เสียงหัวเราะครึกครื้นกับบทสนทนาโหวกเหวกประหนึ่งใครตั้งวงเหล้าดังสนั่นจนชวนหงุดหงิด
“อื้อ…หนวกหูจัง”
“เอ๋…พี่ใหญ่ ๆ มาดูเร็ว เหมือนนางจะได้สติแล้วนะขอรับ” ชายฉกรรจ์ทั้งร่างบึกบึน ตัวสูง ตัวเตี้ย ต่างมารุมล้อมเมียงมองสตรีร่างระหงที่นอนสลบไสลไร้สติอยู่บนกองฟางด้วยความสนใจใคร่รู้
เปลือกตาบางค่อย ๆ ขยับแผ่ว แพขนตาหนาระริกไหวดั่งผีเสื้อกระพือปีก อึดใจถัดมาก็แง้มเปิดแช่มช้า
“ฟื้นแล้ว นางฟื้นแล้ว”
ภาพตรงหน้าเลือนรางเป็นอย่างมาก ไม่นานก็เริ่มกระจ่างชัด หญิงสาวดีดกายผึงพร้อมสีหน้าตื่นตระหนก ริมฝีปากอ้าเผยอทว่าไร้เสียง
บรรดาชายร่างใหญ่ร่างเล็กต่างถอยกรูดแตกกระเจิงเพราะตกใจต่อท่าทีประหลาดของนาง
นัยน์ตาดอกท้อเหลือบซ้ายแลขวาพลันถอยหลังกรูดไปนั่งกอดเข่าด้วยความหวาดกลัว
โจรงั้นเหรอ แต่ชุดที่พวกเขาสวมเก่าไปหน่อยไหม ชุดโบราณ นี่ก็ชุดโบราณ คนนี้ก็ชุดโบราณ
ฟางเซี่ยนเซี่ยนกลอกตาไปมาจนรู้สึกสับสน กระทั่งชายร่างแคระสูงไม่พ้นเข่าชายกำยำเอ่ย “ดูเหมือนนางคงตกใจจนเป็นใบ้”
จู่ ๆ พวกเขาก็หัวเราะครืนด้วยความสนุกสนาน
ฟางเซี่ยนเซี่ยนตั้งสติ “พวกแกเป็นใคร”
ชายร่างสูงตอบ “คนสวยเจ้าจำไม่ได้งั้นหรือ ข้าก็เป็นเจ้าบ่าวของเจ้าอย่างไรเล่า”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนเบิกตากว้างประหนึ่งไข่ห่าน เสียงหัวเราะขบขันก็ดังขึ้นอีกระลอก
“พอแล้ว ๆ พวกเจ้ารังแกสตรีสนุกมากนักหรือ”
ชายร่างมอมทุกคนต่างแหวกทางให้คนที่เอ่ยเมื่อครู่แทรกตัวเข้ามา ฟางเซี่ยนเซี่ยนช้อนตามองอีกฝ่ายเขม็ง
คนผู้นี้ใบหน้าหล่อเหลาไม่คล้ายพวกที่รุมล้อมตนเมื่อครู่สักนิด แม้เครื่องแต่งกายจัดว่าเก่าซีด ทว่าไม่อาจบดบังความสง่างามที่แผ่กำจายออกมาได้เลยสักเสี้ยว ขบคิดไปมาฟางเซี่ยนเซี่ยนก็ถึงขั้นสบถเสียงหลงอยู่ภายในใจ
อะไรกัน ชุดจีนโบราณ เอ๊ะ…หรือเป็นพวกคนป่า!
“อย่าเข้ามานะ พวกแกเป็นใคร ทำไมต้องจับตัวฉันมาด้วย”
“หือ…” ชายร่างสูงยอบกายนั่งขนาบข้างฟางเซี่ยนเซี่ยน มือหยาบกร้านเอื้อมไปเบื้องหน้าหมายยลโฉมอีกฝ่ายให้ชัด ๆ ทว่าหญิงสาวกลับเบี่ยงใบหน้าหนี
ชายหนุ่มยิ้มบาง “สาวน้อย เจ้าคงเสียดายมากสิท่าที่ไม่ได้เข้าวิวาห์กับเจ้าหมอนั่น ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไม่อยากแต่งมิใช่หรือ ก็ถือว่าข้าเป็นผู้มีพระคุณ เจ้าต้องขอบคุณข้าถึงจะถูก”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนกะพริบตางุนงง “พูดบ้าอะไรของคุณ แต่งงานอะไรมิทราบ ฉันใกล้ตายอยู่ข้างถนนดี ๆ ก็มาโผล่ที่นี่เนี่ยล่ะ”
“เห็นงดงามเรียบร้อยคิดว่าจะเชื่อฟังเสียอีก พี่ใหญ่จัดการนางเลยดีหรือไม่ ถึงอย่างไรนางก็เป็นลูกขุนนางชั่วนั่น พ่อสารเลวอย่างไร ลูกก็คงจะงามแต่รูปจูบไม่หอม”
ชายหนุ่มยกมือปราม “อาฮ่าว เจ้าใจเย็นก่อน ถามไถ่กันให้รู้ความเสียหน่อย ถึงอย่างไรก็พานางกลับมาแล้ว ทำเช่นนั้นใจจืดใจดำกับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เกินไปกระมัง”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนหงุดหงิด ไม่รู้พวกเขาพล่ามอะไรเจ้า ๆ ข้า ๆ ราวกับอยู่ในซีรีส์จีนย้อนยุค
เสียงใสโพล่ง “พวกแกนี่เสียสติหรือยังไง จะบอกให้นะว่าถ้าจะจับตัวฉันมาเรียกค่าไถ่พวกแกคิดผิดแล้ว เพราะบ้านฉันจนมาก ป้าขี้งก ลุงขี้เมา จะเอาอะไรมาให้กันเล่า โธ่!”
“แม่นางน้อยนี่ช่างปากดีจริง ๆ เจ้าจะแสร้งเป็นคนจนได้อย่างไร ในเมื่อพ่อของเจ้าโกงกินบ้านเมืองจนร่ำจนรวย โกหกตาใส”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนอ้าปากหวอ ต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันอย่างแน่นอน คนพวกนี้จะจับลูกสาวเศรษฐีแต่ดันไปลากตัวนางที่นอนแอ้งแม้งใกล้ตายข้างถนนมาเนี่ยนะ ไม่เรียกว่าโง่คงเรียกว่าประสาท
แต่แล้วเมื่อนึกมาถึงเรื่องที่ตนนอนหมดสติที่ข้างทาง ฟางเซี่ยนเซี่ยนก็รู้สึกว่ามันผิดปกติ มือเรียวยกขึ้นคลำไปยังท้ายทอยของตนเอง ทว่ากลับไร้ซึ่งความเจ็บปวด ลูบ ๆ ศีรษะตัวเองไปมาก็ยิ่งแตกตื่น เพราะไม่รู้ว่ากำลังใส่อะไรเอาไว้รุงรังไปหมด
บรรดาชายฉกรรจ์มองดูอาการประหลาดของฟางเซี่ยนเซี่ยนก็พากันขมวดคิ้วยุ่ง
“นางเป็นอันใดอีกแล้ว พี่ใหญ่ข้าว่านางตกใจจนเสียสติไปแล้วจริง ๆ”
มือเรียวยังคลำเรือนร่างตัวเองไม่หยุด กระทั่งสัมผัสโดนหน้าผากก็รู้สึกว่ามันบวมเป่งจนรู้สึกเจ็บมาก
“โอ๊ย”
ทำไมเจ็บตรงนี้ล่ะ ก็ตอนเราล้มท้ายทอยเลือดอาบเลยไม่ใช่เหรอ
ฟางเซี่ยนเซี่ยนหลุบตามองเสื้อผ้าที่ตัวเองสวมใส่ก็ลุกพรวด
“ชุดโบราณ สีแดงด้วย นะ…นี่ชุดแต่งงานสมัยโบราณนี่”
ชายฉกรรจ์ทั้งหลายถอยกรูดไปรวมกัน มองมาที่ฟางเซี่ยนเซี่ยนเป็นตาเดียวดั่งพบเจอตัวประหลาด
“นี่นาง นางผีเข้างั้นรึ”
“ข้าบอกแล้วว่านางตายแล้ว ๆ ให้ทิ้งเอาไว้พี่ใหญ่ก็ไม่เชื่อ จะช่วยนางกลับมาให้ได้ แล้วเป็นอย่างไร นางตื่นมาก็เสียสติ”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนเซแทบล้มทั้งยืน ชายหนุ่มร่างสูงรุดเข้าหาหวังช่วยประคอง แต่สตรีตัวเล็กก็ก้าวเท้าหลบดุจดั่งลิงทโมน
“อย่าเข้ามานะ”
“ข้าไม่ได้จะทำร้ายเจ้า เจ้าก็คงได้ยินแล้วว่าข้าช่วยเจ้าเอาไว้”
ขาสูงค่อย ๆ เยื้องย่างเข้าใกล้สตรีตรงหน้าเนิบนาบ ฟางเซี่ยนเซี่ยนรู้สึกได้ว่าเขาใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ หญิงสาวจึงเร่งถอยกรูดไปไกล
เพราะเกรงว่าตนเองจะถูกทำไม่ดีไม่ร้าย นึกอะไรไม่ออกก็คว้ามั่ว ๆ ไปบนหัว ฉับพลันก็ได้ปิ่นปักผมมาอันหนึ่ง จากนั้นก็ใช้มันจี้คอตัวเองอย่างไม่ลังเล
เสียงตกใจดังอึงอล “นางรนหาที่ตายอีกแล้ว”
“พวกแกถอยไป ไม่งั้นฉันจะแทงคอตัวเองตาย แล้วสุดท้ายตำรวจต้องมาลากคอพวกแกเข้าตารางแน่นอน”
“นางพูดอะไร วาจาประหลาดยิ่งนัก พี่ใหญ่ข้าว่าเร่งจัดการนางเถอะขอรับ ดูท่าแล้วนางคงพูดไม่รู้ความ”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนเบิกตาโพลง เพราะคิดว่าตัวเองจะถูกขืนใจ หากเป็นเช่นนั้นยอมตายเสียยังดีกว่า “เลวจริง ๆ นี่พวกแกเป็นไอ้รถคันนั้นที่ชนฉันแล้วทำเป็นหนี สุดท้ายก็วนกลับมาสินะ คนชั่ว”
“แม่นางข้าว่าเจ้าสงบสติแล้วนั่งลงคุยกันดี ๆ ก่อนเถิด” ชายหนุ่มหน้าวสันต์หันไปกำชับลูกน้อง “พวกเจ้าออกไปให้หมด”
“แต่พี่ใหญ่…”
“ข้าบอกให้ออกไป” เสียงทุ้มตัดบท
“ขอรับ” บรรดาลูกน้องต่างเดินคอตกกลับออกไป
“เอาล่ะ ตอนนี้มีเพียงเจ้ากับข้าแล้ว แม่นางเจ้าวางปิ่นลงก่อนเถิด หากเจ้าบริสุทธิ์พวกเราไม่คิดทำร้ายเจ้าแน่นอน”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนลังเล “ฉันไม่เชื่อ เคยได้ยินมาว่าไม่มีสัจจะในหมู่โจร พวกแกเป็นโจรใช่ไหม”
ชายหนุ่มพยักหน้า “ใช่ พวกเราเป็นโจร โจรแล้วอย่างไร พวกเราก็ยังดีกว่าขุนนางเศรษฐีที่เอาแต่ขูดเลือดขูดเนื้อกับชาวบ้านตาดำ ๆ”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนรับรู้ได้ว่าน้ำเสียงของชายหนุ่มเปลี่ยนไป เพราะกลัวว่าตัวเองจะไปกระตุกหนวดเสือเข้า จึงเลือกสงบคำลง คำพูดเมื่อครู่ของเขาทำให้หญิงสาวนึกบางอย่างขึ้นได้
หรือว่า…
“นี่อย่าบอกว่าพวกนายทำตัวเป็นโรบินฮู้ดน่ะ”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วด้วยความฉงน “โรบินหูอะไรของเจ้า”
ฟางเซี่ยนเซี่ยนถอนหายใจ ดูเหมือนว่าหญิงสาวไม่ได้พบกับโจรธรรมดา ทว่ากลับเป็นโจรผดุงคุณธรรมเสียอย่างนั้น
เพียงแต่พวกเขาเลือกจับผิดคนแล้ว
“เอาล่ะ ฉันพอเดาได้ราง ๆ แล้ว ที่แท้พวกนายก็เลือกปล้นเงินจากคนรวยที่ได้มาอย่างผิดกฎหมายไร้ศีลธรรมเพื่อไปช่วยคนจนอย่างนั้นสินะ”
ชายหนุ่มแค่นยิ้ม ดูเหมือนอารมณ์ของเขาเริ่มดีขึ้นมาหน่อยแล้ว “แม่นาง คิดไม่ถึงว่าเจ้าก็ฉลาดอยู่บ้าง เช่นนั้นเราจะคุยกันดี ๆ ได้หรือยัง”
ณ ร้านออกแบบบ้านเรือนซูเซี่ยนนับตั้งแต่ฟางเซี่ยนเซี่ยนแต่งงานกับซ่งเหวยซูนางก็เบื่อที่ต้องนั่งกินนอนกินอยู่เฉย ๆ เขาคิดจะขุนนางให้เป็นหมูหรืออย่างไร ขยับนิดเดียวก็คิดว่าจะฉีกขาดประหนึ่งกระดาษบอบบางดังนั้นฟางเซี่ยนเซี่ยนเลยใช้มารยาหญิงออดอ้อนเขาเพื่อเปิดร้านซูเซี่ยนขึ้นมา หญิงสาวคิดนำความสามารถที่เรียนจากยุคของตนมาประกอบอาชีพ ซึ่งเป็นการรับออกแบบบ้านเรือน และรูปแบบที่ฟางเซี่ยนเซี่ยนออกแบบมาล้วนต้องตาบรรดาขุนนางและเหล่าเศรษฐีจนได้รำกำไรจนล้น สามีของนางมั่งมีอยู่แล้ว แต่ทว่าฟางเซี่ยนเซี่ยนก็หาเงินใช้เองได้จนแทบไม่ต้องแบมือขอเขาสักอีแปะ ฟางเซี่ยนเซี่ยนรู้สึกสุขใจอย่างมาก อย่างน้อยในโลกใบนี้นางก็ทำสำเร็จทุกสิ่ง ไม่ว่าจะความรัก ครอบครัว หรือหน้าที่การงาน มิได้โดดเดี่ยวเฉกเช่นโลกใบก่อนมือเรียวบรรจงวาดภาพด้วยความประณีต ส่วนปากก็ขยับหยุบหยับอยู่ตลอด ผลหมังกั่ว [1] ถูกส่งเข้าปากด้วยความเอร็ดอร่อย ลี่ลี่และยาถงมองตามเจ้านายที่กินเข้าไปหน้านิ่งก็พร้อมใจกันหน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะรู้สึกเปรี้ยวแทนทั้งที่ยังไม่ได้แตะสักชิ้นลี่ลี่ “ฮูหยินเจ้าคะ เอ่อ…ท่านไม่เป
ฤกษ์มงคลมาเยือน เกี้ยวเจ้าสาวมารอรับที่หน้าเรือนพร้อมกับเจ้าบ่าวซึ่งนั่งองอาจบนหลังอาชาสีขาวนวล เครื่องแต่งกายสีชาดยิ่งขับเน้นผิวพรรณและใบหน้าของชายหนุ่มให้ดูหล่อเหลาชวนมอง สตรีที่มายืนห้อมล้อมต่างสุดเสียดายที่ตนมิได้เป็นคนนั่งบนเกี้ยวนั้นเสียเองวันนี้เหล่าสหายของฟางเซี่ยนเซี่ยนต่างมาร่วมแสดงความยินดี นับตั้งแต่ฟางเซี่ยนเซี่ยนร่วมสาบานเป็นพี่น้องกับย่วนเผิงเฟยเขาก็แวะมาเยี่ยมเยียนนางที่จวนสกุลฟางหลายครั้งฟางเฉาหมิงและเกาโซ่จิ่งเองก็เอ็นดูย่วนเผิงเฟยมาก ทั้งกิริยาและความสามารถของชายหนุ่มล้วนโดดเด่นและก้าวกระโดดไวมาก พริบตาก็สร้างผลงานจนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรพูดคุยกันไปมาที่แท้ย่วนเผิงเฟยก็คนกันเอง มิน่าฟางเฉาหมิงจึงคุ้นหน้าย่วนเผิงเฟยนัก ใบหน้าของชายหนุ่มคล้ายบิดามากเนื่องจากบิดาของย่วนเผิงเฟยก็เป็นสหายของฟางเฉาหมิงเช่นกัน น่าเสียดายที่ตอนนั้นอำนาจสกุลฟางมีไม่มากพอจึงมิอาจยื่นมือเข้าช่วยเหลือสกุลย่วนได้ทันการณ์ตอนนั้นฟางเฉาหมิงคิดว่าบุตรชายคนเดียวของสกุลย่วนตายจากไปแล้ว จึงมิได้ออกตามหา มายามนี้ได้รู้เบื้องหลังของเขาทุกคนก็ยิ
นับตั้งแต่ฟางเซี่ยนเซี่ยนหายจากอาการป่วย วันนี้ก็คือวันแรกที่ทุกคนในครอบครัวร่วมกินข้าวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ซ่งเหวยซูก็อยู่ด้วยเช่นเดียวกัน ทว่าอาหารเลิศรสที่วางบนโต๊ะกลับมิอาจดึงความสนใจของฟางเซี่ยนเซี่ยนได้“ท่านพ่อเจ้าคะ แล้วเฉินเฉินเล่า ข้าจำได้ว่าตั้งแต่ฟื้นจากจมน้ำก็ไม่เห็นหน้านางเลย”ตะเกียบในมือของซ่งเหวยซูชะงักลง ส่วนฟางเฉาหมิงเองก็ถอนหายใจก่อนตอบว่า “ตั้งแต่วันงานเซี่ยหยวนน้องของเจ้าก็บ่นว่าคิดถึงบ้านเดิม อยู่ ๆ ก็จากไปทิ้งจดหมายเอาไว้ว่าไม่ต้องตามหาเพราะอยากไปใช้ชีวิตที่บ้านเดิมของตนเองแล้ว”ฟางเซี่ยนเซี่ยนนิ่วหน้า “หา…เหตุใดอยู่ ๆ จึงไปเช่นนี้เลยเล่าเจ้าคะ” ฟางเซี่ยนเซี่ยนเกรงว่าน้องสาวบุญธรรมอาจรู้สึกผิดและโทษตัวเอง จึงเอ่ยต่อว่า “แล้วไยท่านพ่อท่านแม่จึงไม่ตามนางกลับเล่า”เกาโซ่จิ่งเอ่ยด้วยสีหน้าหมองหม่น “แต่เดิมเฉินเอ๋อร์ก็เป็นลูกของแม่นมฝู ตอนนั้นนางป่วยหนักตั้งแต่เจ้าอายุเพียงห้าหนาว ส่วนเฉินเอ๋อร์อายุครบสามหนาว พวกเราเวทนานางจึงรับเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ในเมื่อยามนี้นางอยากกลับไปทดแทนคุณบิดาผู้ให้กำเนิดพ่อและแม่เองก็ไม่อยากขวาง”“เ
สนทนากันมาพักใหญ่ รถม้าก็เคลื่อนตัวมาถึงปลายทาง ซ่งเหวยซูยื่นมือเพื่อช่วยพยุงร่างระหงลงจากรถทั้งสองเดินเคียงกันไปภายในราชวังอันโอ่โถง กระทั่งมาถึงหน้ากองกำลังองครักษ์เสื้อแพรฟางเซี่ยนเซี่ยนเห็นก็ตาค้าง“นี่ท่านอย่าบอกว่าพวกเขา…”“เจ้าคิดว่าอย่างไร”นัยน์ตาดอกท้อแดงก่ำ ไม่คิดว่าเขาถึงขั้นช่วยผลักดันสหายของนางมาจนถึงที่ตรงนี้“อาเซี่ยน!” เสียงทุ้มดังแว่วมาแต่ไกล ฟางเซี่ยนเซี่ยนหมุนกายกลับก็เห็นเหล่าสหายของตนยืนกองกันอยู่ และคนที่เรียกนางก็ไม่ใช่ใครอื่นริมฝีปากสีกุหลาบยกยิ้มดีใจ “พี่ใหญ่ย่วน”ทั้งสองเดินเข้าหากันคนละครึ่งทาง ซ่งเหวยซูไม่ได้ตามไปด้วย เขาอยากให้ทุกคนผ่อนคลายเพียงมองดูจากที่ไกล ๆ เท่านั้น“พี่ใหญ่ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง” หนึ่งในบรรดาลูกน้องทักทายฟางเซี่ยนเซี่ยนด้วยท่าทีตื่นเต้นเพียะ!“โอ๊ย เจ้าตบข้าทำไม” มือหยาบกร้านยกขึ้นลูบศีรษะของตนป้อย ๆ เมื่อถูกแขนบึกบึนฟาดเข้าให้“เจ้าไม่เห็นหรือว่านางเป็นสตรีงดงามบอบบาง เช่นนั้นก็เรียก แม่นางเซี่ยนเซี่ยน”ฟางเซี่ยนเซี่ยนหัวเราะ “ไม่เป็นไร เราท
วันนี้ฟางเซี่ยนเซี่ยนได้รับอนุญาตให้เข้าวังไปพร้อมกับซ่งเหวยซู ตอนนี้นางและเขาจึงร่วมเดินทางด้วยรถม้าคันเดียวกันเดิมทีฟางเซี่ยนเซี่ยนเคยวิงวอนร้องขอให้ซ่งเหวยซูพามาเยี่ยมเยียนสหายที่คุกหลวงเสมอ ทว่าซ่งเหวยซูนั้นปฏิเสธมาโดยตลอด เขามักบอกเพียงว่าสหายของนางยังสุขสบายดีกระทั่งสามวันก่อนที่เขายื่นบันทึกเล่มหนาส่งให้ฟางเซี่ยนเซี่ยนจึงรู้ว่าซ่งเหวยซูพยายามช่วยเหลือพวกเขาอย่างลับ ๆ ทั้งยังใช้กลยุทธ์ที่คล้ายกับนางคิดไว้ไม่ผิด“ท่านพี่ซ่ง ท่านรู้ด้วยหรือว่าข้าคิดช่วยพวกเขาด้วยวิธีนั้น”นิ้วหยาบกร้านเขี่ยปลายจมูกเชิดรั้นด้วยความมันเขี้ยว “เจ้าคิดได้ แล้วพี่คิดเองไม่ได้หรือ”ฟางเซี่ยนเซี่ยนยู่หน้า “ชิ ใครจะไปรู้เล่าเจ้าคะว่าท่านคิดสิ่งใดอยู่ วัน ๆ ข้าเห็นท่านมีอยู่หน้าเดียว เย็นชาหน้าน้ำแข็ง”นิ้วเรียวสัมผัสมุมปากทั้งสองของชายหนุ่มพลางขยับนิ้วจนมุมปากอีกฝ่ายยกขึ้นสองฝั่ง หญิงสาวหัวเราะคิกคักที่ได้รังแกชายหนุ่มคืนเสียบ้างซ่งเหวยซูเห็นรอยยิ้มมีความสุขของสตรีตรงหน้าก็ไม่อยากขัดใจ “เจ้ากำลังล้อเลียนพี่หรือ”ฟางเซี่ยนเซี่ยนลอยหน้าตอบ “เปล่าน
ซ่งเหวยซูที่เดินตามหาฟางเซี่ยนเซี่ยนอยู่นานได้ยินเสียงร้องโหวกเหวกของผู้คนก็รุดเข้ามายังที่เกิดเหตุ เขามองลงไปเห็นชายเสื้ออันคุ้นตากำลังจะจมหายก็ตกใจมาก“เซี่ยนเอ๋อร์”ชายหนุ่มไม่รอช้า เขากระโดดลงน้ำอย่างไม่คิดลังเล ผู้คนเริ่มกรูเข้ามามุงกันเต็มสะพาน ฟางเฉินเฉินที่พยายามเกาะติดชายหนุ่มไม่ห่างยืนมองผิวน้ำด้วยแววตาสงบนิ่ง กระทั่งนางถูกใครบางคนดึงตัวออกไป“คุณหนูรอง”ที่แท้เป็นองครักษ์อิงฮ่าว“ท่านจะทำอะไร”“ไปกับข้า”“ข้าไม่ไป ไม่เห็นหรือว่าพี่หญิงตกน้ำ”อิงฮ่าวเอ่ยเสียงเย็น “ท่านเป็นห่วงพี่สาวหรือ”“เหตุใดท่านองครักษ์จึงพูดเช่นนั้น นางเป็นพี่สาวข้า ข้าจะไม่ห่วงได้อย่างไร”“เช่นนั้นคุณหนูรองก็ไปกับข้าเถิด ทางนี้นายท่านของข้าต้องช่วยคุณหนูใหญ่ได้อย่างแน่นอน”นับตั้งแต่ฟางเซี่ยนเซี่ยนตกน้ำ นางก็ยังไม่ได้สติร่วมสามวันแล้ว“เสี่ยวซูอาว่าเจ้าไปพักบ้างเถิด ประเดี๋ยวล้มป่วยไปอีกคนจะแย่เอาได้” ฟางเฉาหมิงพยายามเกลี้ยกล่อม ทว่าชายหนุ่มกลับยังนิ่งเฉยเพราะทุกวันซ่งเหวยซูกลับจากทำงานในรา