนจะหมดสติ นางยังเป็น อวี้หลัน สตรีในยุคปัจจุบัน แต่พอลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที กลับมาอยู่ในร่างของหญิงสาวในยุคโบราณผู้มีชื่อแซ่เดียวกัน ทั้งใบหน้ายังมีเค้าโครงเดียวกัน ผิดแต่ตอนนี้ใบหน้าที่เห็นนั้นอ่อนเยาว์กว่า
รอยยิ้มเยาะหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอวี้หลัน นางชั่งสมกับเป็นคนบาปหนาเสียจริง ตายแล้วก็ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิด ไม่ได้มีชีวิตที่สุขสงบ กลับมาโผล่ในยุคที่ไม่คุ้นเคยนี้ ไม่รู้ว่าสวรรค์ส่งนางมาให้ชดใช้กรรม กับการที่นางคร่าชีวิตผู้อื่นไปมากมายหรืออย่างไร ถึงได้ส่งนางมาอยู่ในร่างที่ถูกวางยาพิษเช่นนี้
ใช่แล้ว เจ้าของร่างเดิมนี้ถูกวางยาพิษจนทำให้ถึงแก่ความตาย และดูเหมือนจะถูกวางยามาเป็นเวลานาน ร่างกายถึงได้อ่อนแอถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าคนที่ถูกวางยาเช่นนี้ ชีวิตคงไม่ได้สงบราบรื่นนัก
อวี้หลันถอนหายใจเบาๆ หลังจากที่ฟื้นขึ้นมา ความทรงจำจากเจ้าของร่างเดิมก็ไหลบ่าราวกับน้ำป่าที่ทะลักทลายไร้ทิศทาง ไม่รู้ว่าเรื่องใดเป็นเรื่องใดผสมปนเปกันไปหมด
เสียงร่ำไห้ของเด็กหญิงตัวน้อย
เสียงกล่องเครื่องหอมร่วงกระแทกพื้น
เสียงร่ำลาของหญิงงามผู้หนึ่ง ที่ดับสิ้นไปพร้อมกับกลิ่นเลือดที่เจือจางในอากาศ
ในความทรงจำ เจ้าของร่างคือบุตรีคนรองที่กำเนิดจากฮูหยินเอกผู้ล่วงลับของรองเสนาบดีกรมพิธีการนามว่า อวี้จิ้ง
นางมีน้องชายฝาแฝดคนหนึ่ง เด็กคนนั้นอายุเพียงแค่เจ็ดขวบก็ถูกส่งไปศึกษานอกเมืองหลวงทันทีที่ผู้เป็นมารดาเสียชีวิต
มีพี่สาวและน้องชายต่างมารดาที่เกิดจากฮูหยินรองอีกสองคน
มีคู่หมายที่ผู้ใหญ่พูดคุยกันไว้ตั้งแต่วัยเยาว์
เจ้าของร่างแต่เดิมเป็นเพียงเด็กสาวร่างกายอ่อนแอ จิตใจดี อ่อนโยน แต่ขี้ขลาด ไม่สู้คน นางชอบเก็บตัวเงียบๆ อยู่แต่ในเรือนของตัวเอง ไม่สุงสิงกับใคร และแทบไม่เคยสร้างปัญหาให้ผู้ใด พูดจานิ่มนวลเกินไปจนคนรอบข้างมองว่าไร้ตัวตน แม้แต่บ่าวไพร่ก็เริ่มมองข้ามนางไปโดยปริยาย
สำหรับทุกคนแล้ว คุณหนูรองผู้นี้เป็นเงาเลือนรางที่มีอยู่ก็เหมือนไม่มี
จนกระทั่งเด็กสาวอายุย่างเข้าสิบห้าปี ซึ่งเป็นวัยสำคัญของหญิงสาวชนชั้นสูงในยุคนี้ที่จะต้องเข้าสู่พิธีปักปิ่น ถือเป็นก้าวแรกสู่การหมั้นหมายและแต่งงาน แต่นางกลับล้มป่วยหนักอย่างกะทันหัน ก่อนจะถึงวันปักปิ่นเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น
อาการของนางรุนแรงจนน่าตกใจ ร่างกายซูบซีด ไร้เรี่ยวแรง หลังจากนั้นก็หมดสติไปไม่ฟื้นขึ้นมาอีก มีเพียงลมหายใจบางเบาที่บอกให้รู้ว่า คนยังคงมีชีวิต หมอที่เชิญมาดูอาการล้วนพากันส่ายหัว ไม่มีใครกล้ารับประกันว่านางจะรอด ทั่วทั้งจวนต่างรอเพียงข่าวร้าย
ตอนนี้ความทรงจำของเจ้าของร่างก็มีเพียงเท่านี้ ซึ่งมันแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย แม้นางจะพยายามเค้นความทรงจำในหัว แต่ก็ราวกับมีม่านหมอกบางๆ ขวางกั้น มองเห็นและจดจำได้อย่างรางเลือน
อวี้หลันหลับตาลงช้าๆ เมื่อรู้สึกถึงอาการปวดศีรษะที่แล่นวาบขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ดูท่านางคงต้องใช้เวลาในการปรับตัวกับร่างใหม่นี้ ร่างกายนี้อ่อนแอ จิตใจก็เปราะบางจนรู้สึกขัดใจ
ในตอนนี้ นางคงทำได้เพียงไหลตามน้ำไปก่อน คอยระมัดระวังหยั่งเชิงสถานการณ์อย่างเงียบๆ เพราะนางยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าใครคือผู้วางยาพิษ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการตายของเจ้าของร่างนี้คือใคร เจตนาของอีกฝ่ายคืออะไร เหตุใดเด็กสาวอายุเพียงเท่านี้ถึงมีคนอยากให้ตาย ชีวิตของอวี้หลันผู้นี้มีเงื่อนงำเต็มไปหมด
ตอนนี้สิ่งที่น่าหวั่นใจและน่ากังวลที่สุด คือคนที่สามารถวางยาเจ้าของร่างได้นานขนาดนี้ ย่อมเป็นคนที่อาศัยอยู่ในจวนเดียวกันกับนาง ใกล้ตัวถึงเพียงนี้แต่นางกลับไม่รู้อะไรเลย
"คุณหนู ท่านหมอมาถึงแล้วเจ้าค่ะ"
เสียงสาวใช้หน้าตาอ่อนเยาว์เอ่ยขึ้น พร้อมเดินเข้ามาช่วยพยุงนางกลับไปนอนบนเตียง
อวี้หลันพิศมองสาวใช้ข้างกาย สาวใช้นางนี้มีนามว่า ฉิงหว่าน จากความทรงจำเด็กคนนี้เป็นสาวใช้คนสนิทของเจ้าของร่าง อีกฝ่ายเติบโตมาพร้อมกับนาง และเป็นคนเดียวที่ยังคงรับใช้อยู่ข้างกายผู้เป็นนายอย่างซื่อสัตย์
"ขอบใจ ลำบากเจ้าแล้ว"
หญิงสาวเอ่ยกับอีกฝ่าย พร้อมกับรอยยิ้มบางเบา
อวี้หลันนั่งพิงหมอนผ้าปักลายเมฆมงคลบนเตียงไม้หอม ห่มผ้าคลุมไหล่เรียบง่าย แววตาสงบเสมือนผืนน้ำที่ไร้คลื่นลม
หมอชราสวมอาภรณ์กลางเก่ากลางใหม่แต่สะอาดสะอ้าน เดินเข้ามาภายในห้องอย่างสงบ แผ่นหลังงุ้มเล็กน้อยตามวัย มือหนึ่งหอบกล่องไม้หอมทรงยาวที่ขัดเงาเรียบเนียน สีเข้มจัดของเนื้อไม้เผยให้เห็นร่องรอยแห่งกาลเวลาจางๆ
เขาวางกล่องลงบนโต๊ะเตี้ยหน้าเตียง เปิดฝาออกอย่างแผ่วเบา เสียงเนื้อไม้เสียดสีกันเบาๆ ก่อนที่กลิ่นอ่อนละมุนของไม้จันทน์ผสมการบูรจะค่อยๆ ลอยฟุ้งออกมา แทรกด้วยกลิ่นสมุนไพรแห้งที่ติดอยู่ภายใน ทุกสิ่งบ่งบอกถึงความชำนาญและประสบการณ์ของหมอชราผู้นี้
อวี้หลันจับจ้องทุกการกระทำของหมอผู้นั้นอย่างไม่วางตา แววตาของนางสงบนิ่งแต่แฝงความระแวดระวังจนผู้ที่อยู่ข้างๆ สัมผัสได้
"บ่าวเป็นคนไปเชิญท่านหมอตู้มาเองเจ้าค่ะ คุณหนูให้ท่านหมอตรวจรักษาเถิดนะเจ้าคะ"
ฉิงหว่านรีบเอ่ยเสียงเบาแทบจะกลายเป็นกระซิบ พูดจบ นางก็รีบคุกเข่าลงข้างกายผู้เป็นนาย สองมือยื่นไปกุมมือบอบบางของผู้เป็นนายเอาไว้ แววตาเต็มไปด้วยความร้อนใจและอ้อนวอนอย่างเห็นได้ชัด นางกลัวว่าคุณหนูจะไม่ยอมรับการรักษาจากหมอผู้นี้
ท่านหมอตู้เป็นเพียงหมอชาวบ้านผู้หนึ่ง มีชื่อเสียงในหมู่ชาวบ้านยากไร้เท่านั้น เป็นเพียง คนธรรมดา หาใช่หมอที่มีชื่อเสียงที่เหล่าขุนนางและชนชั้นสูงให้ความเชื่อถือ
แต่หลังจากที่คุณหนูของนางล้มป่วย หมอมีชื่อเสียงมากหน้าหลายตา หรือแม้กระทั่งหมอหลวงที่นายท่านเชิญมา กลับไม่มีผู้ใดสามารถรักษาอาการของคุณหนูให้ฟื้นคืนสติได้เลย
ฉิงหว่านไม่เชื่อสักนิดว่าอาการของคุณหนูจะรักษาไม่ได้ เพราะทุกครั้งที่หมอถูกเชิญมาล้วนมีฮูหยินแซ่เซิ่งผู้นั้นคอยกำกับดูแลไม่ใช่หรือ จะให้นางเชื่อคำพูดของหมอเหล่านั้นได้อย่างไร
นั่นจึงเป็นเหตุให้ฉิงหว่านตัดสินใจลอบออกจากจวนไปเสาะหาหมอด้วยตนเอง หวังเพียงว่าแม้จะเป็นหมอที่ไม่มีชื่อเสียง แต่หากมีฝีมือก็ยังดีกว่าให้คุณหนูของนางนอนรอความตาย
และนางก็ได้พบกับท่านหมอตู้ แต่การจะเชิญหมอไร้ชื่อให้มาดูอาการของคุณหนูที่ไร้สติย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย นางจึงทำได้แค่บอกถึงอาการของคุณหนูจนได้เทียบยามา จากนั้นก็นำกลับมาปรุงและป้อนให้คุณหนูด้วยมือตนเอง
และผลก็เป็นดั่งปาฏิหาริย์ คุณหนูของนางฟื้นขึ้นมาจริงๆ
ตอนนี้คุณหนูฟื้นคืนสติแล้ว นางจึงฉวยโอกาสนี้ เชิญท่านหมอตู้เข้ามาตรวจดูอาการ
อวี้หลันสบตากับฉิงหว่าน ราวกับกำลังอ่านทะลุถึงสิ่งที่อีกฝ่ายคิดอยู่ในใจ นางมองออกถึงเจตนาที่อีกฝ่ายกำลังสื่อ
การที่บ่าวผู้หนึ่งกล้ากระทำการอุกอาจ ลอบออกไปพาหมอชาวบ้านมารักษาเจ้านายตนเช่นนี้ ก็แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ก่อนหน้านี้คงเลวร้ายจนไร้หนทางจริงๆ
"เชิญท่านหมอเจ้าค่ะ"
อวี้หลันไม่ได้คิดสิ่งใดอีก นางยื่นมือให้อีกฝ่ายโดยไม่อิดออด จากนี้คงต้องดูความสามารถของหมอตู้ผู้นี้แล้ว
ในขณะเดียวกันนั้น เสียงฝีเท้าเร่งร้อนของผู้ที่ถูกสั่งให้จับตามองความเคลื่อนไหวในเรือนฮวาหง ก็วิ่งผ่านทางเดินไม้ในเรือนข้าง กลับไปรายงานผู้เป็นนาย ทันที ข่าว "คุณหนูรองฟื้นขึ้นมาแล้ว" กระจายไปทั่วจวน นายท่านใหญ่แห่งสกุลอวี้ที่พึ่งกลับมาถึงจวนและฮูหยินเอกที่พึ่งได้รับการแต่งตั้งได้ไม่นาน ก็มาถึง เรือนฮวาหง อันเงียบสงบนี้เช่นกัน
ภายในจวนดูเหมือนจะเกิดคลื่นลมบางอย่างขึ้น
ไม่มีใครคาดคิดว่าเด็กสาวที่ร่อแร่ใกล้ตายผู้นั้นจะสามารถลืมตาตื่นขึ้นมาได้อีกครั้ง
และคงไม่มีใครคาดคิดอีกเช่นกัน ว่าผู้ที่ลืมตาตื่นขึ้นมาและพวกเขาต้องเผชิญต่อจากนี้จะไม่ใช่อวี้หลันคนเดิมอีกต่อไป
ภายในห้องคุมขังอับชื้น กลิ่นสนิมของโซ่เหล็กและคราบเลือดคละคลุ้งอยู่โดยรอบ ร่างของเซิ่งซื่อซูบเซียวลงจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม ใบหน้าซีดขาวเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น ซ่อนความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ไม่เคยสมาน แผลที่แผ่นหลังของนางเริ่มเน่าเปื่อย แม้จะมีการทำแผลอย่างลวกๆ แต่พิษไข้ก็แผ่ซ่านไปทั่วร่าง นางนอนซูบซีดบนฟางเก่า เสียงหายใจขาดห้วงราวเปลวเทียนใกล้ดับดวงตาของนางพร่ามัว น้ำตาเอ่อรื้น เมื่อนึกถึงบุตรชายบุตรสาวที่ไม่อาจกอดเป็นครั้งสุดท้าย ความเจ็บปวดในกายคล้ายถูกกลืนหายไป เหลือเพียงความขมขื่นที่ตรึงอยู่กลางใจในห้วงสุดท้าย คล้ายถูกดึงวิญญาณไปทีละน้อย สายตาพร่ามัวค่อยๆ จับภาพตรงหน้า แล้วร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นราวกับฝันไป๋ซูเหยา ฮูหยินเอกผู้ล่วงลับ ภรรยาคนแรกของอวี้จิ้ง ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยชุดผ้าแพรสีอ่อนงดงาม ดวงหน้าสงบหากแต่แววตากลับเต็มไปด้วยความโกรธแค้นเซิ่งซื่อสะดุ้งเฮือก หัวใจสั่นสะท้าน นางพึมพำเสียงแผ่วเหมือนเพ้อ"ไป๋ซูเหยา เจ้า…เจ้าใช่หรือไม่"ภาพตรงหน้านั้นเหมือนจริงเหลือเกิน ริมฝีปากของไป๋ซูเหยาขยับเอื้อนเอ่ย แต่เสียงที่ได้ยินกลับเป็นเสียงกรีดร้องของหญิงผู้สิ้นใจด้วยพิษที่นางเป็นคนมอบให้ ค
"ไม่ใช่ว่าท่านมีจุดประสงค์อื่นหรอกหรือ"เสียงของอวี้หลันเอ่ยดังขึ้นชัดถ้อยชัดคำ ทุกถ้อยคำหนักแน่นดุจคมดาบ นางก้าวออกมาหนึ่งก้าว ดวงตาคมกริบฉายแววกร้าว ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยเสียงเรียบเย็น"สิ่งที่ท่านทำไปทั้งหมด ก็เพื่อเปิดทางให้หลานชายของท่านย่ำยีข้า... คงไม่ต้องให้ข้าบอกกระมังว่าเพื่อสิ่งใด"สิ้นถ้อยคำนั้น บรรยากาศพลันเงียบงัน หนักหน่วงจนผู้ใดก็ไม่กล้าเอ่ยอันใด บ่าวไพร่ที่ยืนอยู่ด้านข้างต่างหน้าถอดสี ร่างสั่นระริก บางคนถึงกับหายใจติดขัดราวอกจะระเบิดดวงตาคมกริบของอวี้หลันสบกับผู้เป็นบิดา ก่อนจะตวัดไปยังร่างไร้สติของเซิ่งกงซุนที่ถูกองครักษ์คุมตัวลากเข้ามา ร่างนั้นนอนแน่นิ่งไร้เรี่ยวแรงบนพื้น ดูน่าสังเวชยิ่งนัก"นี่... นี่มันหมายความเช่นไร"อวี้จิ้งใบหน้าดำคล้ำ ตวัดสายตามองใบหน้าซีดเผือดของเซิ่งซื่ออย่างดุดันคำพูดนั้นของบุตรสาวที่ดังก้องกังวานในห้องหนังสือ ราวกับฟ้าผ่าลงมากลางใจอวี้จิ้ง เขาคล้ายจะมองเห็นความผิดหวังวูบหนึ่งในดวงตาของนาง ใช่ เขาเกือบจะใจอ่อนเพียงคำพูดไม่กี่คำของเซิ่งซื่อดวงตาคมวาววับของอวี้จิ้งจ้องมองภรรยาที่เขาเคยไว้ใจมานาน ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความอ่อนโยนในความทรงจำ ยาม
เซิ่งซื่อก้าวออกมาส่งแขกด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน ยังคงรักษาท่วงท่าอันงดงามและคำพูดนอบน้อมอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง นางเอ่ยขอบคุณเสียงนุ่ม เสมือนว่าเหตุการณ์ที่เจ้าของงานและบุตรทั้งสองหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ควรใส่ใจ แขกหลายคนมองหน้ากันอย่างประหลาดใจที่งานเลี้ยงถูกยุติลงเร็วกว่ากำหนด ทั้งที่ยังไม่ทันได้กล่าวคำอำลาเจ้าของงานด้วยซ้ำ"วันนี้ท่านอัครเสนาบดีมีธุระด่วนกะทันหัน จึงต้องขออภัยทุกท่านด้วยเจ้าค่ะ"เซิ่งซื่อยิ้มกล่าวเสียงนุ่มนวล มือขาวเรียวผสานคำนับทุกผู้คนอย่างสง่างามแขกหลายคนแม้จะรู้สึกฉงน แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าตั้งคำถามให้เป็นเรื่องใหญ่ จะมีก็เพียงการลอบสบตากันและการกระซิบกระซาบเบาๆ ก่อนแยกย้ายกันกลับไป แต่ละคนเก็บความสงสัยไว้ในใจเพียงเท่านั้นเมื่อประตูใหญ่ค่อยๆ ปิดลง ความเงียบอึมครึมก็เข้าปกคลุมทั่วโถงเรือนรับรองทันที รอยยิ้มที่เคยแต้มอยู่บนใบหน้าเซิ่งซื่อพลันเลือนหาย นางยกพัดในมือขึ้นโบกเบาๆ แววตาฉายประกายเย่อหยิ่งและพึงพอใจในสายตาของนาง เหตุการณ์ในคืนนี้หาใช่ความน่าอับอายไม่ หากแต่เป็นหลักฐานว่าแผนการที่วางเอาไว้กำลังเดินหน้าไปตามครรลอง ทุกสิ่งทุกอย่า
แสงจันทร์ส่องลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาในเรือนด้านทิศตะวันออกอย่างเงียบสงัด แสงเงินบางเบานั้นทอดลงบนร่างของอวี้เฉินที่นอนขดอยู่บนตั่งไม้ ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความเจ็บปวด ดวงหน้าซีดเผือดราวกระดาษ เหงื่อผุดพราวเต็มหน้าผากและขมับ มือหนึ่งกุมท้องแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้น เขาขบกรามแน่นเพื่อกลั้นเสียง แต่สุดท้ายก็ยังเล็ดลอดเสียงครางต่ำออกมาอย่างน่าเวทนาเสียงนั้นแม้จะแผ่วเบา หากแต่กลับบาดลึกเข้าไปในอกของอวี้จิ้งผู้เป็นบิดา เขายืนเฝ้าอยู่ข้างเตียงของบุตรชายไม่ห่าง สายตาเต็มไปด้วยความร้อนรุ่ม ใบหน้าที่เคยสุขุมมั่นคงในยามว่าราชการ บัดนี้กลับฉายชัดถึงความทุกข์ระทมอย่างไม่อาจปิดบัง มือใหญ่กำแน่นอยู่ข้างลำตัว ราวกับพยายามกักเก็บความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามามิให้ปะทุออกมาหัวใจของเขาเจ็บปวดเมื่อเห็นบุตรชายนอนทุรนทุราย เหงื่อเม็ดเล็กไหลชุ่มเต็มแผ่นอกและหน้าผาก แต่ในขณะเดียวกันความคิดอีกด้านกลับพลุ่งพล่านไม่หยุด เมื่อหลักฐานทั้งหมดชี้ชัดไปยังภรรยาของตนความรู้สึกมากมายถาโถมกดทับอยู่ในอกของอวี้จิ้ง ราวกับมีหินหนักทับทวีอยู่ไม่สิ้นสุด ดวงตาที่ทอดมองบุตรชายบนเตียงเต็มไปด้วยความห่วงใย แต่ลึกลงไปในนั้นกลับแฝงด้วยคว
หลังจากหลี่เหวินหลงก้าวออกจากงานเลี้ยงได้ไม่นาน อวี้หลันที่เพิ่งจิบชาหมดถ้วยก็รู้สึกถึงความผิดปกติ ความวิงเวียนแล่นเข้ามาอย่างฉับพลัน จนภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเลือน ร่างกายร้อนผ่าวราวกับมีไฟซ่อนอยู่ใต้ผิว นางขมวดคิ้วเล็กน้อย พยายามฝืนเก็บสีหน้าให้ดูปกติ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับฉิงหว่านเสียงแผ่ว"หวานหว่าน…พาข้ากลับเรือนที"ฉิงหว่านหน้าถอดสีเล็กน้อย รีบเข้ามาประคองผู้เป็นนายออกจากห้องจัดเลี้ยงอย่างระมัดระวัง เสียงเครื่องสายและเสียงพูดคุยของผู้คนในห้องโถงจัดเลี้ยงค่อยๆ เลือนหายไปตามทางเดินยาว จนถึงเรือนนอนของคุณหนูรองของจวนทันทีที่ประตูเลื่อนปิดลง อวี้หลันก็พิงกายกับเสาไม้ หอบหายใจแผ่วๆ ความร้อนผ่าวแล่นไปทั่วทั้งร่างจนแทบทนไม่ไหว เสียงของนางสั่นเล็กน้อยยามออกคำสั่ง "เตรียมน้ำให้ข้าอาบที ข้ารู้สึกร้อนไปหมดแล้ว""เจ้าค่ะคุณหนู"ฉิงหว่านรีบโค้งตัวรับคำ ก่อนจะหมุนตัวออกไปด้วยความรวดเร็ว ทิ้งให้อวี้หลันทรุดตัวลงนั่งบนขอบเตียงไม้แกะสลัก ปลายนิ้วเรียวจิกกับผ้าปูสีอ่อน ความรู้สึกแปลกประหลาดในร่างกายยิ่งชัดเจนขึ้นทุกทีอวี้หลันรอคอยด้วยใจจดจ่อ เวลาค่อยๆ ผ่านไปโดยไร้เสียงฝีเท้าของฉิงหว่านกลับมา ความเงีย
ในที่สุดก็เป็นดังที่หลายคนคาดเดาเอาไว้ อวี้จิ้งได้รับการแต่งตั้งเป็น อัครเสนาบดีกรมพิธีการ อย่างเป็นทางการข่าวประกาศแต่งตั้งแพร่สะพัดออกไปทั่วเมืองหลวงเพียงชั่วข้ามคืน แต่ก็ไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้ว่า อวี้จิ้งเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ยิ่ง ทั้งด้วยคุณงามความดีและสติปัญญาที่แสดงให้เห็นมาตลอดหลายปีวันประกาศราชโองการ ท้องพระโรงคลาคล่ำด้วยขุนนางผู้ใหญ่ ขณะที่อวี้จิ้งสวมอาภรณ์เต็มยศก้าวออกมาคำนับรับพระราชโองการด้วยท่วงท่าสง่างาม สายตาหลายคู่จับจ้องด้วยความยินดีและความอิจฉาขุนนางในราชสำนักต่างก็เริ่มจับตามองบทบาทใหม่ของอวี้จิ้ง ขณะที่บรรดาขุนนางบางกลุ่มที่เคยคิดว่าตระกูลอวี้จะโรยราไปพร้อมกับการล่มสลายของตระกูลไป๋ กลับต้องเปลี่ยนท่าทีเสียใหม่จากวันนี้ไป ตระกูลอวี้ย่อมก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดในราชสำนักอย่างสมบูรณ์แบบ และชื่อของอวี้จิ้งจะถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นหนึ่งในอัครเสนาบดีที่เปี่ยมด้วยบารมีที่สุดแห่งยุคราชสำนักที่เคยสงบเงียบพลันเต็มไปด้วยกระแสใต้น้ำที่กำลังปะทุเพราะอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้คนจับตามองมากที่สุด คือคนผู้นี้เลือกที่จะยืนอยู่ฝั่งใดในศึกแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทหากเป็นก่อนหน้านี้ การที