ณ บ้านหลังใหญ่ของเจ้าของบริษัทเครื่องเพชร ฤทธา จิวเวลรี่
“คุณแม่ขา~~~” เจริยาหรือเจย่า สาวน้อยตัวเล็กผิวขาวดวงตาสดใส ลูกสาวคนสุดท้องของบ้านนายจิรกิตติ์ วิ่งพรวดเข้ามาในตัวบ้าน เธอเข้ามาและสวมกอดผู้เป็นแม่ที่ยืนรอรับอยู่ “คิดถึงสุดๆ เลยค่ะคุณแม่คุณพ่อ!” เจย่าหันไปหาพ่อที่ยืนอยู่ข้างๆ ซึ่งเขากำลังมองมาอย่างอิจฉา เจย่ายิ้มเล็กน้อยแล้วเธอก็รีบผละออกจากแม่ไปกอดพ่อบ้างเพื่อให้ท่านไม่รู้สึกน้อยใจ แต่คนเป็นพ่อกลับแกล้งเบือนหน้าหนีแล้วพูดเสียงดุแต่แฝงไปด้วยความรัก “ดูสิ! กลับมาจากเมืองนอกที ไม่เหลือความเรียบร้อยไว้เลยนะ ยัยลูกสาวของพ่อ” เขาพูดแซวเบาๆ ถึงความเปลี่ยนแปลงไปของลูกสาวผู้ขี้อาย “โอ๊ยย คุณพ่อก็ปล่อยลูกสาวโตตามยุคสมัยบ้างสิครับ ไม่งั้นลูกสาวพ่อคนนี้จะไม่มีผัวเอานะ!” จอนนี่ หิ้วกระเป๋าของน้องสาวเดินตามเข้ามาพอดี ได้ยินประโยคนั้นของบิดาก็ถึงกับโพล่งขึ้นมาอย่างนึกแกล้ง “ไม่มีก็ไม่เห็นเป็นไรเลย อยู่กับพ่อกับแม่แบบนี้แหละ จริงไหมคนดีของพ่อ!” คุณพ่อจิรกิตติ์เอ่ยเสียงจริงจัง แต่สายตานั้นเต็มไปด้วยคำว่าหวงลูกสาวสุดหัวใจ เพราะว่าเจย่าในสายตาพ่อนั้นเป็นคนเรียบร้อย อ่อนหวาน น่าทะนุถนอม เขาเลยยิ่งหวงเป็นพิเศษ กลัวมากว่าลูกจะไปเจอคนเจ้าชู้ “ว่าแต่ พี่แจมจะมาหาเจไหมคะคุณแม่?” เจย่าที่ยังยืนกอดกับพ่ออยู่หันไปถามถึงพี่สาว ที่แต่งงานออกเรือนไปแล้วกับมารดาผู้ยืนข้างๆ พลอยเจนแม่ของเธอก็ยิ้มบางให้ก่อนตอบ “เมื่อคืนพี่เขาโทรมาบอกแม่แล้ว ว่าจะมา คงอีกไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงแล้วมั้ง” “เย้~ดีใจที่สุดเลยค่ะ! เราจะได้อยู่กันพร้อมหน้าอีกครั้งแล้ว”หญิงสาวตัวเล็กโผเข้ากอดแม่อีกรอบ นี่มันก็ผ่านมา 4 ปีแล้ว ที่เธอไม่ได้อยู่กับครอบครัว เพราะต้องไปเรียนที่อังกฤษ แต่ตอนนี้เธอกลับมาเพื่อทำตามความฝัน นั่นก็คือการเป็นเลขาของพี่คีรินชายหนุ่มที่เธอหมายปองมาตั้งแต่ตอนที่อายุได้ 4 ขวบ แค่คิดถึงชื่อเขารอยยิ้มเขินก็แตะต้องมุมปากอย่างไม่รู้ตัว จนคนเป็นพ่อสังเกตเห็น “ยิ้มให้อะไรหวานเชียว คิดถึงผู้ชายอยู่เหรอหะ!”จอนนี่ได้ยินพ่อพูดแบบนั้นก็หัวเราะ เขาเดินเข้ามาใกล้ “สงสัยจะหนีไม่พ้นพี่คีรินล่ะมั้ง เห็นตามติดกันตั้งแต่เด็กแล้วนี่!”จอนนี่แกล้งเอามือเคาะหัวน้องสาวเบาๆ จนเธอย่นหน้าใส่ “พี่น่ะ! มาว่าน้องได้ไง นิสัยไม่ดีเลย” เจย่าทำเสียงงอนแต่แฝงด้วยความน่ารัก จนคุณพ่ออดยิ้มไม่ได้ “จะให้พ่อไปสู่ขอเขาให้เลยไหมล่ะ ถ้ารักเขาขนาดนั้นน่ะ ฮะๆๆ”คำพูดของพ่อเล่นเอาเจย่าเขินหน้าแดงหูร้อนขึ้นมาในทันที ก่อนตอบกลับพ่อด้วยน้ำเสียงเขินอาย “เร็วไปไหมคะคุณพ่อ! เจก็เพิ่งเรียนจบเองนะ แต่ถ้าคุณพ่อเห็นว่าเขาจะเป็นอนาคตของเจได้ เจก็ไม่ขัดนะคะ” คำพูดคำจาของลูกทำคนเป็นพ่อถึงกับชะงักไป พลอยเจนหันมายิ้มกับพ่อของลูกเธอ แล้วพูดขึ้นบ้าง “ลูกเขยแบบนั้นแม่ก็ไม่ขัดเหมือนกัน คีรินเป็นสุภาพบุรุษน่ารัก ถ้ารักกันจริงแม่ก็ยินดีให้คบหานะ” เธอเอ่ยพูดอย่างชอบใจ ซึ่งคนเป็นสามีก็มองเงียบๆ เมียว่าไงเขาก็คงต้องว่างั้นแหละ “แต่ก่อนจะไปขอเขามาเนี่ย ไปถามเขาก่อนไหมครับ ว่าเขารักลูกเราหรือเปล่า?”จอนนี่เสริมขึ้นมาด้วยสีหน้าขบขัน ถึงจะพูดเหมือนล้อเล่นแต่ก็แฝงไปด้วยความห่วงน้อง เพราะเขาก็สังเกตได้ ว่าคีรินเองก็ดูจะมีใจให้เจย่าเช่นกัน หากแต่ว่าจะมีใจให้แบบคนรักหรือว่าแค่น้องสาวอันนี้ก็ไม่แน่ใจ ทางเจย่าที่ได้ยินแบบนั้นเธอก็หน้าเจื่อน ก้มหน้าลงแบบอายๆ จนแม่ต้องรีบเปลี่ยนเรื่องโดยการไล่ให้จอนนี่ออกไป ผ่านการส่งสายตา ชายหนุ่มเห็นแบบนั้นก็ก้มหน้าเดินหายขึ้นบ้านไปทันที “ลูกไปอาบน้ำเปลี่ยนชุด แล้วมาช่วยแม่เตรียมอาหารดีกว่า เดี๋ยวจีน่ากับจูเนียร์ก็มาถึงแล้ว จะได้ไม่ต้องรอนาน” มารดาหันมาพูดกับลูกสาว เจย่าเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้แม่แล้วรีบไปทำตามที่แม่บอก ไม่ได้เห็นหน้าหลานๆ มาหลายปีแล้ว ป่านนี้พวกเขาจะโตแค่ไหนกันนะ หญิงสาวคิดในใจพลางเดินขึ้นห้องตัวเองไปด้วยความสุขปนตื่นเต้นณ บ้านพักในย่านแอ็คตัน คีรินนอนเอามือก่ายหน้าผากอยู่ที่โซฟาในบ้านในใจพลางนึกถึงเรื่องวันนั้น ‘ฉันขอโทษ’ วันที่เขาแอบเห็นว่าโซเฟียใส่ผงอะไรบางอย่างลงไปในแก้วเบลีย์ที่ให้เขาดื่ม แต่กระนั้นตัวเขาก็ยังไว้ใจเธอยอมดื่มไปถึงครึ่งแก้วและจึงรู้ว่ามันคือยานอนหลับ เวลานั้นตอนที่สลบไปเขายังมีสติแม้จะกึ่งหลับกึ่งตื่นเพราะฤทธิ์ยาแต่ก็พอจะรับรู้ได้รางๆ ว่าโซเฟียเอาแต่พูดขอโทษเธอร้องไห้ด้วย ส่วนคำพูดอื่นเขากลับจำไม่ได้ว่ามันคือคำว่าอะไรบ้าง เพราะเขาทนฤทธิ์ยานอนหลับไม่ไหวจึงหลับสนิทตื่นขึ้นมาอีกทีก็เช้าแล้วพร้อมกับเห็นว่าเธอและเขานอนร่วมกันอยู่ที่เตียงโดยไม่มีอะไรมาปิดบังร่างกาย “พ่อของเธอสั่งให้ทำแบบนั้นเหรอ? แล้วความรู้สึกของเธอที่มีต่อฉัน มันคือของจริงไหม” เขาหลับตาลงช้าๆ ราวกับพยายามลบภาพทุกอย่างในหัว แต่เสียงเธอในคืนนั้นยังคงวนเวียนอยู่ ‘ฉันขอโทษ... อย่าเกลียดฉันเลยนะคะ’ คีรินลุกขึ้นจากโซฟา พ่นลมหายใจหนักเหมือนจะปล่อยบางอย่างทิ้งไปกับอากาศ แต่หัวใจกลับตะโกนว่า “ฉันต้องรู้ให้ได้ ว่าเธอรักฉันจริง หรือแค่เล่นละครเก่ง” “คุณคีรินคะ” ชายหนุ่มรีบหันไปมองเสียงเรียก พบว่าหญิงสาวกำลังเดินเข้ามาในบ้าน
ณ งานเลี้ยงของเหล่านักธุรกิจบนดาดฟ้าของตึกคอนโดสูงใจกลางเมือง แขกของงานหนึ่งในนั้นก็คือเขา คีริน หลังจากที่ชายหนุ่มเดินคุยกับคู่ค้าและคนรู้จักเสร็จ เขาก็ปลีกตัวออกมายืนเหม่อมองทิวทัศของเมืองใหญ่ ในหัวเอาแต่คิดเห็นเธอคนที่เขาเริ่มมีใจนั่งรถเข้าไปในโรงแรมกับชายอื่น ยิ่งคิดมันก็ยิ่งปวดร้าวจนเข่าแทบทรุด มือที่ถือแก้วไวน์อยู่กำแน่น เรื่องนี้เขาคิดไว้บ้างแล้วและตั้งใจว่าจะไม่โกรธเธอ แต่พอมาเจอเข้าจริงเขาก็อาจจะเป็นหนุ่มใจเย็นแบบที่เขาคิดไว้ไม่ได้ “สวัสดีครับคุณอนาวิน” เสียงของใครบางคนทำเขาหลุดจากห้วงความคิด คีรินรีบหันไปจ้องมอง จึงเห็นว่าตรงหน้าคือ กาเบรียล ลาวาเลนเต้ แต่ที่ทำเขาตกใจไปกว่านั้นเห็นจะเป็น โซเฟียที่กำลังยืนก้มหน้าใส่ชุดเดรสสีขาวลูกไม้ยืนอยู่ข้างๆ ชายแก่ตรงหน้าเขาและสายตาของเขาก็เผลอมองเธอนานเกินกว่าที่ควรเป็น เธอสวยจนทำให้เขาลืมว่าควรจะโกรธ ลืมแม้กระทั่งความคิดในหัวของตัวเขาเมื่อครู่ “สวัสดีครับ คุณกาเบรียล” เขารีบมีสติแล้วยื่นมือไปจับทักทายกาเบรียล ตามประสาคนรู้จัก แต่หางตาก็ยังไม่ละจากสาวสวยที่คุ้นเคย “อ๋อ คนนี้โซเฟีย เธอเป็นลูกสาวนอกสมรสของผมเองครับ” คำแนะนำของชายแก่ทำใ
สองร่างเดินเข้ามาในโรงพยาบาลด้วยกันโดยที่คีรินดูจะตัวติดเดินใกล้เธอไม่ห่าง จนโซเฟียเริ่มใจเต้นแรงอยู่ไม่สุข “เอ้อ คุณคีริน ไม่ต้องเดินใกล้ขนาดนี้ก็ได้มั้งคะ” โซเฟียหยุดเดินเขาก็เดินเอาตัวมาแนบจนร่างชิดกัน หญิงสาวต้องหันไปพูดกับเขาด้วยท่าทีเขินๆ “ทำไมล่ะครับ เราเป็นผัวเมียกันแล้วนี้” เขาว่าพลางจับปลายคางของเธอเสยขึ้น ทำเอาโซเฟียหน้าแดงต้องรีบปัดออก “บ้า นี่คุณเป็นคนแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” เธออายจนต้องรีบเปิดประตูเข้าห้องพักของแม่ไป คีรินมองตามแววตาของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนที่จะเดินตามเธอ “เป็นยังไงบ้างครับ” เขาเดินเข้ามาเห็นเธอคุยอยู่กับพยาบาลในห้องก็เดินเข้าไปถาม “คุณพยาบาลบอกว่าแม่ยังไม่ได้สติเลยค่ะ” โซเฟียมีสีหน้าซีดลงก่อนที่เธอจะเหลือบไปมองหน้าคนบนเตียง คีรินยื่นมือลูบหลังเธอ “ไม่เป็นไรนะครับ ท่านปลอดภัยแล้ว พักผ่อนอีกสักหน่อย คงจะฟื้นขึ้นมาเอง นี่ก็แค่วันเดียวเองนี้” โซเฟียเงยมองเขาพร้อมพยักหน้า ก่อนเธอจะรับรู้ได้ว่ามือถือในกระเป๋ากำลังสั่น “ฉันขอออกไปรับโทรศัพท์ก่อนนะคะ” หญิงสาวเดินออกมาพลางหยิบมือถือออกจากกระเป๋าพอเห็นว่าเป็นเบอร์ของใครเธอก็รีบเดินหลบไปหาที่เงียบ
“เบอร์พี่คิน…” เธอนั่งเงียบจ้องไปที่จอมือถือ เขาโทรมาทำไม? จะโทรมาพูดเรื่องเมื่อคืนเหรอ? หรืออะไร หญิงสาวหน้าแดงแจ๋เมื่อแอบคิดไปไกล จนสายจากเขาถูกตัดไปเอง ก่อนจะเด้งขึ้นเป็นข้อความเข้ามาแทน หลังเธออ่านข้อความบนจอจบเขาก็โทรเข้ามาอีกรอบจนเธอเผลอกดรับอย่างไม่ได้ตั้งตัว เจย่าหน้าเจื่อนไปในทันทีแต่ก็จำต้องยกมือถือขึ้นแนบหู แต่เขากลับไม่พูดอะไรมีเพียงเสียงลมหายใจเบาๆ ดังแทรกเข้ามา “มีอะไรคะ โทรมาแล้วทำไมไม่พูด” เธอจึงตัดความเงียบด้วยการถามเขาก่อน [“พี่นึกว่าเธอเองก็จะไม่พูดกับพี่ด้วยเหมือนกันแหะ เป็นยังไงบ้าง”] เจย่าขมวดคิ้ว “หมายถึงอะไรเป็นยังไงบ้าง” เธอสวนเพราะอยากรู้ว่าเขาจะพูดอะไรเกี่ยวกับคืนนั้นหรือเปล่า ปลายสายจึงเงียบไปอีกรอบ [“ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดถึงอยากได้ยินเสียง”] เขาว่าเจย่าเผลออมยิ้ม ตาบ้านี้จะมาหยอดอะไรอีกล่ะ [“เตรียมของหรือยัง วันจันทร์นี้อย่าลืมว่าต้องไปชุมพรกับพี่นะ”] “จำได้แล้วน่า เจไม่ใช่ปลาทองนะไม่ลืมหรอก” เธอตอบกลับเขาเชิงประชด [“ก็ดี งั้นวันจันทร์หกโมงเช้าพี่จะไปรับที่บ้านนะ เราจะเอารถไปเอง”] “ห๊า!!!” เจย่าตาเบิกกว้างนี้เธอจะต้
ณ บ้านพักที่ลอนดอนในช่วงเย็น หลังจากที่นาตาเลียผ่าตัดเสร็จ โซเฟียก็ขอให้คีรินพากลับบ้าน “คุณโอเคไหม อยู่คนเดียวได้แน่นะ” เขาถามเธอด้วยความเป็นห่วง เพราะยังเห็นว่าเธอน้ำตาคลอและซึมอยู่เลย “ไปอยู่ที่บ้านผมก่อนดีไหม” หญิงสาวรีบหันมาส่ายหน้าให้ “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันอยากจะคิดอะไรเงียบๆ สักพักนะ ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วง” เธอตอบแต่ก็ไม่มองหน้าเขา คีรินเห็นแบบนั้นเขาก็ไม่เป็นสุขใจเลย “ถ้างั้น เย็นนี้ผมจะทำอาหารมาทานที่บ้านคุณนะครับ ได้ไหม? ผมกลัวว่าคุณจะไม่ทานข้าว” เขาเอ่ยอย่างห่วงใย หญิงสาวจึงพยักหน้า “ถ้าจะมาอย่าลืมโทรบอกก่อนนะคะ เผื่อว่าฉันจะเผลอหลับนะ” “ครับ” เขาทำได้เพียงมองดูเธอเดินเข้าบ้านไป เธอโทรหาใครตอนที่อยู่โรงพยาบาล ใช่ที่บอกว่าคุยกับพ่อไหม? ทำไมสายตาเธอถึงดูมีความลังเลบางอย่างแฝงอยู่ตั้งแต่ตอนนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะสงสัยเพียงใด คีรินก็จำเป็นต้องเดินกลับบ้านตัวเองไปก่อน ร่างของโซเฟียเข้ามานั่งลงที่มุมโต๊ะตัวเตี้ย เอาหลังพิงกับตัวของโซฟาแววตาของเธอเหม่อลอยเพราะยังคิดไม่ตกกับเรื่องที่จะต้องทำ เธอนั่งนิ่งอยู่แบบนั้นนานโข “คุณจะโกรธจะเกลียดฉันไหมคะ” เธอบ่นพลางนึกถึงใบหน้าและรอยยิ้มขอ
โรงพยาบาล “ฮัลโหลทำไมคุณพึ่งมารับสายคะ หนูโทรหาคุณทั้งคืนทำไมคุณถึงไม่รับ” โซเฟียเอ่ยกับปลายสายทั้งน้ำตา [“ฉันคงมีเวลาว่างมารอรับโทรศัพท์จากแกยี่สิบสี่ชั่วโมงมั้งโซเฟีย”] แต่เขากลับตอบกลับมาอย่างไม่แยแส “เมื่อคืนแม่ของหนูช็อก หมอทำ CT เพิ่มแล้วบอกว่ามีเลือดออกในสมอง ต้องรีบผ่าตัดด่วน... แต่หมอที่ดูแลบอกว่าถ้าจะให้ผ่าเลย ต้องเคลียร์ค่ารักษาของสองเดือนที่แล้วก่อน เพราะเราพาแม่มาอยู่ใน Private Ward ตั้งแต่แรก และคุณก็ยังค้างค่าใช้จ่ายทั้งหมดอยู่ เขาบอกว่าจะผ่าให้ทันที ถ้าเราจ่ายเงินที่ติดอยู่ก่อน” เธอพูดไปร้องไห้ไป “ทำไมคุณทำแบบนี้ ไหนคุณบอกหนูว่าจ่ายให้ทุกเดือนไง คุณโกหกหลอกใช้หนูมาตลอดเลยเหรอ” เธอต่อว่าปลายสายอย่างเรียกร้อง เธอทำทุกอย่างที่เขาอยากให้ทำพร้อมข้อตกลงเสียดิบดีแต่เขากลับไม่ปฏิบัติตามที่เขาเคยพูด [“แล้วจะทำไม ถ้าแกอยากให้ฉันจ่ายก็รีบรวบหัวรวบหางไอ้อนาวินนั่นให้ฉันสักทีสิ”] โซเฟียปล่อยโฮ ทำไมเขาถึงใช้วิธีนี้มาบีบเธอ “ฮื้อ~ ก็ได้ หนูจะทำให้สาแก่ใจคุณไปเลย เพราะฉะนั้นคุณต้องทำการจ่ายเงินค่ารักษาให้แม่หนูเดี๋ยวนี้! แล้วหนูจะรีบทำให้” เธอยื่นข้อเสนอให้เขาเป็นเชิงขู่