เฟิ่งถงหลินตกใจไปเล็กน้อยแต่กิริยาที่ล่อกแล่กของนางมิอาจรอดพ้นสายตาของอันลี่ซินไปได้ เดิมทีคิดอยากจะหลอกถามแต่กลับถูกลี่ซินตีกลับจนนางแทบจะคิดหาคำพูดอื่นมาตอบมิได้
“คือข้าแค่ใคร่รู้เท่านั้น เพราะว่าเจ้ากับท่านอ๋องไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแต่เหตุใด…”
“เรื่องการแต่งงานพ่อแม่เป็นผู้จัดหา อีกอย่างเรื่องการหมั้นหมายในครั้งนี้ทั่วทั้งต้าซ่งก็ทราบว่าเป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท หากว่าพี่หญิงมีข้อสงสัย คงจะต้อง…. กราบทูลถามฝ่าบาทดีกว่านะเจ้าคะ"
“มิใช่เช่นนั้นน้องหญิงอย่าเข้าใจข้าผิด ข้าก็แค่ถามเจ้าเพราะด้วยความเป็นห่วงเห็นว่าเจ้าเองก็เป็นสตรีและอยู่แต่ในเรือน อาจจะยังมิทราบเรื่องของเว่ยอ๋องดีมากพอ พ่อข้าอยู่ในกองทัพและร่วมสู้ศึกกับเขามานับครั้งไม่ถ้วนดังนั้นจึงรู้จักท่านอ๋องดีกว่าเจ้า ข้าก็แค่อยากเตือนเจ้าในฐานะ… สหายเท่านั้น”
ลี่ซินวางจอกชาลงก่อนจะหันไปมองมารดาที่กำลังเลือกสินค้าอยู่อีกด้านหนึ่งของร้าน เมื่อหันมายิ้มให้คู่สนทนาตรงหน้าซึ่งกำลังพยายามหยั่งเชิงนางอยู่
“เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณพี่หญิงแล้ว ตัวข้านั้นมิได้มีปัญหาในเรื่องการหมั้นหมายแต่อย่างใด เพราะหากเห็นว่าไม่เหมาะสมก็คงจะขัดพระประสงค์ของฮ่องเต้แล้ว หรือว่าพี่หญิงคิดว่าไม่จริง”
“ข้า! เอ่อ น้องหญิงกล่าวเกินไปแล้วข้าหรือจะกล้า”
“นั่นสิพี่หญิงเช่นนั้นเราก็อย่าได้คุยเรื่องนี้อีกเลย ข้าใคร่อยากจะไปเลือกเครื่องประดับสักชุด ท่านแม่บอกว่าคงต้องจัดเตรียมเอาไว้เผื่อว่าวันข้างหน้าอาจจะได้ใช้บ่อย ๆ ขอตัวก่อนแล้วพบกันใหม่”
“แล้ว แล้วพบกันใหม่”
ลี่ซินยิ้มและโค้งให้เฟิ่งถงหลินอย่างนอบน้อมและเดินเลี่ยงออกมาทันทีพร้อมกับเดินไปหามารดาที่ยืนเลือกอยู่
“อ้าวซินเอ๋อร์เลือกไม่ได้หรอกหรือ ไม่ถูกใจชิ้นไหนเลยงั้นหรือ”
“ไม่เจ้าค่ะ เครื่องประดับร้านนี้ไม่ถูกใจข้า คิดว่าคงจะมีร้านที่ดีกว่านี้เราไปกันเถิดเจ้าค่ะท่านแม่"
“อ้อ เช่นนั้นเฟิ่งฮูหยินข้าคงต้องขอตัวก่อนเอาไว้พบกันใหม่นะ”
"แล้วพบกันใหม่เจ้าค่ะ”
ลี่ซินคำนับให้เฟิ่งฮูหยินก่อนจะเดินออกมาจากร้าน นางมิได้พูดถึงเฟิ่งถงหลินให้มารดาฟัง เพียงแค่อยากออกมาจากร้านนั้นเท่านั้นเพื่อลดความอึดอัด สวนเครื่องประดับมิได้จำเป็นเร่งด่วนเพราะปกติก่อน ที่จะออกงานสำคัญมารดาของนางก็มักจะเรียกให้เถ้าแก่จากหอการค้านำไปให้เลือกที่จวนอยู่แล้ว
“ซินเอ๋อร์มีอะไรหรือ”
“เปล่าเจ้าค่ะข้าแค่กระหายน้ำ ท่านแม่พวกเราแวะดื่มชาสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
“อืม ก็ดีเหมือนกัน”
แต่เมื่อถึงโรงน้ำชา มารดาของนางก็ได้พบกับสหายที่พึ่งเดินทางกลับมาจากต่างเมืองดังนั้นจึงได้แวะไปสนทนาอีกห้องหนึ่ง เพราะมารดาของนางเองก็มิได้ออกมานอกจวนบ่อย ๆ เช่นกัน ดังนั้นตอนนี้จึงเหลือเพียงนางและอาหรูที่นั่งจิบชามองดูผู้คนด้านนอกร้าน และไม่คิดว่าจะพบกับผู้ที่เหนือความคาดหมาย
“คุณหนูอัน ไม่คิดว่าจะพบเจ้าที่นี่”
“ถวายบังคมอวี้อ๋องเพคะ”
อวี้ตงหลานจะเอื้อมมือไปประคองแต่ลี่ซินนั้นถอยได้ทันการเขาถึงดึงมือกลับมาเช่นเดิม อวี้ตงหลานลืมนึกไปว่านางมิใช่สตรีทั่วไปแต่เป็นบุตรสาวขุนนางใหญ่ในราชสำนัก
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่งั้นหรืออันลี่ซิน”
“หม่อมฉันมาทำธุระกับท่านแม่ แวะดื่มชาเพียงจอกเดียวเท่านั้นบัดนี้ก็จวนบ่ายคล้อยแล้วคงไม่รบกวนช่วงเวลาสำคัญของท่านอ๋อง…”
“เดี๋ยวก่อนสิข้ายังมิทันได้เอ่ยอันใดเหตุใดเจ้าจะเดินหนีอีกแล้ว ไม่นั่งดื่มชากับข้าสักจอกก่อนแล้วค่อยไปหรือ พอเห็นข้าก็รีบเดินหนีเช่นนี้ข้ารู้สึกว่าเจ้ารังเกียจข้านะอันลี่ซิน”
“หม่อมฉันมิได้หมายความเช่นนั้น แต่ในตอนนี้ทั้งหม่อมฉันและท่านอ๋องไม่สมควรที่จะมานั่งดื่มชาตามลำพังมันไม่งามเท่าใดนัก หากมีผู้พบเห็นอาจจะนำไปนินทาลับหลังได้เพคะ”
“ไม่เห็นต้องสนใจสิ่งใด อ้อข้าลืมไปเพราะว่าเจ้าเป็นถึงว่าที่คู่หมั้นของน้องชายข้าสินะถึงได้กลัวนัก ไม่เอาน่าลี่ซินเจ้ายังมิได้หมั้นหมายกับเขาเลยนี่ เหตุใดจึงได้กลัวเว่ยซ่างเจวี๋ยขนาดนั้น”
“หม่อมฉันไม่สะดวกจริง ๆ เพคะ ขอทรงอภัย”
“แต่ข้า…”
“ลี่ซิน!”
เสียงหนึ่งที่เรียกชื่อนางจากด้านหลัง แม้ว่าอวี้ตงหลานจะไม่หันไปก็จดจำได้ดีว่าคือผู้ใด เขาค่อย ๆ หันมาและรับคำนับจากเว่ยซ่างเจวี๋ย
“พี่ใหญ่ ไม่คิดว่าจะพบท่านที่นี่บังเอิญจริง ท่านก็ชอบดื่มชาที่เหลาหรูอี้ด้วยงั้นหรือ”
“น้องรองเจ้าช่างมาได้จังหวะพอดีเลยนะ หรือว่าเจ้า…”
เมื่ออวี้อ๋องเอ่ยถาม เว่ยอ๋องก็ถือโอกาสเดินไปอยู่ข้าง ๆ อันลี่ซินและรู้สึกได้ทันทีว่าลี่ซินยืนตัวสั่นเพราะความกลัว เขาจึงค่อย ๆ ดึงตัวนางเข้ามาใกล้ นางตกใจจนตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ
“มิได้พ่ะย่ะค่ะ ข้าไปหาลี่ซินที่จวนแต่สาวใช้บอกว่านางออกมาซื้อของกับท่านแม่ข้าก็เลยเร่งตามมา ตกลงว่าซื้อของครบแล้วหรือไม่”
“เอ่อ…”
เขากระชับอ้อมกอดเข้ามาเพื่อเป็นสัญญาณลี่ซินจึงได้รีบตอบรับและพยายามตั้งสติเพื่อพูดออกมาให้ปกติที่สุด
“ของที่ต้องจัดซื้อได้ครบเรียบร้อยแล้วเพคะ เหลือแค่ดื่มชาจอกนี้เสร็จก็จะกลับจวนแล้ว”
“พี่ใหญ่เช่นนั้นแล้วข้าขอตัวรับลี่ซินกลับจวนเลยพ่ะย่ะค่ะ ไม่รบกวนเวลาสุนทรีย์ของท่านแล้ว”
“น่าเสียดายจริง ๆ ที่มิได้ดื่มชากับเจ้า อันลี่ซินเช่นนั้นเอาไว้โอกาสหน้าเราค่อยมาดื่มชาด้วยกัน ดีหรือไม่”
ลี่ซินตัวสั่นแต่ก็พยายามตั้งสติเพราะมีเว่ยอ๋องอยู่ข้าง ๆ นางมิได้กลัวแต่รังเกียจกิริยาเช่นนี้ของอวี้อ๋องจนไม่อยากจะสนทนาพาทีกับเขาแม้แต่ประโยคเดียว ซ่างเจวี๋ยเห็นท่าทางของนางจึงรีบหันไปยิ้มให้อีกฝ่าย
“ได้สิพี่ใหญ่ เอาไว้โอกาสหน้าข้ากับลี่ซินจะเชิญท่านมาร่วมดื่มชากับ "พวกเรา" แต่วันนี้ลี่ซินคงเหนื่อยมากแล้วข้าคงต้องขอตัวพานางกลับไปส่งที่จวนก่อน"
“เจ้าเหนื่อยหรอกหรือ ข้านึกว่าเจ้ารังเกียจข้าเสียอีกอันลี่ซิน”
อันลี่ซินตัดสินใจในช่วงเวลาสุดท้ายนี้เองที่จะเงยหน้าและเผชิญหน้ากับอวี้อ๋องที่เสียมารยาทกับนางไม่เลิก ตอนนี้ข้างกายนางมีเว่ยอ๋องอยู่จึงรู้สึกลดความกลัวลง
“ขออภัยเพคะอวี้อ๋อง หม่อมฉันเพียงแค่ไม่อยากให้พระองค์เป็นที่ครหาว่าแอบมาพบปะสตรีที่มิใช่คู่หมั้นเท่านั้นมิได้มีเจตนาอื่น อีกทั้งยังต้องให้เกียรติเว่ยอ๋องคู่หมั้นของหม่อมฉันจึงมิอาจตอบรับคำเชิญ ต้องขอประทานอภัยอีกครั้งเพคะ ท่านอ๋องหม่อมฉันอยากกลับจวนแล้วเพคะ”
“ได้สิ เช่นนั้นข้าจะพาไปส่ง”
ทั้งคู่หันมามองหน้าอวี้อ๋องอีกครั้งก่อนที่จะขอตัวลาและรีบเดินออกมานอกร้านทันที
“ช่างมาได้จังหวะเสียจริงนะ นี่ขนาดยังมิได้หมั้นหมายยังตามติดไม่ห่างเช่นนี้ น้องรองเอาใจใส่คู่หมั้นดีจริง ๆ ดูแล้วช่างเป็นคู่ที่น่าอิจฉายิ่งนัก”
เว่ยซ่างเจวี๋ยที่ประคองลี่ซินออกมาก็หันมองอวี้อ๋องก่อนจะยิ้มกลับไปให้โดยมิได้แสดงอาการโกรธแต่อย่างใด
“เป็นตามที่ท่านว่าพ่ะย่ะค่ะ คู่หมั้นของข้าทั้งคนข้าก็ต้องเป็นหน้าที่ที่ข้าต้องเอาใจใส่นางอยู่แล้ว จริงสิพี่ใหญ่ข้าได้ยินว่าแม่นางเฟิ่งเองก็มาซื้อเครื่องประดับอยู่ที่ร้านทางตะวันออกเผื่อท่านอยากจะตามไป "ดูแล" นางสักหน่อยในฐานะคู่หมั้นที่ดี ทูลลาพ่ะย่ะค่ะ"
“แต่หากครั้งนี้คุณหนูเฟิ่งยังแอบติดตามพระองค์ไปอีก จะทำเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าถามก็ดีแล้ว เสด็จพ่อทรงสั่งการให้กองทัพของเฟิ่งฉวนตรึงกำลังรักษาเมืองหลวง ครั้งนี้มีอวี่เหริน (องค์ชายห้า) คอยกำกับกองทัพแทนเฟิ่งฉวนที่ถูกลดอำนาจลงเหลือเพียงรองแม่ทัพเท่านั้น”“ถึงจะมีองค์ชายห้าอยู่แต่ว่า…”“หากนางกล้าออกจากจวนคนของเราก็จะทราบทันที อีกอย่างข้าไม่ห้ามที่นางจะมาวุ่นวายที่นี่เพราะถึงอย่างไรนางต้องมาแน่ ลูกหมาป่าหรือจะสู้แม่เสือที่เฝ้าถ้ำอยู่ แม้จะไม่ได้กางกรงเล็บง่าย ๆ ข้าเชื่อว่าแค่ข่มขู่ ลูกหมาป่าก็สู้นางไม่ได้แล้ว”“เหตุใดพระองค์ดูมั่นพระทัยในตัวคุณหนูอันนักเล่าพ่ะย่ะค่ะ หรือว่าเพราะ…”“อย่าพูดเหลวไหล ที่ข้าเลือกอันลี่ซินเพราะนางเป็นคนที่รู้จักธรรมเนียมมารยาท อีกทั้งนางที่อ่อนนอกแข็งในและใช้สติในการแก้ปัญหาย่อมเหมาะสมกว่าผู้ที่ใช้แต่อารมณ์และไร้สติอย่างบุตรแม่ทัพเฟิ่งผู้นั้นแน่นอน”“ท่านอ๋อง พระองค์มิได้มีใจชอบพอนางบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้ารีบนำหนังสือนี้ออกไปส่งให้คนของเราที่นอกเมือง เตรียมการให้พร้อมก่อนที่จะออกศึกในอีกเจ็ดวันข้างหน้า”“พ่ะย่ะค่ะ”เว่ยอ๋องตัดบทองครักษ์ข้างกายในทันที เขามิอาจ
“หม่อมฉันมิได้โกรธพระองค์ เพียงแต่ว่าข่าวลือในเมืองหลวงที่หนาหูนั่นทำให้ไม่อยากเสียเวลา และไม่อยากสร้างความลำบากพระทัยให้พระองค์จึงเลือกที่จะวางเฉยปล่อยเรื่องนี้ให้เงียบไปเอง แต่ไม่คิดว่าข้าศึกจะมาประชิดเมืองทางตะวันออกอีก”“เช่นนั้นที่เจ้าทำเมินเฉยต่อข้าและไม่มาพบที่ตำหนักก็เพราะเรื่องนี้งั้นหรือ เจ้ากล้าพูดหรือว่าเจ้าไม่โกรธข้าเลยแม้แต่นิดเดียวลี่ซิน”“หม่อมฉัน… ยอมรับเพคะว่ามีเคืองใจพระองค์อยู่บ้าง แต่ว่าท่านพ่อบอกเสมอว่าให้ถือหน้าที่ของตัวเองเป็นสำคัญ การที่หม่อมฉันเลือกที่จะไม่สนใจและเพิกเฉยต่อข่าวลือทำให้ข่าวนั้นไม่มีความสำคัญอีกต่อไป”“แต่การที่เจ้าไม่ยอมพบข้า จงใจหลบหน้าข้านี่ก็เป็นสิ่งที่เจ้าปฏิเสธไม่ได้นะ”“ที่หม่อมฉันทำเช่นนั้นอาจจะไม่ถูกก็จริง แต่ว่าทุกครั้งที่พระองค์ไปที่จวนก็มิได้มีครั้งใดที่ตั้งใจจะไปหาหม่อมฉันนี่เพคะ”“ข้า…”ใช่แล้ว ทุกครั้งที่เขาไปที่จวนสกุลอันก็เพียงแค่หาเหตุผลอื่นโดยมิได้ตั้งใจจะไปหานางจริง ๆ แต่คนเช่นเว่ยอ๋องที่มีทิฐิสูงย่อมไม่กล้ายอมรับอยู่แล้วว่าจะไปง้อนาง แม้ว่านางจะเพียงแค่รอให้เขาแสดงความจริงใจแต่ก็ไม่เคยมีเลยสักครั้ง ดังนั้นนี่คือสิ่งที่นางลง
ฝ่าบาทมองเห็นเนตรที่ตื่นเต้นและโมโหจนนึกลอบขำอยู่ไม่น้อย มิใช่ว่าพระองค์จะไม่รู้เห็นสิ่งใดเลย ก่อนหน้านี้ก็ทรงเรียกราชครูอันมาไถ่ถามแล้วและพบว่าเว่ยอ๋องเองก็อยู่ไม่เป็นสุขเช่นกัน เมื่อบุตรีของราชครูวางเฉยและไม่มาพบหน้าเขาเลยตั้งแต่กลับจากศึกแดนเหนือมาได้เกือบสองเดือน“ไม่คิดว่าเจ้าจะเป็นคนที่รักษาสัญญาเช่นนี้ เจ้าคงมิได้กลัวราชครูอันโกรธใช่หรือไม่ หากว่าพ่อจะประทานสตรีสกุลเฟิ่งให้เจ้าอีกคน”“มิใช่พ่ะย่ะค่ะเพียงแต่ว่าตามที่ลูกรายงานให้พระองค์ทราบ สตรีผู้นี้สร้างความวุ่นวายให้กองทัพ อีกทั้งเฟิ่งฉวนยังใช้เรื่องนี้มาต่อรองกับลูกเพื่อให้ช่วยตัวปัญหาเช่นนาง ลูกไม่มีทางรับสตรีเช่นนี้เข้ามาในตำหนักไม่ว่าจะด้วยฐานะใด ขอเสด็จพ่อโปรดทรงอภัยที่ลูกมิอาจรับได้พ่ะย่ะค่ะ”“อืม เช่นนั้นก็ตามแต่ใจเจ้าก็แล้วกัน จริงสิเรื่องข้าศึกที่ดินแดนตะวันออกที่เริ่มก่อกบฏเจ้าคิดว่าจะจัดการเช่นไร”“ตอนนี้ลูกสั่งให้กองทัพส่วนหนึ่งดักซุ่มรอดูเหตุการณ์ อีกส่วนหนึ่งเข้าไปสืบข่าวและพบว่าสิ่งที่พวกเป่ยลี่ต้องการคือเหมืองแร่เหล็กสำหรับผลิตอาวุธพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าคิดว่าศึกครั้งนี้จะรุนแรงกว่าศึกกับแคว้นหลันหรือไม่ ครั้งก่อนแคว
“ให้ตายสิแล้วคนที่เดือดร้อนก็เป็นพวกข้า เช่นนั้นแล้วควรทำเช่นไรดีเล่าขอรับ”“ก็ต้องให้ท่านอ๋อง….”หมัวมัวพูดกับองครักษ์ต้าอู๋ แต่กลับไม่รู้เลยว่าผู้ที่ลอบแอบฟังอยู่อีกฝั่งหนึ่งกำลังยิ้มและรีบเดินกลับไปที่ห้องอักษรมองภาพวาดตรงหน้าอีกครั้ง“อันลี่ซินข้าจะดูสิว่าครั้งนี้เจ้าจะปฏิเสธไม่พบข้าได้เช่นไรกัน”วันถัดมา / หลังประชุมราชสำนัก“อาจารย์ขอรับ”“ท่านอ๋อง ทรงมีสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”“คือว่าครั้งก่อนที่ข้ากลับมาจากแดนเหนือ มีกลยุทธ์ศึกอย่างหนึ่งที่ยังไม่เข้าใจ จากที่ท่านเคยสอนข้าจดจำได้ว่ามันอยู่ในตำราหนึ่งในพิชัยยุทธ์ซึ่งอยู่ที่ห้องหนังสือในจวนของท่าน ข้าใคร่อยากจะขอติดตามเพื่อไปยืมตำราเล่มนั้นสักหน่อยขอรับ”“พิชัยยุทธ์ของจักรพรรดิตี้หวันลี่ที่สอง อ้อ เช่นนั้นเชิญท่านอ๋องเสด็จเถิดพ่ะย่ะค่ะกระหม่อมจะพาพระองค์ไปด้วยตนเอง”“ขอบคุณท่านอาจารย์”เว่ยอ๋องเดินตามราชครูอันขึ้นรถม้าไปทันที เขาพูดคุยเรื่องต่าง ๆ กับราชครูจนกระทั่งถึงจวน เมื่อลงจากรถม้าและติดตามราชครูอันเข้าไปในจวนก็เริ่มมองไปทั่ว ๆ จวนราชครูอันทราบดีอยู่แล้วว่าท่านอ๋องมิได้อยากมาหาตำราอย่างที่ตรัสเอาไว้ เพียงแค่จะหาเรื่องมาหาบุตรส
ท่านอ๋องเดินเข้าไปยังตำหนักชั้นในทันทีโดยไม่หันมามองนางอีก เฟิ่งถงหลินถูกองครักษ์ขวางเอาไว้ก่อนจะถอยออกมา พวกเขาเป็นองครักษ์ที่มิได้เหมือนทหารทั่วไป แต่เป็นองครักษ์ชั้นเยี่ยมที่ถูกส่งมาอารักขาตำหนักอ๋อง พวกเขาไม่พูดแต่จะลงมือเลย อีกทั้งไม่ปล่อยโอกาสให้เหยื่อได้ขอร้องเพราะเพียงอ้าปากก็ถูกส่งไปปรโลกแล้ว“แม่นางเฟิ่งเชิญกลับเถิดขอรับ แม่ทัพเฟิ่งรออยู่ที่รถม้านานแล้ว”“สกุลเฟิ่งช่วยพวกท่านในกองทัพครั้งก่อน เหตุใดท่านอ๋องจึงปฏิบัติกับข้าเช่นนี้”“เชิญขอรับ”“เจ้า!”เฟิ่งถงหลินได้แต่โมโหแต่ก็ต้องยอมถอย เพราะตอนนี้แม้อยากจะดื้อดึงก็ไร้ประโยชน์ นางจึงยอมกลับไปก่อนเพื่อจะไปตั้งหลัก เมื่อต้าอู๋เห็นว่านางไปแล้วจึงได้แต่ส่ายหัว“แค่โผล่ไปที่กองทัพแล้วสร้างความวุ่นวายครั้งก่อนยังไม่พอหรืออย่างไรกันนะ ยังกล้ามาแสดงตัวที่นี่อีกช่างไร้ยางอายเกินจะทนจริง ๆ”ห้องอักษรเว่ยซ่างเจวี๋ยเดินมาในห้องเพื่อมองภาพดอกเหมยที่อันลี่ซินนำมามอบให้ก่อนที่เขาจะออกศึก นับตั้งแต่วันที่เขาจูบนางที่ห้องนี้และวันที่พบนางที่หน้าจวนก่อนเข้าวัง หลังจากนั้นนางก็ไม่มาพบเขาอีกเลย“ลี่ซิน…”“ท่านอ๋อง แม่นางเฟิ่งกลับไปแล้วพ่ะย่ะค่
ลี่ซินเพียงแค่พยายามยิ้มและถอยออกมาทันทีที่มอบดอกไม้ให้เขาก่อนจะคำนับให้เว่ยอ๋องอีกครั้ง“ยังมีอีกหลายที่ที่ท่านอ๋องจะต้องเสด็จผ่าน อย่ารั้งรอเวลาที่นี่เลยเพคะ”เว่ยอ๋องรู้ว่านางต้องทำท่าทางเช่นนี้อยู่แล้ว แต่ในเวลานี้เขาไม่มีเวลาที่จะอธิบาย ลี่ซินเองก็รู้ดีว่ามิใช่เวลาที่จะมาโกรธ เว่ยซ่างเจวี๋ยคิดว่าหากนางจะต้องมาเป็นพระชายาของเขาจริง ๆ จะต้องเข้าใจบริบทการทำงานของกองทัพและผู้คนที่จะเข้ามาทำงานร่วมกับเขาด้วย “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”ลี่ซินย่อคำนับก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นและทันได้เห็นรอยยิ้มเย้ยหยันเล็กน้อยของสตรีที่สวมเพียงเกราะอ่อนที่อยู่ด้านหลังเยื้องไปค่อนข้างไกลจากท่านอ๋องแม้จะมิได้เคียงข้างและไม่ได้เป็นที่สนใจ แต่อย่างน้อยนางก็ร่วมเดินทางไปกับกองทัพด้วย ลี่ซินเพียงแค่ยิ้มตอบกลับไปทำเอาเฟิ่งถงหลินนึกแปลกใจจนทำหน้าไม่ถูก เมื่อขบวนค่อย ๆ ผ่านจวนสกุลอันไป‘เหตุใดนางจึงยังยืนยิ้มด้วยสีหน้าน่าหมั่นไส้นั้นให้ข้า นี่นางไม่หึงเว่ยอ๋องกับข้าเลยงั้นหรือ’ขบวนผ่านไปกว่าครึ่งแล้วเมื่อลี่ซินขอตัวเข้าไปในจวนพร้อมกับอาหรูที่พยุงนางไปนั่งที่ศาลา มือนางสั่นจนเกือบซ่อนอาการเอาไว้ไม่มิด แม้นว่าในตอนนี้