ขุนก้าวลงจากรถโดยสารประจำทาง ใบหน้าของเขาถูกกระทบด้วยความร้อนระอุและเสียงอึกทึกของกรุงเทพฯ ที่ไม่เคยหลับใหล กลิ่นควันรถยนต์ผสมกับไอเสียรถเมล์เก่า ๆ คลุ้งอยู่ในอากาศ ท้องถนนเต็มไปด้วยผู้คนเร่งรีบ เสียงแตรรถดังสลับกับเสียงตะโกนเรียกลูกค้า ขุนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ ที่กำลังจะถูกกลืนหายไปในมหานครแห่งนี้
ในใจเขามีเพียงความรู้สึกอึดอัดที่สั่งสมมานาน ความน้อยใจที่ถูกมองข้ามความฝัน และความปรารถนาที่จะไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ พ้นจากสายตาของผู้คนที่เคยรู้จัก กระเป๋าผ้าใบเก่า ๆ ถูกหิ้วอย่างมั่นคง ข้างในมีเสื้อผ้าไม่กี่ชุดกับเงินจำนวนน้อยนิดที่แม่แอบยัดใส่มือให้ก่อนที่เขาจะแอบออกมา เขาไม่มีแผนการ ไม่มีจุดหมาย มีแค่ความหวังเลือนรางว่าจะหา "ที่อยู่" ให้ตัวเองได้ ไม่ต้องเป็นบ้าน ขอแค่อย่าโดนไล่ก็พอ วันแรก ๆ ในกรุงเทพฯ เป็นเหมือนฝันร้าย ขุนเร่ร่อนไปทั่ว พยายามหางานทำที่ไหนก็ได้ที่พอจะประทังชีวิต งานแรกที่เขาได้คือการเป็นกรรมกรแบกหามข้าวของหนัก ๆ ตามตลาด แรงกายที่เคยใช้ในการทำไร่กลับแตกต่างออกไปเมื่อต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย เขาต้องทนกับคำพูดที่ดูถูกและสายตาที่มองเขาเป็นเพียงแรงงานชั้นต่ำ หลังจากนั้นเขาก็เปลี่ยนไปทำงานล้างจานในร้านอาหารบ้าง ทำงานรับจ้างรายวันบ้าง งานเหล่านั้นสอนให้เขารู้จักความเหน็ดเหนื่อยอย่างแท้จริง และความจริงที่ว่าชีวิตในเมืองใหญ่ไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด ขุนได้เช่าห้องเล็ก ๆ ห้องหนึ่งในตึกแถวเก่า ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยแคบ ๆ ห้องนั้นมีเพียงเตียงเหล็กผุ ๆ โต๊ะไม้เล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยฝุ่น และกำแพงสีซีดที่ลอกร่อน มันไม่มีหน้าต่างบานไหนที่มองเห็นท้องฟ้ากว้าง ๆ เหมือนที่ไร่ลำไย ไม่มีกลิ่นดิน กลิ่นดอกไม้ มีแต่กลิ่นอับชื้นจากห้องข้าง ๆ และเสียงโวยวายของเพื่อนร่วมห้องเช่า "ตื่นไปทำงานทุกวัน เลิกมาก็กินข้าวกล่อง นอนบนเตียงเหล็กที่ฝุ่นจับ ไม่มีใครเรียกชื่อ ไม่มีใครถามว่าวันนี้เหนื่อยมั้ย" นี่คือวงจรชีวิตของขุน เขาทำงานเพื่อมีชีวิตรอด ทำงานเพื่อจ่ายค่าห้อง ทำงานเพื่อหล่อเลี้ยงลมหายใจที่โดดเดี่ยว ในความมืดมิดของห้องเช่าแคบ ๆ นั้น ขุนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงคนแปลกหน้าคนหนึ่งในเมืองใหญ่ ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครสนใจ เขาใช้ชีวิตอยู่ภายใต้แรงกดดันที่มองไม่เห็น แรงกดดันที่บอกว่าเขาต้องเข้มแข็ง ต้องอยู่รอดให้ได้ด้วยตัวเอง บางครั้งความเหงาก็เข้ากัดกินหัวใจ เขาคิดถึงบ้าน คิดถึงไร่ลำไย คิดถึงพี่เข้ม คิดถึงแม่ คิดถึงเสียงหัวเราะของ เดือน ที่เคยวิ่งตามเขาต้อย ๆ แต่ความน้อยใจและความรู้สึกว่าตัวเองถูกทอดทิ้งก็ยังคงฝังลึกอยู่ในใจ ทำให้เขาไม่กล้าที่จะหันหลังกลับไป เขาเคยหยิบหนังสือพิมพ์เก่า ๆ ที่เก็บได้มานั่งอ่าน บรรทัดเล็ก ๆ เกี่ยวกับ “ทุนการศึกษา” สำหรับเด็กต่างจังหวัดที่อยากเรียนต่อโผล่ขึ้นมาในสายตา ขุนเคยคิดจะลองสมัคร แต่ภาพของแบบแปลนเรือนแปรรูปผลไม้ที่พี่เข้มเคยถือ และประโยคที่ว่า "อยู่ที่นี่ก็เรียนรู้ได้ ไม่เห็นต้องไปไกลถึงกรุงเทพฯ ให้เหนื่อย" ก็ย้อนกลับมาในหัว ทำให้เขาพับหนังสือพิมพ์นั้นเก็บไว้ ไม่เคยแม้แต่จะลองเริ่มต้น วันคืนในกรุงเทพฯ ดำเนินไปอย่างเชื่องช้าสำหรับขุน ทุกวันเหมือนเดิมซ้ำ ๆ เขาเข้มแข็งขึ้นในแบบที่ต้องเอาตัวรอด แต่ภายในใจกลับมีบาดแผลที่ไม่เคยได้รับการเยียวยา แสงอาทิตย์ยามเช้าของกรุงเทพฯ ไม่ได้อบอุ่นเหมือนแสงแดดในไร่ลำไย มันมักจะมาพร้อมกับเสียงอึกทึกครึกโครมของเมืองที่ตื่นขึ้น และกลิ่นควันรถที่เริ่มคละคลุ้ง ขุนตื่นขึ้นมาบนเตียงเหล็กผุ ๆ ในห้องเช่าแคบ ๆ ของเขา ทุกวันคือการเริ่มต้นของความเหน็ดเหนื่อยครั้งใหม่ เขาทำงานหลากหลายอย่างในแต่ละวัน ไม่มีอะไรแน่นอน บางวันเขาเป็น กรรมกรแบกหาม อยู่ในตลาดสี่มุมเมือง แบกกระสอบข้าวสาร หัวหอม หรือผักผลไม้หนักอึ้งขึ้นลงรถบรรทุก กล้ามเนื้อแทบฉีก ข้อเข่าปวดร้าวไปหมด เขาต้องทนกับเสียงตะโกนด่าทอจากหัวหน้างานที่หงุดหงิด และสายตาที่มองเขาเป็นแค่เครื่องจักรที่ต้องทำงานให้ได้มากที่สุด บางวันโชคดีหน่อย เขาก็ได้งานเป็น เด็กเสิร์ฟหรือล้างจาน ในร้านอาหารเล็ก ๆ ตามตรอกซอยแคบ ๆ เขาต้องยืนอยู่หน้าอ่างล้างจานที่เต็มไปด้วยคราบมัน ความร้อนจากไอน้ำและกลิ่นอาหารคาวคลุ้งไปทั่ว มือของเขาเปื่อยยุ่ยจากน้ำยาล้างจานแรง ๆ และผิวหนังก็แห้งกร้านจากน้ำและสบู่ แต่เขาก็ต้องกัดฟันทำ เพราะนี่คือหนทางเดียวที่จะมีเงินซื้อข้าวประทังชีวิต ในตอนกลางคืน หลังเลิกงาน ขุนจะเดินกลับห้องเช่าอย่างเงียบ ๆ ร่างกายอ่อนล้าจนแทบไม่มีแรงก้าวขา แต่ใจเขากลับยังต้องแข็งแกร่ง เขาจะซื้อข้าวกล่องราคาถูกจากร้านข้างทาง กินมันอย่างเงียบ ๆ คนเดียวบนเตียงเหล็กเก่า ๆ ที่เป็นทั้งที่กิน ที่นอน และบางครั้งก็เป็นที่ระบายความรู้สึกทั้งหมดที่เขาไม่มีใครจะพูดด้วย ความโดดเดี่ยวคือเพื่อนสนิทของขุนในเมืองใหญ่ เขาไม่มีเพื่อน ไม่มีญาติ ไม่มีใครที่รู้จักชื่อจริง ไม่มีใครถามว่าเขามาจากไหน หรือทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ ทุกคนเป็นเพียงเงาที่เดินสวนกันไปมาในชีวิตประจำวันอันวุ่นวาย “ผมเคยทำงานหนัก…จนลืมถามใจตัวเองมั้ย” ขุนมักจะคิดถึงคำถามนี้อยู่บ่อย ๆ ในวันที่ท้อแท้ เขาทำงานไปวัน ๆ เหมือนหุ่นยนต์ ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีอนาคตที่ชัดเจน สิ่งเดียวที่หล่อเลี้ยงเขาไว้คือสัญชาตญาณของการเอาชีวิตรอด ในบางวัน เขานั่งอยู่บนฟุตบาทริมถนน มองดูรถยนต์หรู ๆ แล่นผ่านไป มองดูผู้คนที่แต่งตัวดี ๆ เดินจับจ่ายซื้อของ เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงเศษฝุ่นที่ถูกทิ้งไว้ข้างทาง ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเข้ากัดกินหัวใจ แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเก็บมันไว้ข้างใน เขาเคยคิดที่จะกลับบ้านหลายครั้ง ภาพของไร่ลำไยอันเขียวขจี เสียงหัวเราะของเดือน และรอยยิ้มอบอุ่นของพี่เข้มผุดขึ้นมาในความทรงจำ แต่ทุกครั้งที่คิดจะหันหลังกลับ ความรู้สึกผิดหวังและน้อยใจที่เคยมีต่อพี่เข้มก็คอยฉุดรั้งไว้ ทำให้เขาต้องกัดฟันใช้ชีวิตที่โดดเดี่ยวนี้ต่อไปเสียงฝนพรำเบา ๆ ในวันนั้นถูกกลบด้วยเสียงฝีเท้าร้อนรนของขุน เขาวิ่งเข้าออกหน้าห้องคลอดด้วยใบหน้าเครียดจัด มือที่เคยมั่นคงสั่นน้อย ๆ อย่างห้ามไม่ได้ “ใจเย็นนะขุน…” พี่ลินดาวางมือบนไหล่ พยายามปลอบ แต่ดวงตาคมก็ยังจับจ้องประตูบานนั้นอย่างไม่กะพริบ ชั่วเวลาที่เหมือนเป็นนิรันดร์ ในที่สุดเสียงแผ่วเบาแต่ชัดเจนก็ดังลอดออกมา เสียงร้องแหลมเล็กของทารกแรกเกิด น้ำตาที่ขุนไม่เคยคิดว่าจะหลั่งง่าย ๆ กลับเอ่อคลอทันทีที่หมอเปิดประตูออกมา “ยินดีด้วยครับ… คุณพ่อ” เขาแทบไม่รอคำอธิบาย รีบก้าวเข้าไป เห็นเดือนนอนอ่อนแรงอยู่บนเตียง ผมเปียกชื้นด้วยเหงื่อ แต่รอยยิ้มบาง ๆ ที่มอบให้เขากลับงดงามที่สุดในชีวิต “พี่ขุน… เรามีลูกแล้วนะคะ” เสียงเธอเบาจนแทบเป็นกระซิบ ชายหนุ่มก้าวเข้าไปจับมือเธอแน่น ก่อนจะก้มลงจุมพิตหน้าผากด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความรัก “เก่งที่สุดแล้วเดือน… ขอบคุณนะที่ให้พี่ได้เป็นพ่อ” พยาบาลอุ้มก้อนน้อยห่อผ้าเข้ามา เด็กน้อยตัวแดงจิ๋วส่งเสียงร้องแผ่ว ๆ เมื่อถูกวางลงบนอกแม่ เดือนหลั่งน้ำตาออกมาโดยไม่รู้ตัว ขณะที่ขุนนั่งข้าง ๆ มองภาพนั้นด้วยแววตาสั่นระริก เหมือนได้เห็น ความฝันของทั้งชีวิต กลายเป็นจริง
แสงแดดยามเช้าส่องลอดผ้าม่านไม้ไผ่เข้ามาในห้องพักเล็ก เดือนขยับตัวจะลุกขึ้นตามปกติ แต่ทันทีที่ยืนขึ้น ร่างบางก็เซไปเล็กน้อย ความเวียนศีรษะแล่นเข้ามาอย่างกะทันหัน“อ๊ะ…” เธอเผลอร้องเบา ๆ มือคว้าขอบเตียงไว้แน่นขุนที่เพิ่งสวมเสื้อเชิ้ตพอดี รีบเข้ามาประคองทันที “เดือน! เป็นอะไรครับ ทำไมหน้าซีดแบบนี้”หญิงสาวยิ้มจาง ๆ “ไม่เป็นไรค่ะ แค่เวียนหัวนิดหน่อย”ในครัว พี่ไหมกำลังตั้งหม้อข้าวต้มอ่อน ๆ ไว้สำหรับแขกที่เพิ่งตื่น เสียงน้ำเดือดเบา ๆ คลอไปกับกลิ่นหอมอบอวลของข้าวสุกใหม่ แต่สำหรับเดือน กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพียงแค่กลิ่นลอยมาแตะจมูก เธอรีบเอามือปิดปาก สีหน้าเปลี่ยนเป็นขาวซีดทันที“พี่ขุน… หนูเหม็นกลิ่นข้าวต้มจังเลย”ขุนตาเบิกกว้าง หัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ ความตกใจแล่นวาบผ่านใบหน้าคม “หรือว่า…” เขาเอื้อมมากุมมือเธอแน่นขึ้น สายตาเต็มไปด้วยทั้งห่วงใยและความตื่นเต้นที่ยังไม่กล้าพูดออกมาเสียงพี่ไหมดังแทรกขึ้นจากครัว “หนูเดือน ตื่นแล้วเหรอจ๊ะ เดี๋ยวพี่ตักข้าวต้มให้นะ กินอุ่น ๆ จะได้ไม่เวียนหัว”แต่เดือนเพียงส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะหันไปซบอกขุนด้วยความอ่อนแรง ขุนกอดร่างบางไว้แน่น พลางมองออกไปนอกหน้าต่
หนึ่งเดือนหลังงานแต่ง บ้านไร่ในฝันโฮมสเตย์ยังคงอบอวลด้วยความสุข แขกที่แวะมาพักทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง พี่ไหมกับพี่นิ่มก็ทำงานได้ดี รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของพวกเธอทำให้ไร่เล็ก ๆ แห่งนี้ดูมีชีวิตชีวายิ่งขึ้นเช้าวันนั้น ขุนลืมตาตื่นขึ้นท่ามกลางอ้อมกอดอุ่น ร่างเล็กของเดือนซุกแนบอยู่ข้าง ๆ ราวกับยังไม่อยากลุกจากเตียงไม้ที่ทั้งคู่ช่วยกันจัดแต่งเมื่อคราวเริ่มเปิดบ้านพักใหม่ ขุนก้มลงหอมแก้มภรรยาเบา ๆ จนเธอสะดุ้งยิ้มเขิน ๆ“พี่ขุน แกล้งหนูแต่เช้าเลยนะคะ”“ก็เมียพี่น่ารักนี่นา” เขาตอบเรียบ ๆ แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความรักทั้งคู่ลุกขึ้นมาช่วยกันทำอาหารเช้าง่าย ๆ ข้าวต้มหม้อเล็กกับผักสดที่เด็ดมาจากสวนหลังบ้าน เสียงหัวเราะดังเบา ๆ เมื่อเดือนทำขิงหั่นบางเกินไป ขุนเลยแอบแซวว่า “นี่เมียพี่ตั้งใจหั่นให้พี่กินทั้งแปลงหรือเปล่า”หลังมื้อเช้า ขุนกับเดือนเดินเล่นรอบไร่ ลมเช้าพัดกลิ่นดอกไม้จากไร่เรือนกระจกของพี่ลินดามาแตะจมูก ขณะที่ด้านไกลเห็นแขกกลุ่มหนึ่งนั่งจิบกาแฟอย่างสบายใจ“พี่ขุน…” เดือนเอ่ยขึ้นเบา ๆ “ถ้าวันหนึ่งมีเสียงเด็กวิ่งเล่นในไร่ คงจะดีไม่น้อยนะคะ”ขุนหยุดเดิน หันมามองใบหน้าของภรรยาที่แดงระเ
แสงอรุณสาดลอดผ่านกิ่งไม้ใหญ่ ขุนลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมสัมผัสอุ่นจากร่างเล็กที่ยังซุกอยู่ในอ้อมกอด รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าคมเมื่อได้เห็นเดือนหลับตาพริ้ม แก้มแดงระเรื่อจากความเหน็ดเหนื่อยเมื่อคืน“ตื่นได้แล้วคนสวย…เช้านี้เราต้องรีบกลับบ้าน เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าจะเอาใหญ่” ขุนก้มลงกระซิบเบา ๆ พลางกดจูบหน้าผากเธอเดือนขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะลืมตาขึ้นด้วยความงัวเงีย พอได้สติ สีหน้าก็แดงจัด รีบคว้าผ้าห่มมาคลุมกายพลางเบือนหน้าหนี“อายจังเลยพี่ขุน…เมื่อคืนเรา…”“เมื่อคืนเดือนชอบนี่นา” เขายิ้มอบอุ่น ก่อนจะช่วยประคองเธอลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยทั้งคู่รีบเก็บสิ่งของและเดินกลับบ้านด้วยหัวใจเต้นแรง ยิ่งใกล้ถึงเรือนหลังเล็กของแม่เดือน ความเขินก็ยิ่งทวีขึ้น เพราะรู้ดีว่าไม่นานนัก ทุกคนในไร่จะมาหาคู่แต่งงานหมาด ๆ ในเช้าวันนี้เดือนกระซิบเบา ๆ พลางจับมือเขาแน่น “พี่ขุน…อย่าปล่อยมือหนูนะ”ขุนหันมายิ้ม ดึงมือเธอมากุมแน่นกว่าเดิม “ไม่มีวันปล่อย…เราจะกลับไปเริ่มต้นบ้านของเรา…ด้วยกัน”ทั้งสองเดินเคียงกันไปใต้แสงเช้า ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข แม้ยังมีความเขินอาย แต่ก็อบอุ่นเหลือเกินไม่นานหลังจากทั้งคู่กลั
ใต้แสงจันทร์นวล เสื่อผืนบางถูกปูลงบนพื้นหญ้านุ่ม ๆ ข้างลำต้นไม้ใหญ่ที่คุ้นตา ลมกลางคืนพัดเอื่อย เสียงจักจั่นดังเป็นจังหวะคล้ายเสียงขับกล่อม เดือนค่อย ๆ นั่งลงบนตักพี่ขุน แขนเล็กโอบรอบต้นคออย่างเคยชิน แก้มกลมซบอยู่ใกล้ใบหน้าคมที่ส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ “เหนื่อยมั้ยพี่ขุน…ทั้งวันเลยนะ” เดือนเอ่ยเบา ๆ พลางเอียงหน้ามองตาเขา ขุนส่ายหัวช้า ๆ แขนใหญ่โอบกอดร่างเล็กไว้แน่น “ไม่เหนื่อยเลย…แค่ได้กอดหนูแบบนี้ ทุกอย่างก็หายไปหมดแล้ว” คำพูดเรียบง่ายทำให้หัวใจเดือนเต้นแรงขึ้นทันที เธอหัวเราะเบา ๆ อย่างเขินอาย แต่ยังคงซุกตัวเข้าหาอ้อมแขนนั้นมากกว่าเดิม ขุนก้มลงหอมแก้มขาวเนียนอย่างแผ่วเบา กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากผิวและเส้นผมของเธอลอยแตะปลายจมูกจนหัวใจเขาอุ่นวาบ เดือนยกมือแตะอกเขาเบา ๆ สบตาพร้อมรอยยิ้มละมุน “คืนนี้…ดีจังเลยพี่ ข้างนอกอาจจะเงียบ แต่หนูรู้สึกว่าหัวใจมันเต็มไปด้วยเสียงเพลง” ขุนหัวเราะในลำคอ ก่อนจะกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น ริมฝีปากแตะขมับเธออย่างแผ่วเบา เดือนเงยหน้าขึ้นสบตาพี่ขุน ดวงตากลมส่องประกายวาววับในเงาจันทร์ ก่อนจะโน้มตัวเข้ามาประกบริมฝีปากกับเขาอย่างแผ่วเบา รสจูบอุ่นร้อนค่อย ๆ ลึกซึ้งขึ้น
เวลาล่วงเลยจนเกือบบ่าย แสงแดดอ่อนคล้อยลงสาดผ่านต้นไม้ใหญ่ ลานไร่ที่เมื่อเช้ายังเต็มไปด้วยเสียงกลองยาวและความคึกคัก บัดนี้กลับอบอวลด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเบา ๆ หลังพิธีเสร็จสิ้นขุนกับเดือนนั่งเคียงกัน มือทั้งคู่ยังคงกุมไว้แน่นบนตั่งที่ปูผ้าพื้นเมือง ข้อมือขาวมีสายด้ายผูกข้อมือที่ญาติผู้ใหญ่และเพื่อนบ้านร่วมอวยพร กลิ่นน้ำอบคละคลุ้งผสมกลิ่นดอกไม้สดรอบกายเสียงแซว เสียงอวยพรยังดังไม่ขาดสาย แต่สำหรับคนสองคนตรงกลางพิธีนั้น ราวกับโลกหมุนช้าลง เหลือเพียงความสุขเรียบง่ายที่เอ่อท่วมในหัวใจลินดายืนมองภาพนั้นอยู่ด้านข้าง รอยยิ้มสวยค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม เธอรีบยกมือเช็ด แต่ก็ไม่อาจหยุดได้ พอลที่ยืนข้าง ๆ เห็นเข้าก็เอื้อมมือมากุมไหล่ พลางเอ่ยเสียงนุ่ม “ร้องทำไมกัน…วันนี้มันเป็นวันดีนะ”ลินดาส่ายหน้าเบา ๆ หัวเราะทั้งน้ำตา “ก็เพราะมันดีไงพอล…ฉันเลยอดไม่ได้…เห็นเดือนกับขุนแล้วมันเหมือนฝันที่เป็นจริง เหมือนเราเองก็ได้ย้อนกลับมารู้ว่าความรักที่แท้จริงมันเป็นยังไง”แสงแดดบ่ายคล้อยลอดผ่านม่านใบไม้ลงมาส่องให้ภาพทั้งหมดเปล่งประกายราวกับถูกห่อหุ้มด้วยความอบอุ่น งานวิวาห์กลางไร่ในฝัน ที่