เข้าสู่ระบบทว่ากลางเปลวไฟที่ลุกโซน ร่างสูงใหญ่ของชายในชุดดำ ได้ปรากฏขึ้น เท้าหนาก้าวตรงไปยังร่างที่อาบไปด้วยเลือด ร่างสูงย่อกายลงคุกเข่าข้างๆ สองพี่น้อง ก่อนที่เขาจะประคองร่างนั้นพลิกเข้าสู่อ้อมแขน
“...”
ดวงตาที่ปิดสนิทพยายามขยับกรอกไปมา เพื่อเปิดขึ้นมองผู้ที่มาแตะต้องตัวของนาง เพียงชั่วแวบเท่านั้นที่เปลือกตาขยับเปิดขึ้น และมันเป็นการเปิดครั้งสุดท้าย ก่อนที่มันจะปิดลงตลอดกาล ขอบคุณที่เจ้ามาหาข้าสหาย ผู้ที่ข้ามองข้ามาตลอด
“ข้าขอโทษที่มาช้า คังอัน! อ๊าก!!!”
น้ำเสียงอ่อนโยนในคราแรก แปรเปลี่ยนเป็นคำรามก้อง แข่งกับเสียงไม้ที่ถูกไฟเผาแตกดังรอบกาย ชายหนุ่มปลดผ้าคลุมห่อกายหญิงสาวเอาไว้ ก่อนจะส่งสัญญาณ เรียกผู้ติดตามให้มาช่วยพาร่างของบุตรสาวคนเล็ก ของสกุลลั่วไปด้วย ร่างสูงหายไปท่ามกลางเปลวเพลิงโหมกระหน่ำ พร้อมกับสองร่างไร้ลมหายใจ และหนึ่งศีรษะของชายผู้เป็นรั้วของแผ่นดิน
“คัง! เจ้าหลับหรืออย่างไร”
ดวงตาที่ปิดสนิทเมื่อครู่ ค่อยๆ เลิดขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะกวาดตามองสหายทั้งหก ที่จับจ้องตนเองเป็นตาเดียว
“เรียบร้อยแล้วหรือ”
ผู้ที่ถูกเรียกคัง เอ่ยถามทุกคนด้วยน้ำเสียงที่ดูอ่อนล้า ต่างจากก่อนหน้าเสียลิบลับเลย
“อืม...เจ้าไม่เป็นอะไรแน่นะ” หนึ่งในหกเอ่ยถามสหายรัก ด้วยความห่วงใย
“ข้าแค่พักสายตาเท่านั้น”
แม้ปากจะบอกว่าไม่ ทว่าภายใต้ชุดที่สวมอยู่ กลับเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ อากาศหนาวเหน็บแค่ไหน ก็คงไม่เทียบเท่าไฟแค้นในใจของนางได้
นางจดจำได้ว่ากลางดึกคืนนั้น ก่อนวันปักปิ่นเพียงหนึ่งวัน นางตื่นขึ้นมาในสภาพเหงื่อโซมกาย ในตอนนั้นนางยังไม่อยากเชื่อ ว่าจะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อนางได้มีโอกาสเลือกใหม่อีกครั้ง มีหรือนางจะยินยอมกลับไปยังเส้นทางเดิม
หลังปักปิ่นเพียงข้ามคืน นางเลือกที่จะควบม้าสู่ชายแดน เพื่อมาอยู่ในกองทัพกับพี่ชาย ยิ่งเมื่อนึกถึงพี่ชายคนโตของบ้าน นางก็มั่นใจแล้วว่าลั่วเยี่ยนคัง ไม่ได้ตายด้วยน้ำมือโจรป่า ซึ่งมันเกิดขึ้นหลังนางในชีวิตเดิม ออกเรือนได้เพียงสามเดือนเท่านั้น
กองทัพเรือนแสนของสองสกุล ตกอยู่ในมือของจิ้งหยวน เจ้าคนต่ำช้านั่น เพราะเขาใช้สิทธิ์การดูแลกองทัพแทนพี่ชาย และตัวนางตามฐานะของสามี
‘เจ้าจะไม่มีวันได้แตะต้อง ครอบครัวข้าอีกจิ้งหยวน’
หากไม่เพราะอ๋องจิ้งไม่ยอมเลิกรา นางคงไม่ต้องเดินทางกลับเข้าเมืองหลวง เพื่อสะสางปัญหานี้ให้จบสิ้น รวมถึงเรื่องสำคัญบางอย่างด้วย
“ถ้าเรียบร้อยเราเดินทางกันเถอะ เสียเวลามามากแล้ว”
คังเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียง ที่เริ่มเป็นปกติ ไม่สั่นไหวเยี่ยงเมื่อครู่นี้ เหตุผลที่พวกเขาเลือกที่จะพักในโรงเตี๊ยม ก่อนเดินทางสู่เมืองหลวง ก็เพราะต้องการข่าวสารที่หลากหลาย เพื่อประกอบการตัดสินใจในหลายๆ อย่าง
“คุณชายข้าน้อย จัดการเรื่องเสบียงเรียบร้อยแล้วขอรับ”
สาวใช้คนสนิท ในคราบของบ่าวรับใช้ ได้เดินเข้ามารายงาน สำหรับความพร้อมในการเดินทางครั้งนี้ ทั้งหมดจึงลุกขึ้นเดินออกจากร้านเหล้าไป ท่ามกลางสายตาชื่นชมจากหลายๆ คนที่อดไม่ได้กับการมอง ความสง่างามของคนทั้งเจ็ด หากหนึ่งในนี้มองบุตรสาวพวกเขาสักคน คงดีไม่น้อยเลย
จวนสกุลหยาง ณ เรือนเหยาเกอ
ภายในห้องนอนอันโอ่อ่า สมฐานะของสกุลมหาเสนาบดี ซึ่งห้องนี้เป็นของทายาทคนโต ผู้เป็นหลานชายที่ถูกคนทั้งเมืองกล่าวขวัญถึงความไร้ค่า
ทว่าเรื่องเหล่านี้ ไม่ได้ทำให้ท่านมหาเสนาบดีหยาง คิดจะละทิ้งหลานชายคนโตแม้แต่น้อย เขากลับมอบคนดูแลที่ดีที่สุด และตำแหน่งผู้นำตระกูลคนต่อไป เขาก็วางตัวของหลานชายอันเป็นที่รัก ให้เป็นผู้ครอบครอง
บนเตียงกว้างในตอนนี้ ร่างสูงที่นอนอยู่เริ่มขยับกาย ให้รู้ว่าเขาได้ตื่นแล้ว พ่อบ้านสูงวัยที่กำลังจัดเตรียมทุกอย่างรอผู้เป็นนาย รีบวางสิ่งของในมือลง แล้วก้าวยาวๆ ไปยังเตียงนอนในทันที
“คุณชายค่อยๆ นะขอรับ”
พ่อบ้านสูงวัยคอยประคอง ให้ผู้เป็นนายน้อย ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงด้วยความใส่ใจ
“ท่านลุงโจว พักผ่อนบ้างเถอะขอรับ ข้าเจ็บป่วยจนชินแล้ว”
ชายหนุ่มเอ่ยกับพ่อบ้าน ที่รับหน้าที่ดูแลเขาอย่างใกล้ชิด มาตั้งแต่เขาลืมตาดูโลกจนถึงวันนี้ เพียงแค่เมื่อวานเขารู้สึกมีไข้ ท่านลุงโจวจึงเฝ้าไม่ห่างตาเลยก็ว่าได้
“มันมิใช่เพียงหน้าที่นะขอรับ แต่ข้าน้อยทำด้วยความรักที่มีต่อคุณชายขอรับ”
โจวเชา พูดไปขณะที่กำลังใช้ผ้าหมาดๆ เช็ดตามใบหน้าให้แก่ผู้เป็นนาย ชายหนุ่มหลับตาลงเพื่อให้พ่อบ้านโจว ทำได้อย่างสะดวก เพราะต่อให้เขาลืมตา ก็ยากจะมองเห็นสิ่งใดได้อยู่ดี
นอกจากตาจะบอด ขายังคงไร้หนทางกลับมาเดินได้อีก ช่างน่าอนาถใจนัก สำหรับทายาทคนโตของสกุลมหาเสนาบดี การที่เขายังอยู่ตรงนี้ได้ ด้วยบารมีของท่านปู่กับท่านย่าเท่านั้น หากวันใดไร้คนทั้งคู่ เขาก็คงไม่ต่างจากขอนไม้ผุพัง
“พี่สะใภ้มานั่นแล้วเจ้าค่ะ ท่านป้าท่านแม่” เพียงก้าวพ้นเขตเรือน เข้าไปในส่วนของสวนดอกไม้ เสียงของหยางหลิวหลีก็ดังขึ้นให้ได้ยิน ลั่วคังอัน ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนจะเดินเข้าไปหาทุกคน “คังอันเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ลั่วฮูหยินรีบเดินเข้ามาถามบุตรสาว ด้วยเห็นว่าอยู่ๆ คนเป้นลูกก้หายไปนาน หากเพียงแค่ล้างหน้าล้างตา ก็ควรกลับมาตั้งนานแล้ว อีกทั้งยังเห็นคนของท่านหญิงหลิว วิ่งวุ่นราวกำลังตามหาใครอยู่ “ข้าเพียงออกไปเดินดูรอบๆ เรือนเพื่อผ่อนคลายเล็กน้อยเท่านั้นเจ้าค่ะ ข้าต้องขอโทษที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง” แม่ทัพสาวไม่ได้บอกถึงความจริงใดๆ เพราะมันมิใช่สิ่งจำเป็น และนางรู้ว่ามารดาเอง ก็คงจะพอรู้ถึงเหตุผลที่นางยกมาอ้างแล้ว “เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว คงเพราะเมื่อคนนอนดึก ต้องตื่นแต่เช้าอีกในวันนี้ เจ้าคงเพลียสินะ เช่นนั้นเรากลับกันเลยดีไหม” หยางฮูหยินเอ่ยชักชวนสะใภ้กลับจวนเสีย นางเองก็ไม่ได้สนุกนัก ที่ต้องมานั่งฟังคนคอยเหน็บแนม เรื่องที่นางได้ไม้ใหญ่เช่นสกุลลั่ว มาเป็นที่ยึดเหนี่ยว “หากท่านแม่กับน้องหญิงอยากที่จะกลับ ข้าก็มิได้ขัดข้องเ
“อื้อ...ข้าชอบเจ้าที่แข็งแกร่งเยี่ยงนี้ โอ้ย!”ทว่ายังไม่ทันได้ทำสิ่งใดต่อ ร่างอิ่มของท่านหญิงหลิวก็ลงไปกองอยู่กับพื้น เมื่อนางถูกผลักออกจากตักของลั่วคังอัน จนเสียหลักล้มลงกับพื้น นั่นทำให้ท่านหญิง ตวัดสายตาคาดโทษแม่ทัพสาว ที่บังอาจปฏิเสธนางอย่างไม่คิดใยดีลั่วคังอันรีบลุกพรวดขึ้นในทันที หลังจากที่ผลักคนบนตักออกไปได้แล้ว ลั่วคังอันก้าวตรงไปที่ประตู เพื่อจะออกไปจากห้องนี้ให้เร็วที่สุด กึก! กึก! มือหยาบพยายามดันประตูให้เปิดออก ทว่ามันกลับไม่เป็นอย่างที่ตั้งใจ นั่นแสดงว่ามันถูกลงดานจากด้านนอกนั่นเอง ลั่วคังอันขบกรามแน่น ก่อนจะขยับถอยห่างจากประตูออกมาเล็กน้อย แล้วยกเท้าขึ้นถีบประตูเต็มแรง ปัง! ประตูบานใหญ่เปิดออกกว้างและนั่นทำให้สาวใช้ของท่านหญิง ที่รออยู่ด้านนอกถึงกับตกใจสุดขีด ที่อยู่ๆ ประตูก็เปิดออก ทั้งที่พวกนางปิดเอาไว้เป็นอย่างดี ตามคำสั่งของผู้เป็นนาย ก่อนที่ทุกคนจะพากันก้มหน้านิ่ง เมื่อเห็นสายตาดุดันของผู้ที่ก้าวออกมายืนมองพวกนาง อยู่ที่หน้าประตูห้องแม่ทัพสาวกวาดสายตามองคนเหล่านั้น ด้วยความรู้สึกขยะแขยงสิ้นดี ก่อนที่นางจะเดินจากไป โดยไม่สนใจเสียงเรียกจากคนภายในห้อง บ้าบอเกินไปแล
“ขะ...ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ถ้าอย่างไร ข้าขอตัวไปล้างหน้าล้างตาสักครู่ก่อนนะเจ้าคะ พอดีข้ารู้สึกว่าอากาศมันอบอ้าวไปสีกหน่อย”แม่ทัพสาวจำต้องเอ่ยปาก เมื่อร่างกายของนาง มันกำลังร่ำร้องให้ถูกสัมผัส ยิ่งมือนุ่มนิ่มของท่านหญิงหลิว วนเวียนกับใบหน้านางไม่ห่าง ความร้อนรุ่มในกาย ยิ่งปะทุรุนแรงขึ้นมากเท่านั้นต่อให้ใครจะไม่เชื่อว่าวันนี้ อากาศอบอ้าวจนไม่สบายตัว นั่นก็ปัญหาของคนเหล่านั้น แต่ปัญหาของนาง คือร่างกายที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน มิอาจรอช้าไปมากกว่านี้ได้แล้ว หาไม่คงเกิดเรื่องไม่เหมาะสมขึ้นได้“เช่นนั้นข้าพาเจ้าไปดีกว่า เพราะอย่างไรวันนี้ข้าก็คือผู้ดูแลงาน”ท่านหญิงหลิว รีบเสนอการช่วยเหลือในทันที ด้วยข้ออ้างเรื่องการเป็นผู้นำงานเลี้ยง ตัวแทนขององค์หญิงใหญ่ และนั่นทำให้ลั่วคังอันรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย เพราะนางไม่อาจคาดเดาได้ ว่าท่านหญิงหลิวคิดจะทำสิ่งใดกับนางต่อจากนี้“พี่หญิงเป็นอันใดไปเจ้าคะ”เป็นลั่วอันผิง ที่เดินเข้ามาถามพี่สาว โดยมีหยางหลิวหลีติดตามมาด้วย นางสักเกตมาสักพักแล้ว ว่าพี่สาวดูไม่ค่อยสบายเท่าใดนัก แต่เมื่อยังไม่ถูกเรียกนางก็มิอาจจะก้าวก่าย แต่เมื่อเห็นอยู่ๆ พี่สาวก็ล
“ขอบคุณท่านหญิง ที่ให้เกียรติข้าผู้น้อยเจ้าค่ะ”หลังจากวางจอกสุราลงในถาด คืนแก่สาวใช้ของท่านหญิง ลั่วคังอันจึงได้เอ่ยของคุณท่านหญิงหลิวอีกครั้ง นางจดจำไม่ได้เลยว่าชาติที่แล้ว นางมีเรื่องไม่ลงรอยใดกับท่านหญิงหรือไม่ ไยจึงได้ลงมือต่อนางเยี่ยงนี้ ทว่าลั่วคังอันยังคงไม่เผยสิ่งใดออกมา“มานั่งนี้เถอะ คุยกันสักหน่อย ตั้งแต่เจ้าออกจากเมืองหลวงไป น้อยนักที่จะได้พบกัน”มือนุ่มของท่านหญิงหลิว คว้าข้อมือของแม่ทัพสาว แล้วจูงพานางไปนั่งลงไม่ได้ห่างจากที่เดิมเท่าใดนัก ลั่วคังอันหันมองไปที่แม่สามี กับมารดาของตน ที่ตอนนี้ทั้งคู่ได้เพียงแค่ส่งยิ้มมาให้ ก่อนจะพากันเดินจากไป เพื่อพูดคุยกับบรรดาฮูหยินบ้านอื่นต่อ“งานเลี้ยงวันนี้ทำให้เจ้าลำบากใจหรือไม่ เมื่อคืนนี้เป็นคืนเข้าหอของเจ้า ทว่าเช้ากลับต้องมาที่นี่ ปล่อยสามีทิ้งร้างเฝ้าห้องหอเพียงลำพัง ทำให้ข้าที่เป็นเจ้าภาพรู้สึกผิดยิ่งนัก”เป็นคำถามที่ดูเหมือนจะทั่วไป ทว่าสายตาและน้ำเสียงนั้น คล้ายจะแสดงความตัดพ้อนางอย่างไรไม่รู้ หากจำไม่ผิดนางเคยพบท่านหญิงหลิวเมื่อปีกลาย ตอนที่ท่านหญิงติดตามบิดาไปชายแดน ถูกโจรป่าดักปล้น ก่อนจะถึงชายแดนเพียงเล็กน้อย เป็นนางที่ไ
“เจ้าบังอาจนัก! กล้าทำให้จวนอ๋องถูกมองไม่ดี เห็นทีข้าจะมองข้ามเจ้ามากเกินไป ใครอยู่ข้างนอก! นำนังบ่าวชั้นต่ำไปโบยให้ข้าที”ชูเฟยชี้นิ้วสั่นระริกไปที่สาวใช้ของอนุชิง นางไม่อยากจะเชื่อว่ายังมีคนโง่ขนาดนี้อยู่ในโลก ถึงขนาดกล้าไปดูหมิ่นขุนนางในราชสำนัก แม้ว่าลั่วคังอันจะเป็นสตรี แต่ก็คือหนึ่งในผู้เป็นกำลังสำคัญของแผ่นดิน ขนาดสามีของนาง ยังต้องไว้หน้าอีกฝ่ายอยู่หลายส่วน แล้วสาวใช้จากสกุลขุนนางเล็กๆ กล้าดีอย่างไรถึงพูดจาไม่คิดได้ขนาดนี้หากจะบอกว่าลั่วคังอันใส่ความ คงยากที่จะพูดแบบนั้นได้ เพราะดูจากสายตาของผู้อื่น ที่ยืนอยู่รายรอบ ทุกคนล้วนซุบซิบกันให้นางได้ยิน ว่าคนที่เริ่มเรื่องนี้ก่อน เป็นคนของจวนอ๋อง ชิงอวี่ถง สตรีน่าตายผู้นี้ ไยจึงต้องมาอยู่ร่วมบ้านกับนางด้วยนะ!“ท่านแม่ เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าเอง ที่อบรมนางไม่ดี หากจะลงโทษ ให้ลงโทษที่ข้าเถอะเจ้าค่ะ อีกอย่างข้าไม่คิดว่าการหยอกเย้าของข้า จะทำให้ท่านทัพลั่วไม่พอใจ หรือเพราะนางมองข้าเป็นศัตรู ที่แย่งชิงความรักของท่านอ๋องมาก็มิรู้”ชิงอวี่ถง แสร้งแสดงตัวเป็นคนที่รู้ผิด แต่ยังมิวายโยนความคิดไม่ดีไปที่ลั่วคังอัน มีใครในเมืองหลวงไม่รู้ว่าล
“ท่านแม่ทัพล้อข้าเล่นแล้ว มีหรือข้าจะอาจหาญกล่าวหาท่านแม่ทัพเช่นนั้นได้”ชิงอวี่ถง เอ่ยด้วยรอยยิ้มไม่เต็มหน้านัก เพราะคำพูดของลั่วคังอัน มิได้เบาหรือดังไป แต่คนที่ร่วมงาน ก็วนเวียนอยู่ใกล้ๆ เพื่อจะฟังเรื่องราวการสนทนาระหว่างนางสองคน“ข้ามางานเลี้ยงตามคำเชิญ และข้าก็ไม่ได้คลั่งไคล้กับเรื่องในห้องนอน จนละเลยต่อหน้าที่ของตนเอง ดังนั้นการจะออกมาจากบ้าน หลังแต่งงานเพียงวันเดียว หาใช่เรื่องผิดต่อธรรมเนียมใดๆ ไม่”แม่ทัพสาวหันไปสบสายตา กับสตรีที่เคยทำให้ครอบครัวของนาง ต้องตายอย่างอนาถ คนที่ตั้งใจให้บุรุษมากมาย ข่มเหงน้องสาวคนเดียวของนาง หากนางจะแก้แค้นก็ย่อมไม่ถือว่าใจดำแต่วันนี้นางยังไม่อยากลงมือ เพราะมันจะทำให้อีกฝ่ายสบายเกินไป ต้องรอให้ถึงโอกาสที่เหมาะสม นางจะตอบแทนชายชั่วหญิงเลวไปพร้อมๆ กัน เช่นที่ทั้งคู่เคยร่วมมือกันสังหารนาง“ข้าก็มิได้หมายความเช่นนั้นสักหน่อยนี่เจ้าคะ ก็แค่แปลกใจว่าทำไมจึงไม่อยู่จวนอีกสักหน่อย ค่อยออกมาเริงร่านอกบ้าน”ชิงอวี่ถง ยังคงไม่ลดละที่จะทำให้อีกฝ่าย รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ที่ได้คู่ครองบกพร่อง ไม่เหมือนนางที่ได้สามี เป็นชนชั้นสูงและหล่อเหลา ร่างกายสมบูรณ์พร้อม เ







