“เสียดายไหมที่ยังไม่ตาย”
“น่าจะเสียดายอยู่หรอกรี อับอายขายขี้หน้าคนเปล่า ๆ”
เสียงแหลมปรี๊ดของหญิงสาวสองคนลอยมาเข้าหูพิริยาระหว่างกำลังเดินออกมาจากบ้านของลุงคำปัน เธอเหลียวหลังมองที่มาของเสียงก็พบกับหญิงสาววัยรุ่นอายุใกล้เคียงกับเธอสองคนที่กำลังพูดลอยหน้าลอยตาและส่งสายตาหยันมาให้
อ๋อ..คู่อริของเจ้าของเดิม พิริยาทบทวนความทรงจำอยู่ครู่ก็นึกออก ผู้หญิงทั้งสองคนนี้จะชื่อชบาและนารี อายุสิบหกปีเท่ากับปิ่นแก้ว
นารีเป็นน้องสาวของมานะ เมื่อทราบว่าพี่ชายคบหากับปิ่นแก้วที่มีฐานะยากจน นารีจึงรู้สึกไม่พอใจเช่นเดียวกับพ่อและแม่ของเธอ หากได้เจอปิ่นแก้วยามใดไม่พ้นจะพ่นคำดูถูกเย้ยหยันอยู่ตลอดเวลา เจ้าของร่างเดิมเป็นคนหัวอ่อนและนิสัยขี้อาย จึงได้แต่ยอมก้มหัวให้นารีอยู่ตลอดเพื่อไม่ให้มีปัญหากระทบกระทั่งกัน
ส่วนชบานั้นเป็นลูกไล่ของนารีมาตั้งแต่เด็ก เพราะครอบครัวของนารีมีฐานะดี ชบาจึงมีนิสัยชอบประจบเอาใจ เมื่อเห็นนารีไม่ชอบปิ่นแก้ว ชบาก็พร้อมที่จะไม่ชอบด้วย
“หรืออาจจะไม่เสียดายก็ได้นะ ถ้าตายไวก็อดอ้อนพี่ดินเลยน่ะสิ” น้ำเสียงของนารีมีความกรุ่นโกรธและหึงหวงผสมกันอยู่
“ไม่ต้องห่วงหรอก พี่ดินออกจะฉลาด รับรองไม่ตกหลุมนังตัวซวยนี่หรอก”
พิริยามองตรงไปทั้งคู่อย่างเบื่อหน่าย ตอนนี้เธอไม่มีอารมณ์ต่อล้อต่อเถียงด้วยเพราะมีเรื่องให้ต้องคิดอยู่เต็มหัว เธอจึงเพียงแค่ส่งสายตาหยันมองกลับไปให้ทั้งคู่ ก่อนที่จะหมุนตัวเดินตรงไปที่บ้านของตัวเอง
“ทำไม รับความจริงในความเป็นตัวซวยไม่ได้เหรอ”
พิริยาไม่สนใจฟัง
“นี่ รู้รึเปล่า วันนี้พี่มานะพาพี่โสภา พี่สะใภ้ในอนาคตของฉันมาเที่ยวบ้านด้วยนะ หล่อนสนใจไปดูไหมว่าพี่โสภาของฉันสวยแค่ไหน”
พิริยายังคงเดินเฉยแบบไม่สะดุ้งสะเทือน
เมื่อเห็นอาการเมินเฉยของปิ่นแก้ว นารีก็ยิ่งหงุดหงิด เธอคือลูกสาวคนเล็กของบ้านที่พ่อและแม่ต่างเฝ้าคอยเอาอกเอาใจเสมอมา เธอไม่คุ้นชินกับการถูกละเลยเหมือนไม่ได้รับความสำคัญแบบนี้
“นี่! หยุดนะนังแก้ว” นารีเดินเข้ามากระชากแขนเพื่อหวังให้นางสาวปิ่นแก้วให้หันมาสนใจ
พิริยาใช้สายตาเหยียดมองพร้อมกับเบะปากเบา ๆ “มานี่” ก่อนจับมือนารีและลากให้ไปที่บ่อน้ำซึ่งตั้งอยู่ในบ้านด้วยกัน
“ก..แกจะทำอะไรฉัน” นารีมองบ่อน้ำที่มีความลึกหลายเมตรด้วยความหวาดกลัว “ห..หากแกทำร้ายฉัน พ่อกับแม่ไม่เอาแกไว้แน่”
“คิดไปถึงไหนเนี่ย” พิริยาหัวเราะเสียงดัง ก่อนหยิบน้ำถุ้ง อุปกรณ์ตักน้ำที่ผูกเชือกยาวหลายเมตรโยนลงไปในบ่อ รอจนน้ำเข้ามาเต็มเธอก็รีบสาวเชือกขึ้นมา หลังจากนั้นก็ยื่นน้ำถุ้งที่มีน้ำบ่อใส ๆ จุอยู่เต็มให้นารี
“อะ...ดื่มน้ำก่อน พูดมากเกินไปคอจะอักเสบได้ ขนาดสุนัขที่คนชอบคิดว่าสมองน้อย เวลามันเห่ามาก ๆ มันยังรีบวิ่งไปหาน้ำดื่มเลย” เมื่อเห็นนารียื่นมารับอย่างงุนงง พิริยาอมยิ้มและหมุนตัวเตรียมเดินขึ้นบ้านไป
“กรี๊ดดด...นังแก้ว น..นี่แกด่าว่าฉันโง่ยิ่งกว่าหมาเหรอ” เมื่อหายจากอาการมึนงง นารีก็กรี๊ดออกมาเสียงดังด้วยท่าทางไม่พอใจ
“มีอะไรกัน” แดนดินเอ่ยถามเสียงห้วนมาจากด้านหลัง ทั้งพิริยาและนารีต่างหันมามองไปที่เขา โดยเฉพาะนารี เมื่อเห็นชายที่หมายปอง เธอก็รีบปรับสีหน้าและท่าทางให้สงบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ไม่มีอะไรค่ะพี่ดิน แค่มีเรื่องมาถามแก้วนิดหน่อย”
พิริยากอดอกยิ้มขันแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ด้วยไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดให้เสียเวลาชีวิตของตัวเองมากไปกว่านี้
“แก้ว นี่ปลาดุกนา รับเอาไว้สิเผื่อเป็นอาหารเที่ยงนี้” แดนดินไม่ให้ความสนใจชบาและนารีเช่นเดียวกัน เขาหันไปพูดธุระที่ได้รับมอบหมายจากแม่กับปิ่นแก้วแทน
“ดีเลยค่ะ พี่ดิน แก้วกำลังอยากกินปลาดุกปิ้งพอดี แต่พี่ดินช่วยแก้วจุดเตาถ่านได้ไหมคะ แก้วจุดไม่เก่ง” พิริยาเอ่ยเสียงอ้อนนิด ๆ พร้อมกับแสดงท่าทีสนิทสนมกับแดนดินมากกว่าปกติ ในขณะเดียวกันก็แอบส่งสายตาเยาะเย้ยไปให้นารีเบา ๆ เพราะเธอจับสังเกตได้ว่านารีให้ความสนใจในตัวของแดนดินอยู่ไม่น้อย
“ไปเถอะค่ะ กว่าจะสุกก็ทันมื้อเที่ยงพอดี เดี๋ยวแก้วจะแบ่งไปให้ที่บ้านพี่กินด้วย”
“อ้อ..เสร็จธุระของพวกเธอแล้วใช่ไหม ฉันมีเรื่องต้องทำกับพี่ดินอีกเยอะ” พิริยาหันไปถามพร้อมกับยิ้มเยาะสองสาวอยู่ในที
นารียืนตัวสั่นพร้อมกับเขม้นตามองปิ่นแก้วด้วยอารมณ์โมโหสุดขีด แต่ก็ไม่กล้ากรีดร้องออกมาเสียงดังเพราะมีแดนดินอยู่ด้วย หญิงสาวสะพัดหน้าพรืดพร้อมกับลากชบาเดินออกไปจากบริเวณบ้านของปิ่นแก้วอย่างรวดเร็ว
พิริยาที่เห็นอาการโมโหจนตัวสั่น บวกกับใบหน้าที่คล้ายกำลังอมมะระของนารีจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง โดยมีแดนดินขมวดคิ้วมองอยู่ด้านข้าง
“สองคนนั้นมาหาเรื่องอะไร”
“อ้าว..พี่ก็รู้เหรอ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ตามที่คาดไว้นั่นแหละ ทั้งเรื่องแขวนคอตายกับเรื่องนายมานะอะไรนั่น”
เมื่อเห็นท่าทีการพูดอย่างสบายอกสบายสบายใจของเธอ แดนดินถึงกับเหลือบมองด้วยความฉงน
ปิ่นแก้วดูแตกต่างไปจากเมื่อหลายวันก่อนอย่างเห็นได้ชัด จากคนที่อ่อนแอ อ่อนไหวไปหมดทุกเรื่องโดยเฉพาะเมื่อเจอกับคำพูดติฉินนินทาของคน ปิ่นแก้วก็พร้อมจะนั่งน้ำตาซึมอยู่เป็นวัน ๆ ได้เลยเหมือนกัน
แต่ดูตอนนี้สิ เธอกลับกลายเป็นคนที่ไม่ยี่หระคำพูดว่าร้ายของคนอื่น
แล้วเรื่องของมานะคนรักเก่าของปิ่นแก้วนั่นอีก สาเหตุสำคัญที่ทำให้ปิ่นแก้วแขวนคอตายก็คือเรื่องเขาไม่ใช่เหรอ แล้วตอนนี้ทำเหมือนกับกำลังพูดถึงคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเธอเลย
“พี่ดินมองแบบนี้หมายความว่ายังไง”
“แค่แปลกใจน่ะ เพราะแก้วดูไม่เหมือนคนเดิมที่พี่เคยรู้จัก” แดนดินบอกตามตรง
“แล้วมันดีหรือไม่ดีล่ะ”
“ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี แต่พี่ชอบแก้วที่เป็นแบบนี้นะ ดูเข้มแข็ง สู้คน และปล่อยวาง ทำให้พี่รู้สึกสบายใจว่าแก้วจะสามารถใช้ชีวิตที่ดี ๆ ได้ต่อไป”
“ขอบคุณค่ะ อ้อ..พี่ดินไม่ต้องไปช่วยแก้วจุดเตาหรอก เดี๋ยวแก้วทำเอง”
“อ้าว ไหนบอกทำไม่เป็น”
“ฮ่าฮ่า..แก้วแกล้งนารีเล่นน่ะ พี่ไม่รู้เหรอว่าเธอปลื้มพี่อยู่”
แดนดินอดหน้าแดงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“เอ..หรือว่าจริง ๆ แล้วพี่ก็ชอบนารีด้วย” พิริยาเห็นท่าทีแบบนั้นก็เอ่ยปากล้อเลียนต่อ
“เฮ้ย..บ้า พี่มีคนที่ชอบอยู่แล้ว”
“เพื่อนที่เรียนด้วยกันเหรอคะ” เธอเลิกคิ้วสูงด้วยความอยากรู้
“อืม..” แดนดินยกมือเกาท้ายทอยอย่างขัดเขิน
หญิงสาวอดหัวเราะเมื่อเห็นท่าทางอายเหมือนเด็กของแดนดิน ผู้ชายที่ตามปกติดูเงียบขรึมเป็นผู้ใหญ่เกินอายุแบบเขา เวลาทำท่าทีแบบนี้มันดูทั้งตลกผสมกับความน่ารักอย่างบอกไม่ถูก
“แก้วยินดีกับพี่ด้วยนะคะ” ก่อนที่เธอจะเอ่ยปากอย่างจริงใจ
“ขอบใจนะ พี่กลับบ้านก่อนล่ะ อ้อ..พี่จะอยู่บ้านอีกแค่อาทิตย์เดียวนะ อยากให้พี่ช่วยงานอะไร โดยเฉพาะงานใช้แรงหนัก ๆ ให้ไปบอกก่อนพี่กลับไปเรียนล่ะ พี่จะได้รีบมาทำให้”
พิริยากล่าวขอบคุณชายหนุ่มและหันมามองปลาดุกเจ้าปัญหาในมือ เธอยังไม่คิดจะทำอะไรกับมันในตอนนี้ คงต้องเอาไปเก็บไว้ในพื้นที่เพื่อไม่ให้เหม็นเน่าก่อนจะนำมาทำอาหารครั้งต่อไป
“แก้ว พ่อหาบ้านแถวริมคลองต้นลุงให้ได้แล้วนะ” วิภาวีมาหาปิ่นแก้วที่ร้านในตอนเย็นหลังเลิกเรียนปิ่นแก้วยิ้มกว้าง ในที่สุดก็เข้าใกล้ความฝันไปทีละน้อยแล้วในช่วงระหว่างวันที่อยู่ว่าง เธอมักจะเดินสำรวจรอบตัวเมืองอยู่เสมอเพื่อหาทำเลที่เหมาะสมสำหรับเปิดคาเฟ่ บวกกับการเปิดดูคลิปเกี่ยวกับประวัติของเมืองนี้ เธอถึงพบว่าเขตเศรษฐกิจสำคัญของตัวเมืองจะมีอยู่สองจุด อยู่ติดน้ำทั้งคู่จุดแรกคือถนนเลียบคลองต้นลุง ซึ่งในยุคปี พ.ศ.2525 ได้เริ่มกลายเป็นแหล่งเดินซื้อของ แหล่งหาอะไรกินของผู้คนในตัวเมืองบ้างแล้ว และความนิยมนี้มีต่อเนื่องยาวนานไปจนถึงยุคอนาคตที่เธอจากมา ถนนเส้นนี้ถือเป็นทำเลทองอย่างแท้จริงส่วนจุดที่สองนั้นคือถนนริมชลซึ่งอยู่ใกล้แม่น้ำใหญ่ที่ไหลผ่านหลายจังหวัด แต่ปัจจุบันถนนเส้นนี้ยังไม่ได้รับการพัฒนาเนื่องจากติดปัญหาเรื่องน้ำท่วมตลอดทั้งปี ตอนนี้จึงมีแค่กลุ่มคนผู้มีรายได้น้อยเท่านั้นที่อาศัยอยู่ ต้องรออีกประมาณหกปีนับจากนี้ถนนริมชลถึงได้รับการปรับปรุงแก้ไขจนกลายเป็นทำเลทองแห่งที่สองของตัวเมืองประจำจังหวัด sปิ่นแก้วสนใจทำเลทองท
“พี่แพง พี่นี พวกพี่รับมือไหวแน่นะ หรือแก้วจะยังไม่ไปดี วันนี้ยังไงก็คงไม่มีเรียนหรอก”“ไม่ต้องห่วงหรอกแก้ว มีคนงานช่วยเยอะแยะ ต่อให้ทำมากกว่านี้อีกห้าร้อยชิ้นก็ยังทำกันเองได้สบาย แก้วรีบไปดีกว่า ขาดเรียนตั้งแต่วันแรกมันไม่ดีหรอก” แพงไม่เห็นด้วยเมื่อจัดการเรื่องดอกไม้ที่ปลูกไว้ที่บ้านเรียบร้อยแล้ว เธอก็ได้กลับมาอยู่ในตัวเมืองเพื่อดูแลร้านแบบถาวรไม่ได้เทียวไปเทียวมาอีก จวบจนล่วงไปเกือบสองเดือนก็ถึงเวลาเปิดเทอมของเธอเสียทีเมื่อเห็นว่าร้านขนมมีความมั่นคง ส่วนร้านขายเสื้อผ้าก็ไม่มีอะไรน่าห่วงเพราะมีคนขายที่แข็งขันอย่างไพจิตรอยู่ ปิ่นแก้วจึงวางใจลงและเข้าสมัครเรียนต่อการศึกษานอกโรงเรียนในระดับชั้น ม.4 ตามที่เคยสัญญาไว้กับบรรดาผู้ใหญ่หลาย ๆ คนในทันทีแต่เผอิญวันเปิดเทอมวันนี้ได้คำสั่งซื้อขนมสำหรับจัดประชุมเข้ามาห้าร้อยชิ้น ปิ่นแก้วจึงเกิดอาการพะวักพะวน โชคดีที่แพงมีประสบการณ์ในการรับมือเป็นอย่างดี“งั้นแก้วไปก่อนนะพี่ จะรีบไปรีบกลับ”“อ้าวพี่สุวิทย์ สวัสดีค่ะ วันนี้มาหาใครคะ”
ปิ่นแก้วเดินวนเวียนอยู่บริเวณแปลงดอกไม้อย่างไม่สบายใจเลยสักนิด เธอรู้ว่าเธอผิดที่แอบเผลอใจไปชอบแดนดินแบบนั้น เมื่อนึกถึงเสียงทะเลาะกันของแดนดินและแพรวพรรณยามเมื่อเธอเดินออกจากบ้านเขามาตอนหัวค่ำ ความไม่สบายใจก็ยิ่งเพิ่มทบทวีเธอไม่คิดที่จะแย่งหรือแยกทั้งคู่ออกจากกันเลยเพราะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แดนดินไม่ได้รักเธอ และปิ่นแก้วก็ไม่ได้มีนิสัยแย่ถึงกับแย่งของของคนอื่นมาเป็นของตนเธอเพียงแค่อยากเก็บความมีน้ำใจและความใจดีที่ชายหนุ่มมีให้เอาไว้ในใจเธออย่างเงียบ ๆ เท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าหญิงสาวยังเก็บไว้ไม่มิดพอจนโดนแพรวพรรณจับได้แบบนี้ แต่ก็อย่างว่า ผู้หญิงมักจะมีเซ้นส์พิเศษเสมอในเรื่องแบบนี้“แก้ว”ปิ่นแก้วสะดุ้งเบา ๆ ก่อนเหลียวไปตามเสียงเรียก“พี่ดิน ยังไม่นอนอีกเหรอคะ นี่ก็เกือบสามทุ่มแล้ว” เธอถามด้วยความรู้สึกหวิวโหวง“พี่นอนไม่หลับน่ะ แล้วเห็นแก้วพอดี เลยอยากมาคุยด้วย”“พี่อยากขอโทษแทนพรรณอีกทีนะกับเรื่องเมื่อหัวค่ำ แก้วอย่าโกรธเธอเลย พรรณดูเป็นคนเจ้าอารมณ์แบบนั้นแหละแต่ใจจริงไม่ได้
“แก้ว ไม่เจอกันหลายเดือน รู้ไหมว่าป้าคิดถึง” วงเดือนทักขึ้นมาอย่างดีใจเมื่อเห็นหญิงสาวเดินเข้าประตูครัวมา“สวัสดีค่ะป้า ลุง สบายดีกันทั้งคู่นะคะ”“สบายดี ไม่เจ็บไม่ไข้ เมื่อคืนลุงกับป้ายังบ่นคิดถึงแก้วอยู่เลย ไม่คิดว่าวันนี้จะได้เจอ” คำปันเอ่ยออกมาอย่างอารมณ์ดี“ช่วงนี้ที่ร้านไม่ค่อยยุ่งแล้ว แก้วเลยกะจะมาอยู่บ้านสักสองอาทิตย์ จะมาจัดการดอกไม้ที่ปลูกทิ้งไว้ด้วย”“ดอกพวกนั้นหอมจริง ๆ นะแก้ว กลิ่นฟุ้งไปหมด ขนาดตอนนี้ยังได้กลิ่นเลย ลองสูดดูสิ”“แล้วแก้วจะตัดไปขายหรือไปแต่งร้านล่ะ แต่เยอะขนาดนั้นคงเอาไปแต่งไม่ไหวมั้ง ล้นร้านพอดี”ปิ่นแก้วหัวเราะ “แก้วตั้งใจจะเด็ดมาตากแห้งค่ะ เอาไว้ชงเป็นชาดื่ม”คำปันทำหน้าฉงน “ดอกพวกนี้กินได้? ไม่มีพิษเหรอ?”“กินได้ค่ะ เป็นดอกไม้ประเภทกินได้ ดอกพวกนี้คนนิยมนำมาทำเป็นชา โดยเฉพาะคนในประเทศ C รวมถึงประเทศ J ด้วยจะนิยมดื่มกันมาก แก้วโชคดีได้เมล็ดพันธุ์มา เลยลองปลูกดู ถ้าผลผลิตดีแก้วว่าจ
“ทำไมวันนี้แม่เลี้ยงปิ่นแก้วปลีกตัวมาแถวนี้ได้” มาลีที่นั่งอยู่ในร้านด้วยเอ่ยปากกระเซ้า การได้เห็นมาลีและสุขมานั่งช่วยขายเสื้อผ้ากลายเป็นภาพที่ชินตาไปเสียแล้วสำหรับผู้คนแถวนี้ แม้จะไม่มีค่าตอบแทนใด ๆ แต่ผู้สูงวัยทั้งสองคนก็ยังเต็มใจมาช่วยทุกสัปดาห์ เพราะรู้สึกสนุกที่ได้ขายและพบเจอผู้คน ดีกว่านั่งเบื่ออยู่ที่บ้านอีกอย่าง เพราะทั้งสองคนรู้สึกถูกชะตากับไพจิตรและชิงชัยเป็นอย่างมาก ยิ่งเมื่อได้รับรู้ถึงสภาพชีวิตของแม่ลูกคู่นี้ มาลีและสุขยิ่งรู้สึกสงสารและอยากมีปฏิสัมพันธ์กับแม่ลูกคู่นี้ให้มากยิ่งขึ้นในอนาคต“แม่ล้งแม่เลี้ยงที่ไหนกันเล่าคะป้าลี นี่ก็ปิ่นแก้วคนเดิมคนที่เคยนั่งทำตาแดง ๆ กับป้าในวันที่เราเจอกันครั้งแรกไง” ปิ่นแก้วพูดแก้ขวย“จะไม่ใช่ได้ยังไงจ๊ะ ตอนนี้ลองไปสะกิดถามผู้คนแถวนี้ดูเถอะ มีใครบ้างไม่รู้จักร้านหวานใจ ร้านขนมอันดับหนึ่งของจังหวัด ยิ่งเมื่อตอนสิ้นปี ได้ข่าวว่าชุดกล่องของขวัญของร้านนี่ขายดิบขายดี วันหนึ่งร้อยชุดไม่พอขายเลยไม่ใช่เหรอ” มาลีพูดพร้อมกับหัวเราะร่วน สุขก็นั่งยิ้มและพยักหน้าไปกั
ในวันเปิดร้านวันที่สองคือสิ่งที่เหนือความคาดหมายของปิ่นแก้วอย่างที่สุด ลูกค้าเข้ามาอุดหนุนขนมที่ร้านอย่างล้นหลามตลอดทั้งวัน วันนี้ลูกค้ากลุ่มหลักเป็นกลุ่มที่เคยเข้าร่วมประชุมสมาคมแม่บ้านข้าราชการในคราวก่อนซึ่งได้กินขนมแล้วติดใจ วันนี้จึงนัดแนะกันมาหาซื้อขนมเพื่อนำไปฝากสมาชิกในครอบครัวและร้านของเธอยังคงปิดก่อนกำหนดอีกเช่นเดิม ยอดขายวันนี้ได้รวมกว่าหนึ่งหมื่นห้าพันบาท ทำเอาแพงตื่นเต้นจนมือสั่นระหว่างนับเงินที่ได้ในคืนนั้นในอีก 3-4 วันต่อมาจำนวนลูกค้าได้ลดลงเล็กน้อยซึ่งเป็นไปตามการคาดการณ์ของปิ่นแก้ว และเมื่อเห็นยอดการเข้ามาซื้อของลูกค้าอยู่ในระดับคงที่ต่อเนื่อง 4-5 วัน ปิ่นแก้วจึงได้คำนวณปริมาณงานและจำนวนขนมที่จะทำในแต่ละวัน และประกาศรับสมัครคนเพิ่มอีกสี่คนเพื่อรองรับปริมาณงานทั้งหมดที่มีในร้านหลังจากจัดการร้านจนคงที่ได้หนึ่งเดือน เธอได้เริ่มปรับวิธีการขายหน้าร้านให้เป็นไปตามที่ตั้งใจในตอนแรก นั่นคือเปิดโอกาสให้ลูกค้าเข้ามาหยิบเลือกขนมได้เอง โดยมีถาดและที่คีบขนมวางบริการไว้ให้ที่หน้าร้าน เมื่อลูกค้าเดินเข้าร้านก็ให้หยิบถาดและที่คีบก่อนเ