แรงสั่นสะเทือนรอบตัวที่โคลงเคลงไปมา ทำให้ฉินเจียวเยี่ยนรู้สึกไม่สบายตัวเล็กน้อย จนนางต้องขยับตัว เพื่อหาท่าทางที่สามารถนอนได้อย่างสบาย
'หืม... เหตุใดจึงรู้สึกโคลงเคลงเหมือนอยู่บนรถม้า?'
'แต่เราต้องนอนอยู่ในจวนสิ...'
แพขนตาหนากะพริบถี่ขึ้นด้วยความฉงน เพื่อพิสูจน์ความจริงว่า สิ่งที่ตนกำลังคิดนั้น มันถูกต้องหรือไม่ ภาพเพดานของรถม้าจวนเฟิงอ๋องที่เริ่มคุ้นตาปรากฏขึ้น แสงแดดยามซื่อส่องผ่านผ้าม่านผืนหนาที่หน้าต่างเข้ามา
ดวงตาจิ้งจอกกลอกกลิ้งไปมาอย่างงุนงง ศีรษะเล็กหันซ้ายหันขวา ก่อนจะเงยหน้าสบตาสวามีหมาด ๆ ที่มองตอบกลับมาอย่างหยอกเย้า “เสี่ยวเยี่ยนตื่นแล้วหรือ?”
“เพคะ” ฉินเจียวเยี่ยนพยักหน้าตอบรับง่าย ๆ ราวกับสติยังไม่กลับคืนมาครบถ้วน
'เมื่อคืน ภาพสุดท้ายที่ข้าเห็นคือบนเตียงในเรือนอี้หงมิใช่หรือ?'
'แล้วเหตุใดข้าลืมตาอีกทีกลับเป็นในรถม้าไปได้เล่า?'
“กำลังสับสนสิ่งใดกัน?” เซียวชิงเฟิงอดใจไม่ไหว จนต้องยกปลายนิ้วขึ้นมาแตะจมูกโด่งนั้นเบา ๆ แม้จะรู้ดีว่า แม่นางน้อยบนตัก
มือเรียวยาวที่มีข้อต่อชัดเจนหยิบหมากสีดำวางลงบนกระดานอย่างเชื่องช้า หากแต่สร้างความตึงเครียดกดดันให้แก่ฝ่ายตรงข้ามเป็นอย่างมาก“เชิญท่านพ่อตา”ซ่านเต๋อโหวย่นคิ้วแน่น พลางมองหมากสีดำที่กระจายตัวสร้างกำแพง ปิดล้อมพื้นที่ของตนเอง และลดพื้นที่หมากสีขาวของเขาแทบทั้งกระดาน แล้วเหลือบมองหมากสีขาวที่จับกลุ่มเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย จนแทบไม่เหลือลมหายใจท่านลูกเขย... ท่านไม่คิดจะออมมือให้พ่อตาบ้างเลยหรือ?ซ่านเต๋อโหวถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ยยอมแพ้ “กระหม่อมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ท่านอ๋องจะเดินหมากเก่งเช่นนี้”“ฝีมือของข้ายังอ่อนหัดนัก วันนี้ เพียงโชคดีที่ท่านพ่อตาออมมือให้” เซียวชิงเฟิงส่งรอยยิ้มอบอุ่น แล้วจึงเริ่มเก็บหมาก พลางเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “ท่านพ่อตาคงจะเหน็ดเหนื่อยกับงานในราชสำนักกระมัง”“อืม ช่วงนี้ งานในราชสำนักก็วุ่นวายจริง ๆ ” ซ่านเต๋อโหวพยักหน้าเห็นด้วยกับคำกล่าวนั้น แล้วจึงเอื้อมมือช่วยเก็บหมากลงจากกระดาน“วันก่อน ข้าพาเยี่ยนเอ๋อร์เข้าไปคารวะหนิงซูเฟยในวังหลวง จึงได้ทราบข
“ได้สิ” ฉินเยี่ยนฟางตอบรับ “ประเดี๋ยว ข้าจะให้เสี่ยวหงไปหาเจ้าที่เรือนเหมยฮวาแล้วกัน”ฉินเจียวเยี่ยนฉีกยิ้ม “ขอบคุณพี่หญิงเจ้าค่ะ”หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว เซียวชิงเฟิงได้ตอบรับคำชวนเดินหมากจากซ่านเต๋อโหว เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพ่อตาและลูกเขยส่วนฉินเจียวเยี่ยนได้พาชุนเถาและชุนหลิ่วไปรอเสี่ยวหงที่เรือนเหมยฮวา ไม่นานนัก เสี่ยวหงก็เดินลัดเลาะมาถึงเรือนเหมยฮวา“ชุนเถา ชุนหลิ่ว พวกเจ้าไปเฝ้าที่หน้าเรือนไว้ ห้ามให้ผู้ใดเข้ามา” ฉินเจียวเยี่ยนหันหน้าไปสั่งสองคนสนิท“เพคะ พระชายา” ชุนเถาและชุนหลิ่วรับคำ พร้อมเรียกสรรพนามใหม่อย่างคุ้นเคยเมื่อบานประตูเรือนเหมยฮวาปิดลง ฉินเจียวเยี่ยนเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้กลางเรือน พยักหน้าส่งสัญญาณให้เสี่ยวหงนั่งลงด้วยเช่นกันเสี่ยวหงเดินตามมานั่งข้าง ๆ อย่างสงสัย “คุณหนูใหญ่บอกว่า พระชายาต้องการให้ข้าสอนชุนเถาและชุนหลิ่วแต่งหน้ามิใช่หรือ? แล้วเหตุใดจึงให้พวกนางออกไป”“ตอนนี้ เราอยู่กันตามลำพัง พูดกันตา
รุ่งอรุณของวันที่สามหลังพิธีวิวาห์ แสงสีทองอ่อนโยนสาดส่องผ่านผ้าม่านแพรเนื้อละเอียดในห้องบรรทมของเรือนอี้หง ฉินเจียวเยี่ยนในชุดผ้าไหมสีชมพูอ่อนปักลายดอกเหมย เกล้าผมเรียบง่ายแต่ยังคงความสดใสของแม่นางน้อยนางมองไปยังเซียวชิงเฟิงที่กำลังตรวจตราความเรียบร้อยของหีบของขวัญที่อยู่ด้านนอก“ท่านพี่ ของขวัญทั้งหมดเตรียมเรียบร้อยดีแล้วหรือไม่เพคะ?” ฉินเจียวเยี่ยนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหวานใส ขณะที่ชุนเถาช่วยประคองนางก้าวออกจากเรือนเซียวชิงเฟิงหันกลับมาส่งยิ้มละไมให้พระชายา “เรียบร้อยแล้ว รับรองว่าสมฐานะพระชายาของข้าอย่างแน่นอน”ขบวนเสด็จเล็ก ๆ เคลื่อนออกจากจวนเฟินอ๋อง รถม้าประดับประดาอย่างเรียบหรูนำหน้า ตามด้วยเกวียนบรรทุกหีบของขวัญที่ปิดคลุมด้วยผ้าไหมเนื้อดี ทหารองครักษ์ในชุดเกราะสีเงินขนาบข้างอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยตลอดการเดินทาง ฉินเจียวเยี่ยนมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความคิดถึงจวนซ่านเต๋อโหว แม้จะเป็นเพียงสามวัน แต่ความรู้สึกผูกพันกับบิดามารดาก็ยังคงแน่นแฟ้นเซียวชิงเฟิงสังเกตเห็นความเงียบของพระชายา จึงเอื้อมมือไปกุมมือเรียวของ
“อ่า อิ่มจัง” ฉินเจียวเยี่ยนโยกศีรษะ เดินคล้องแขนสวามีออกจากตำหนักฉางชุนกงของหนิงซูเฟยอย่างอารมณ์ดี พลางใช้อีกมือลูบท้องน้อย ๆ ที่ยื่นออกมา “อาหารในวังหลวง ช่างอร่อยนัก”“หากเจ้ายังลูบท้องของเจ้าต่อไป ผู้ใดพบเห็นจะต้องคิดว่า ข้าทำเจ้าตั้งครรภ์แล้วนา”“ท่านพี่ว่า หม่อมฉันอ้วนหรือเพคะ?” ฉินเจียวเยี่ยนยื่นปาก ส่งเสียงกระเง้ากระงอดเซียวชิงเฟิงเลิกคิ้วหนาราวกับดาบคมขึ้นสูง “ข้าไม่ได้ว่าเจ้าอ้วนสักคำ เหตุใดหัวเล็ก ๆ ของเจ้าจึงคิดเช่นนี้?”สิ้นเสียง เขาก็เอื้อมมือไปโยกศีรษะเล็ก ๆ ที่ถูไถกับท่อนแขนของเขาอย่างเอ็นดู“แต่ต่อให้เจ้าอ้วน ข้าก็มีวิธีช่วยให้เจ้ากลับมาผอมดังเดิมได้ เจ้าจะลองหรือไม่เล่า?” ดวงตาดอกท้อทอประกายวิบวับอย่างมีเลศนัย ทำให้คนที่ได้ยินอดมองค้อนเสียไม่ได้'เหตุใดหลังแต่งงานมา ท่านจึงขยันหยอกนัก...'“หม่อมฉันไม่พูดด้วยแล้ว” ฉินเจียวเยี่ยนสะบัดแขนที่คล้องอยู่ลง แล้วจับชายกระโปรงยกขึ้นสูง ก้าวพรวด ๆ ตรงไปยังรถม้าจวนเฟิงอ๋องที่จอดรอท่าอยู
“เยี่ยนเอ๋อร์?” หนิงซูเฟยเรียกชื่อขัดจังหวะความคิดของฉินเจียวเยี่ยนฉินเจียวเยี่ยนที่กำลังเหม่อลอย รีบหันมาขานรับคำเรียกในทันใด “พะ เพคะ”ในขณะที่เซียวชิงเฟิงลอบระบายลมหายใจอย่างหนักหน่วง พลางพิงพนักพิงเก้าอี้อย่างท้อใจ แหงนหน้ามองเพดานของตำหนักอย่างอ่อนใจเหนียงเหนียง... แล้วท่านจะมาเรียกนางในยามนี้ด้วยเหตุใดเล่า!?หนิงซูเฟยที่ไม่ได้รับรู้ความคิดของโอรสเลี้ยงเลยแม้แต่น้อย เอ่ยชวนลูกสะใภ้คนใหม่ด้วยเสียงสดใส “นี่ก็ใกล้จะยามอู่แล้ว พวกเจ้าอยู่ทานอาหารกับข้าสักมื้อก่อนเถิด”“ได้สิเพคะ เหนียงเหนียง” ฉินเจียวเยี่ยนสะบัดความคิดที่ยังค้างอยู่ในศีรษะทิ้งไปในทันที เมื่อได้ยินเกี่ยวกับอาหาร “หม่อมฉันยังไม่เคยได้ลิ้มรสอาหารในวังหลวงเลยเพคะ”เซียวชิงเฟิง เจ้าจะยังไม่เคยได้ลิ้มรสอาหารในวังหลวงได้อย่างไรแล้วอาหารในงานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพของเสด็จพ่อเล่า?เห็นเจ้ากินอย่างเอร็ดอร่อย...“ดีจริง” หนิงซูเฟยพยักหน้าอย่างพึงพอใจในท่าทางกระตือรือร้นของลูกสะใภ้ นางจ
เซียวชิงฉีทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้อีกฟาก แล้วยกน้ำชาขึ้นจิบ “แท้จริงก็เป็นเรื่องด่วนพ่ะย่ะค่ะ หมู่เฟย”เซียวชิงเฟิงเลิกคิ้วขึ้นอย่างสนใจ ตั้งใจรอฟังข่าวสาร“เจ้าเมืองซีเหยาได้ส่งรายงานมาแจ้งเกี่ยวกับภัยแล้งที่เกิดขึ้น ด้วยอากาศหนาวเย็น และหิมะตกหนัก จนทำให้ชาวบ้านต้องอดอยาก จึงทูลขอเสบียงจากเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ”“เมืองซีเหยา?” หนิงซูเฟยเอ่ยทวนชื่อเมือง “เมืองทางเหนือ... หากใช้ม้าเร็วเดินทาง เพียงวันเดียวก็ถึงแล้วมิใช่หรือ?”“ใช่พ่ะย่ะค่ะ หมู่เฟย”เซียวชิงเฟิงถามด้วยความสงสัย “แล้วเจ้าเมืองมิได้กักตุนเสบียงเตรียมพร้อมสำหรับยามหน้าหนาวเช่นนี้ไว้หรือ?”“เจ้าเมืองซีเหยารายงานว่า เหมันต์ฤดูครานี้รุนแรงนัก ทำให้ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงต่างอพยพเข้ามาอยู่ในเมืองซีเหยามากยิ่งขึ้น ทำให้เสบียงที่เตรียมไว้ไม่เพียงพอพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพี่”“ส่วนเมืองหลงชวนและเมืองชางหลินที่อยู่ใกล้กับเมืองซีเหยาต่างก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน แต่มีคนอพยพน้อยกว่า จึงยังมีเสบียงเพียงพอต่อค