ตามหลักการเรื่องชายหญิงไม่อาจใกล้ชิด เวลาจัดงานเลี้ยงจึงต้องแยกส่วนรับรอง ถึงแม้จะต้องทำตามธรรมเนียม แต่หลายครั้งเจ้าของงงานเลี้ยงก็เพียงตั้งกระโจมห่างกันไม่ใกล้ไม่ไกล
อย่างครานี้ เจิ้นหนิงโหวใช้คูน้ำทางเชื่อมภายในเป็นตัวแยกอาณาเขตระหว่างบุรุษและสตรี ทำให้หากมองไป ก็ยังคงเห็นความเคลือนไหวของฝั่งตรงข้ามได้อยู่เนืองๆ
หลังหญิงนำทางจากไปแล้ว กัวรั่วชิงเดินนำกัวลี่ลี่สาวใช้คนสนิทไปคารวะเจิ้นหนิงโหวฮูหยินเป็นอันดับแรกตามมารยาท แน่นอนว่านางพยายามไม่ให้ความสนใจกับสายตาของบรรดาฮูหยินจวนอื่นๆ ที่กำลังนั่งสนทนากันอยู่กับเจ้าบ้าน รวมไปถึงกัวจิ้งอีพี่สาวของนางด้วย
ครั้นเห็นน้องสาวก้มหน้าก้มตา ไม่แม้แต่จะมองหน้ากัน สีหน้าของกัวจิ้งอีพลันหม่นหมอง พาให้คนมองรู้สึกสงสารนางมากยิ่งขึ้น แล้วให้ตำหนิกัวรั่วชิงในใจแทน
แต่นายหญิงของที่นี่กลับทักทายผู้มาใหม่อย่างเป็นมิตรยิ่ง
“คุณหนูรองสกุลกัวนี่เอง” ผู้อาวุโสรับการคารวะด้วยรอยยิ้ม “ไม่เจอกันเสียหลายปี ตอนนี้กลายเป็นฮูหยินซื่อจื่อจวงเซียงป๋อไปแล้วใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ” กัวรั่วชิงตอบรับสั้นๆ ด้วยท่าทางสำรวม
“เสียดายข้ากับท่านโหวกลับมาไม่ทันงานมงคลของเจ้า ไม่อย่างนั้นพวกเราต้องไปร่วมอวยพรให้บ่าวสาวอย่างแน่นอน”
“แค่ฮูหยินมีน้ำใจไมตรีเยี่ยงนี้ ก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดีของข้ากับท่านพี่แล้วเจ้าค่ะ”
“ไม่ได้ๆ แค่ยินดีด้วยปากจะไปพอได้อย่างไร” ฮูหยินเจิ้นหนิงโหวพูดจบก็หันไปหาคนสนิทพลางออกคำสั่งสองสามประโยค มามาผู้นั้นรับคำแล้วเดินออกไปจากกระโจมรับรองพร้อมกับสาวใช้อีกนาง
เวลาผ่านไปไม่นาน มามาและสาวใช้ผู้นั้นก็กลับมาพร้อมกับกล่องสลักลายลี่จือ[1] งามประณีตใบหนึ่ง ครั้นเปิดออกพลันเห็นกำไลหยกเนื้อขาวสะอาดแวววาวคู่หนึ่งวางอยู่ด้านใน เหล่าฮูหยินคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ตรงนั้นต่างมองเครื่องประดับสูงค่าชิ้นนี้ด้วยดวงตาเป็นประกาย ให้นึกอิจฉาริษยาสตรีไร้ยางอายอย่างกัวรั่วชิงจนแทบทนไม่ไหว
“กำไลหยกคู่นี้ ข้าตั้งใจเก็บเอาไว้เป็นของขวัญวันแต่งงานลูกสาวของเหยียนเฟยอยู่แล้ว ชิงเอ๋อร์เจ้ามารับไปเถิด” คำเรียกขานอย่างสนิทสนม และน้ำเสียงอ่อนโยนทำให้กัวรั่วชิงรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นทันใด นางค่อยๆ ก้าวเข้าไปเบื้องหน้าผู้อาวุโส แล้วยื่นมือไปรับเครื่องประดับคู่นั้นมาสวมด้วยรอยยิ้มจากใจเป็นครั้งแรกในตลอดหลายเดือนนี้
ก่อนเจิ้นหนิงโหวจะย้ายไปเป็นเจ้าเมืองเหยาผิง เฉินเหยียนเฟยมารดานางกับฮูหยินเจิ้นหนิงโหว เหอเหมียวลี่ นับว่าสนิทสนมกันอย่างมาก กัวรั่วชิงคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าแม้เวลาจะผ่านไปถึงเจ็ดปีแล้ว ผู้อาวุโสท่านนี้จะยังนึกถึงความสัมพันธ์แต่เก่าก่อน ถึงกับมอบเครื่องประดับล้ำค่าชิ้นนี้ให้แก่นาง
ทั้งที่ดูเหมือนเป็นการให้ของขวัญย้อนหลัง ไม่มีอะไรให้กล่าวถึง
ทว่าแท้จริงแล้ว นอกจากจะเป็นการแสดงความยินดีตามที่กล่าวไว้ในทีแรก แต่อีกนัยหนึ่ง ก็เพื่อแสดงให้ฮูหยินคนอื่นๆ เห็นว่าจวนเจิ้นหนิงโหวยอมรับฐานะฮูหยินซื่อจื่อจวงเซียงป๋อของนาง ต่อให้มีคนไหนไม่พอใจ ก็ต้องเก็บอาการเอาไว้ให้ดี ไม่อย่างนั้นจะถือว่าเป็นการล่วงเกินจวนเจิ้นหนิงโหว
“รั่วชิงขอบคุณฮูหยินเจ้าค่ะ”
ใบหน้างามประดับรอยยิ้มบางเบา แต่คนที่รู้สาเหตุของการแต่งงานครั้งนั้นกลับเข้าใจว่า กัวรั่วชิงกำลังกระหยิ่มยิ้มย่องที่มีคนยินดีกับการแย่งตำแหน่งที่ควรจะเป็นของกัวจิ้งอีผู้เป็นพี่สาวมาเป็นของตนเอง แต่ต่อให้นึกชิงชังแค่ไหน พวกนางก็ไม่สามารถทำอะไรได้ มีแต่ต้องทนมองกำไลยกขาวมันแพะคู่นั้นวางลงบนมือของกัวรั่วชิงเงียบๆ ด้วยความขัดเคืองและริษยา
ส่วนฮูหยินเจิ้นหนิงโหวก็เหมือนจะไม่ปล่อยให้ผู้อื่นได้พักหายใจ จึงชี้ชวนคนที่แอบจิกผ้าเช็ดหน้าจนจวนเจียนจะขาดเหล่านั้นมาชื่นชมกัวรั่วชิงด้วยกันเสียเลย
“เป็นอย่างที่ข้าคิดไว้จริงๆ ชิงเอ๋อร์ของเราเหมาะกับกำไลคู่นี้มาก พวกเจ้าเห็นด้วยกับข้าหรือไม่เล่า”
“ฮูหยินมีช่างสายตาแหลมคมยิ่ง กำไลคู่นี้เหมาะกับฮูหยินซื่อจื่อมากจริงๆ เจ้าค่ะ” ถางซือเซียนตอบรับคำเป็นคนแรก กัวรั่วชิงจำได้ว่านางเป็นเพียงไม่กี่คนในแคว้นหานที่ไม่เคยแสดงท่าทางรังเกียจตน จะเสียดายก็แต่ทั้งคู่ไม่เคยไปมาหาสู่กันมาก่อน ครั้นจะเข้าไปตีสนิทในตอนนี้ก็เกรงว่าจะทำให้คุณหนูจวนอัครเสนาบดีผู้นี้ได้รับผลกระทบไปด้วย
“หากดูไม่ผิดนี่เป็นกำไลหยกขาวมันแพะหายาก ชิงเอ๋อร์เจ้าช่างโชคดีเสียนี่กระไร ข้าละอิจฉาเจ้าจริงๆ” กัวจิ้งอียิ้มกล่าว คล้ายจะพยายามหยอกเย้าน้องสาวอยู่ในที แต่กัวรั่วชิงหาได้ตอบกลับแม้แต่ครึ่งคำ
ช่างหยิ่งยโสเสียจริง
น่าตายนัก ตัวเองแย่งบุรุษของพี่สาวมาแท้ๆ มีสิทธิ์อะไรมาเชิดหน้าใส่ผู้อื่นเยี่ยงนั้นกัน
เจ้านี่มันน่าชังเหลือเกิน
เหล่าคุณหนูที่เชื่อหมดใจว่า กัวรั่วชิงตัดวาสนาของผู้อื่นพากันมองนางด้วยแววตำหนิ พร้อมก่นด่าในใจ
ทว่าวันนี้ยังมีคนที่ไม่ได้คิดเห็นเช่นพวกนางอยู่ที่นี่ด้วยอีกคน
“ข้าเห็นด้วย เดิมผิวพรรณของนางก็ดีอยู่แล้ว พอสวมกำไลหยกชิ้นนี้เข้าไปยิ่งดูขาวผ่องนวลเนียน” ฮูหยินหยงหนิงป๋อเคยเผชิญกับเล่ห์เหลี่ยมในเรือนหลังมามากมาย จึงไม่ได้ตัดสินกัวรั่วชิงอย่างคนอื่นๆ
ครั้นฮูหยินกับคุณหนูที่มีชื่อเสียงกับฮูหยินที่มากด้วยอาวุโสพากันชื่นชมกัวรั่วชิง ไหนเลยคนอื่นจะแสดงออกอย่างอื่นไปได้เล่า จึงพร้อมใจกันปั้นยิ้มแล้วชื่นชมนางอย่างเสียมิได้คนละประโยคสองประโยค
“กำลังคุยอะไรกันอยู่หรือ ท่าทางสนุกสนานเชียว ให้เปิ่นหวางเฟยร่วมเสวนาด้วยได้หรือไม่”
สิ้นเสียงอ่อนหวานราวนกขมิ้น ทุกคนในที่นั้นต่างหันไปในทิศทางเดียวกัน
[1] ลี่จือ หมายถึง ลิ้นจี่
ภายในห้องหนังสือที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่สง่างามของจวนจวงเซียงป๋อ โจวจื่อหมิงกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม มือเรียวยาวที่ถือพู่กันนิ่งสนิท ดวงตาเหม่อลอยคล้ายกำลังครุ่นคิดถึงบางสิ่งบางอย่างที่รบกวนจิตใจเขามาตลอดทั้งวัน“ซื่อจื่อขอรับ” เสียงจากคนสนิทหน้าประตูทำให้เขากลับมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง“มีอะไร”“คนขับรถม้าที่พาฮูหยินไปข้างนอกวันนี้ มาขอพบขอรับ”“ให้เขาเข้ามา” โจวจื่อหมิงตอบโดยไม่ลังเล เขารู้ดีว่าหากคนขับรถม้ามาหาถึงที่เช่นนี้ แสดงว่าต้องมีเรื่องสำคัญที่เขาต้องรับรู้พอเข้ามาด้านในคนขับรถม้าก็รีบโค้งคำนับอย่างนอบน้อม “คารวะซื่อจื่อขอรับ”“ไม่ต้องมัวโอ้เอ้ รีบรายงานมา”“ขอรับ” คนขับรถม้ารับคำ แล้วรีบเล่าทุกอย่างที่ตนเองเห็นในวันนี้ “ฮูหยินไปที่ร้านเครื่องหอมตามปกติ แต่แทนที่จะรีบกลับจวน นางกลับสั่งให้ข้าไปส่งที่ร้านหอชมจันทร์ ข้าเห็นกับตาว่าแม่ทัพฉีหลิง รอนางอยู่ที่นั่นขอรับ”ดวงตาของโจวจื่อหมิงเบิกกว้างด้วยความไม่พอใจ ความจริงเขาไม่เคยสนใจว่ากัวรั่วชิงจะไปที่ใด แต่เขาสนใจว่ายามนี้นางถึงกลับกล้าไปกับชายอื่นที่ไม่ใช่เขา“ฮูหยินกับแม่ทัพฉีหลิงดูเหมือนจะสน
ในขณะที่หวงเชียนเล่อออกไปข้างนอกอย่างเร่งรีบ กัวลี่ลี่สาวใช้คนสนิทที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็รีบเข้ามาปรนนิบัติรินน้ำชาให้เจ้านาย“ฮูหยิน ท่านก็จิบน้ำชาสักนิดนะเจ้าคะ เดี๋ยวท่านแม่ทัพก็คงจะกลับมาในไม่ช้า” กัวลี่ลี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกัวรั่วพยักหน้าพลางรับถ้วยชามา แล้วหันไปมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างอย่างสบายอารมณ์ “ดูสิ ลี่ลี่ ทำเลที่ตั้งของที่นี่ช่างดียิ่ง มองเห็นลำธารและภูเขา ยามเย็นก็จะได้ชมพระอาทิตย์ตกดินอีกด้วย” “บ่าวก็ว่าสวยเจ้าค่ะ” กัวลี่ลี่ตอบรับในขณะแกะกางปลาใส่จานให้นายหญิงในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น เสียงประตูห้องก็เปิดออกอีกครั้ง ทว่าผู้มากลับไม่ใช่หวงเชียนเล่อ แต่เป็นหวังหลิง เหมยซิน รวมถึงหลินซูก็เดินเข้ามา ใบหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด“หึ ไม่น่าเชื่อเลยว่าฮูหยินน้อยตระกูลโจวจะแอบนัดพบผู้ชายกลางวันแสกๆ” หวังหลิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างด้วยความดูแคลน “ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าใบหน้าหน้าจิ้งจอกของเจ้ามียางอายอยู่บ้างหรือไม่”กัวรั่วชิงวางถ้วยชาในมือลงอย่างแผ่วเบา แล้วหันมามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสีหน้าแววตาสงบนิ่ง ไร้ซึ่งความหวาดห
หลังจากที่พันธมิตรของหวงเชียนเล่อและกัวรั่วชิงก่อตัวขึ้นแล้ว เพียงสามวัน เขาก็ได้ส่งสาส์นเชิญนางมาพบที่ร้านอาหาร 'หอชมจันทร์' ซึ่งเป็นร้านที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง ตัวร้านตั้งตระหง่านอยู่ริมแม่น้ำที่กว้างใหญ่ สายน้ำทอประกายระยิบระยับรับแสงอาทิตย์ยามบ่ายแก่ๆ มีเรือน้อยใหญ่ล่องผ่านไปมาอย่างเนิบช้า ริมสองฝั่งน้ำมีต้นหลิวที่ทอดกิ่งก้านพลิ้วไหวตามสายลม เป็นภาพทิวทัศน์อันงดงามที่ทำให้รู้สึกสงบใจอย่างยิ่งในยามเซิน[1]ของวัน กัวรั่วชิงพร้อมกัวลี่ลี่มาถึงหอชมจันทร์ตามนัดหมาย นางในชุดสีชมพูกลีบบัวอ่อนที่ตัดเย็บอย่างประณีต แต่ยังคงความเรียบง่ายสง่างาม รถม้าของนางเพิ่งจะหยุดลงที่หน้าประตูร้าน และเมื่อนางก้าวลงมา หวงเชียนเล่อในชุดผ้าไหมสีน้ำเงินเข้มที่ดูสุขุมสง่างามก็ยืนรอต้อนรับอยู่แล้ว เขาผายมือเชื้อเชิญนางให้เดินเข้าไปในร้านด้วยสีหน้าอ่อนโยนที่พวกคุณหนูไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้หวังหลิงและเพื่อนๆ ซึ่งกำลังนั่งดื่มน้ำชาอยู่บนโต๊ะริมหน้าต่างชั้นสองพากันกระซิบกระซาบด้วยความอิจฉาในความงามของนางและในท่าทางของเขา“สตรีผู้นั้นเป็นใครกัน” เหมยซินเอ่ยถามขึ้นและชี้ชวนให้สหายทั้งสองมอง “เหมือนว่านั่นจะเ
ในที่สุดก็มาถึงวันที่กัวรั่วชิงนัดกับแม่ทัพฉีหลิงไว้ที่ร้านเครื่องหอมของนาง ภายในร้านจื่อชิงถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยความสง่า มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของสมุนไพรและดอกไม้อบอวลไปทั่ว เป็นสถานที่ที่เงียบสงบและเป็นส่วนตัวจนแทบไม่น่าเชื่อว่าตั้งอยู่ในย่านการค้าที่พลุกพล่านของเมืองหลวงกัวรั่วชิงในชุดสีฟ้าอ่อน ใบหน้าอันงดงามราวกับถูกสลักเสลามาอย่างประณีต ขนตางอนยาวทอดตัวเป็นเงาบนพวงแก้ม นางกำลังนั่งตรวจสมุดบัญชีอยู่ที่โต๊ะทำงานด้านหลัง ในขณะที่ลูกจ้างหญิงของร้านสองคนยืนจัดเครื่องหอมและเครื่องประทินผิวอยู่หน้าร้าน การที่นางเห็นตัวเลขในบัญชีมีแต่ผลกำไรทำให้ดวงตาหงส์ที่เคยหม่นหมองยามอยู่ในจวนของสามี บัดนี้กลับสุกใสมีประกายนางมีความสุขเสมอเมื่อได้มาตรวจตรากิจการ ที่นี่เปรียบเสมือนโลกส่วนตัว เป็นที่ที่นางสามารถเป็นตัวเองได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องสวมบทบาทภรรยาที่สามีคอยวางท่าห่างเหินเย็นชาให้ผู้อื่นนึกสงสารหรือหัวเราะเยาะนางเวลาที่เขามาหาเรื่องยามอู่[1]ของวันนั้น แม่ทัพฉีหลิงในชุดผ้าไหมสีเข้มที่ตัดเย็บอย่างประณีตก็มาถึงตามนัดหมาย ไม่มีการแห่แหนหรือผู้ติดตามใดๆ มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่เดินเข
ยามรุ่งสาง โจวจื่อหมิงตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกหงุดหงิดไม่สบายใจ ภาพของกัวรั่วชิงในศาลบรรพชนยังคงติดอยู่ในหัวของเขา การโต้ตอบที่แข็งกร้าวของนางเมื่อวานนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกท้าทายตลอดเวลา หลังจากจัดการธุระยามเช้าเสร็จ เขาก็เดินทอดน่องไปตามทางเดินอันเงียบสงบ มุ่งหน้าไปยังเรือนของกัวรั่วชิงอย่างไม่รู้ตัวเมื่อเดินมาถึงเรือนของนาง โจวจื่อหมิงไม่ได้ก้าวเข้าไปด้านใน เขาเดินไปยังทางเดินเชื่อมที่ทอดยาวเลียบสวน และเลือกที่จะหลบอยู่หลังเสาต้นใหญ่ ที่สามารถมองเห็นสวนด้านในได้อย่างชัดเจน ในใจนึกว่าตนเองจะได้เห็นภาพฮูหยินกำลังร้องไห้หรือเศร้าซึมอย่างที่ควรจะเป็นแต่ภาพที่โจวจื่อหมิงเห็นกลับทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกตบหน้าอย่างรุนแรง กัวรั่วชิงในชุดสีชมพูอ่อนที่ดูสดใส กำลังนั่งจิบชาอยู่บนศาลา นางมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า พร้อมกับเสียงหัวเราะที่ดังออกมาอย่างร่าเริงขณะพูดคุยกับสาวใช้ โจวจื่อหมิงมองเห็นภาพที่นางยื่นมือไปเด็ดดอกไม้ที่บานสะพรั่งอยู่ในสวนมาดมด้วยความเพลิดเพลิน ใบหน้าที่เคยบูดบึ้งของนางในความทรงจำของเขาถูกแทนที่ด้วยความสดใส และแววตาที่เคยหม่นหมองก็เต็มไปด้วยประกายแห่งความสุข“ฮูหยินเจ้า
โจวจื่อหมิงกำลังนั่งจิบชาและดูตำราพิชัยสงครามอยู่ในเรือนอย่างสงบ แต่แล้วประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแรง หลิวซิ่วเหยาในชุดที่ดูยับยู่ยี่เล็กน้อยวิ่งเข้ามาพร้อมกับใบหน้าที่เปียกชื้นด้วยน้ำตา นางทำตัวน่าสงสารจนสาวใช้ที่ยืนอยู่หน้าห้องยังรู้สึกเห็นใจ“นายท่านเจ้าขา... ท่านต้องให้ความเป็นธรรมแก่ข้าด้วยนะเจ้าคะ” หลิวซิ่วเหยาเข้าไปเกาะแขนโจวจื่อหมิงไว้ด้วยความน่าสงสาร “ข้าแค่เป็นห่วงท่านที่ต้องเผชิญหน้ากับฮูหยินที่น่ากลัว... ข้าจึงไปเยี่ยมฮูหยินที่ศาลบรรพชน แต่กลับถูกดุด่าอย่างรุนแรง ทั้งฮูหยินและบ่าวรับใช้ของนางไม่ไว้หน้าข้าเลยเจ้าค่ะ”โจวจื่อหมิงขมวดคิ้วด้วยความรำคาญ เขาปัดมือของหลิวซิ่วเหยาออกอย่างไม่ใยดี “ไปร้องไห้ที่อื่นเถอะ ข้ากำลังดูตำราอยู่”หลิวซิ่วเหยาเบะปาก ทำท่าจะร้องไห้หนักกว่าเดิม “แต่ฮูหยิน... ฮูหยินถึงขั้นขู่จะลงโทษข้าเจ้าค่ะ ทั้งๆ ที่ข้าเป็นคนโปรดของท่าน”โจวจื่อหมิงที่ได้ยินดังนั้นดวงตาก็พลันเย็นชาลง เขาแสยะยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียมในใจ 'ช่างกล้าดียิ่งนัก... เจ้ากำลังเรียกร้องความตายจากข้า' เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วมองหลิวซิ่วเหยาด้วยสายตาที่เย็นชา “เจ้ากลับไปรอที่เรือนของเจ้า