ซินเยว่นั่งรอให้ฮุ่ยหลิงกลับมาเพื่อจะได้ถามไถ่เรื่องราวต่างๆ ที่นางได้เกริ่นไว้ก่อนหน้านี้ แต่ฮุ่ยหลิงยังไม่ทันได้กลับมานางก็ได้ยินเสียงโวยวายด้านนอกจึงเปิดประตูออกไปดู ด้านหน้าเรือนหลังเล็กที่ดูซอมซ่อแทบจะพังลงมาทับผู้อาศัยอยู่ด้านใน ทุกครั้งที่มีลมพัดจะมีเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดตามมา เด็กสาวหน้าตาน่ารักแต่งกายด้วยชุดฮั่นฝูสีแดงปักลายดอก เหมยฮวาดูสดใส ไว้ผมหน้าม้าถักเปียสองข้างแล้วมัดรวบคล้ายทรงนางเซียน อายุราวสิบสี่สิบห้าแต่ใบหน้ากลับบิดเบี้ยวเพราะความโกรธ นางคือ'หยางหลันฮวา' น้องสาวต่างมารดาของหยางซินเยว่
หยางหลันฮวายืนชี้นิ้วอย่างเกรี้ยวกราดสั่งการให้หญิงสาวอีกสองคนอายุราวยี่สิบปีจับฮุ่ยหลิงเอาไว้
"นางไพร่เป็นเเค่ขี้ข้าบังอาจมาขวางทางข้าอย่างนั้นหรือ จิงอี ลี่หลิน ตบปากสั่งสอนนางบ่าวไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงคนนี้ซะ"
จิงอีตบหน้าฮุ่ยหลิงสองทีอย่างเต็มแรงแต่จู่ๆ ก็มีน้ำเย็นสาดใส่พวกนางทั้งสามคนเสียงกรีดร้องโวยวายขึ้นทันทีเพราะความเย็น
"อ๊าย....ใครมันกล้าบังอาจสาดน้ำเย็นใส่ข้า"
เมื่อทั้งสี่คนหันมาก็พบกับซินเยว่ถือถังน้ำยืนพิงกรอบประตูด้วยใบหน้าซีดขาว มองพวกนางด้วยสายตาเฉยเมย
"หยางซินเยว่เจ้าบังอาจสาดน้ำใส่ข้า เจ้าอยากโดนเเส้ม้าเฆี่ยนจนตายมากใช่หรือไม่ วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสเเซ่ม้าอีกครั้งจะได้ไม่ลืมว่ารสชาติของมันเป็นเช่นไร"
หยางหลันฮวาด่าทอผรุสวาทใบหน้าบิดเบี้ยวไม่หลงเหลือความงามอีกต่อไป นางใช้สายตามองซินเยว่ด้วยความเกลียดชัง เมื่อซินเยว่ได้ยินเช่นนั้นนางก็รู้ทันทีว่าใครคือคนที่ทำให้ร่างของนางเจ็บระบมจนถึงตอนนี้ เรื่องแบบนี้ถ้านางไม่ตอบแทนจะเสียน้ำใจเอาได้
รอก่อนเถอะรอให้แข็งแรงมากกว่านี้นางจะสนองพระเดชพระคุณให้ถึงใจ ซินเยว่กระตุกยิ้มมุมปากเอ่ยขึ้นมาเรียบๆ อย่างไม่ใส่ใจในน้ำเสียงอันเกรี้ยวกราดของหยางหลันฮวา
"นึกว่าหมากัดกันเลยสาดน้ำให้เเยก โดนน้ำสาดไปแล้วก็แยกย้ายเสียทีหรืออยากโดนอีกถัง"
พูดจบซินเยว่ก็โยนถังน้ำไปที่เท้าของพวกนาง แล้วเดินหันหลังกลับเข้าเรือนพยักหน้าให้ฮุ่ยหลิงเดินตามมาโดยไม่สนใจพวกนางอีก ตอนนี้นางยังไม่เเข็งเเรงพอจะสู้กับใครได้ต้องขอชิ่งไปก่อน
"เจ้าสวะอย่าคิดว่าจะหนีไปได้นะ"
เด็กสาวจะตามเข้าไปเอาเรื่องซินเยว่ในเรือนแต่ถูกบ่าวทั้งสองห้ามเอาไว้
"คุณหนูรองเจ้าคะบ่าวว่าเรากลับกันก่อนเถอะเจ้าค่ะถ้ามีเรื่องอีกคราวนี้ท่านแม่ทัพต้องลงโทษคุณหนูแน่ๆ บ่าวว่าเราหาทางทำให้พวกนางถูกขับออกจากจวนตระกูลหยางไม่ดีกว่าหรือ ฮูหยินรองก็จะได้เลื่อนขั้นเป็นฮูหยินใหญ่ส่วนคุณหนูเองก็จะได้เป็นคุณหนูใหญ่ของจวน แล้วการหมั้นหมายกับองค์ชายสามก็จะต้องตกเป็นของคุณหนูอย่างไรเล่าเจ้าคะ"
หยางหลันฮวาได้ยินดังนั้นก็รู้สึกอารมณ์เย็นลงเล็กน้อยเมื่อนึกถึงใบหน้าอันหล่อเหลาของชายที่นางหลงรักมานานหลายปี แต่เขากลับต้องกลายมาเป็นคู่หมายของคุณหนูใหญ่จวนแม่ทัพก็คือหยางซินเยว่หญิงอัปลักษณ์คนนั้น
"ถ้าไม่มีหยางซินเยว่กับแม่ของมันสักคนข้าก็คงไม่ต้องกลายมาเป็นลูกอนุเช่นทุกวันนี้ ข้าเหนือกว่ามันทุกอย่างเศษสวะอย่างมันมีสิ่งใดเทียบข้าได้เหตุใดมันถึงได้เป็นคู่หมั้นขององค์ชายสาม เพียงแค่เพราะมันเกิดก่อนไม่กี่เดือนอย่างนั้นหรือ"
หยางหลันฮวามองไปยังเรือนของซินเยว่ด้วยสายตาเกลียดชังนางสะบัดเเขนเสื้อแล้วหมุนตัวเดินจากไปอย่างหัวเสีย เมื่อเสียงด้านนอกเงียบลงฮุ่ยหลิงจึงเดินเข้ามาในห้อง ใบหน้าของนางมีรอยบวมเเดงของฝ่ามือทั้งสองแก้ม ซินเยว่เห็นดังนั้นก็ถอนหายใจออกมายาวๆ
"ทำไมปลอยให้พวกนางทำร้ายเจ้าอยู่ฝ่ายเดียว"
ฮุ่ยหลิงน้ำตาคลอใกล้จะร้องไห้อยู่รอมร่อ
"บ่าวสู้พวกนางไม่ได้เจ้าค่ะพลังปราณของบ่าวเพียงแค่สีแดงขั้นกลางส่วนพวกนางสีแดงขั้นสูงอีกอย่างบ่าวเป็นเพียงทาสในเรือน จะอาจหาญต่อสู้กับเจ้านายได้อย่างไร แต่ไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะถึงแม้บ่าวจะสู้พวกนางไม่ได้แต่บ่าวจะปกป้องคุณหนูด้วยชีวิตของบ่าวเองจะไม่ยอมให้พวกนางมารังแกคุณหนูได้อีก"
ฮุ่ยหลิงมองซินเยว่ด้วยสายตารักเคารพและเทิดทูน นางจะไม่มีวันทรยศคุณหนูของนางเป็นอันขาด
หลังจากสลบไปคราวนั้นฮุ่ยหลิงก็รู้สึกได้ว่าคุณหนูของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อก่อนคุณหนูไม่เคยแม้แต่จะกล้าเงยหน้าต่อปากกับคุณหนูรองเลยเเม้เพียงครึ่งคำ ครั้งนี้กลับต่างออกไปแต่เป็นเช่นนี้ก็ดีนางอยากให้คุณหนูลุกขึ้นสู้กลับบ้าง ไม่อยากให้นางถูกรังแกอยู่ฝ่ายเดียว
ปลายยามซื่อ (09.00-10.59) เมื่อซินเยว่ได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับตัวนางและแผ่นดินที่นางอยู่ตอนนี้จากคำบอกเล่าของฮุ่ยหลิง ทำให้สมองน้อยๆ ที่อยู่ในหัวของนางทำงานอย่างหนัก
นี่แปลว่าที่นางถูกวางยาพิษในแชมเปญนางตายไปแล้วในโลกก่อนไม่ได้ถูกช่วยเเต่มาเกิดใหม่ในร่างหยางซินเยว่ เป็นแบบนี้ได้ยังไง หรือตอนนี้นางแค่มาสิงอยู่ในร่างนี้ชั่วคราวแล้วหยางซินเยว่อีกคนล่ะนางอยู่ที่ไหนนางจะกลับมาเอาร่างคืนหรือไม่ คำถามมากมายประเดประดังเข้ามา คิดยังไงก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ จากที่สรุปคร่าวๆ ที่นี่ก็คือแผ่นดินที่ใครๆ ต่างเรียกว่า 'ทวีปชิวหลิง'
ระดับพลังปราณแห่งทวีปชิวหลิงแบ่งออกเป็น เจ็ดระดับตามสีของพลังคือ ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง ส้ม แดง ยิ่งมีพลังยุทธ์แก่กล้าสีของพลังก็จะเลื่อนขั้นขึ้น สีแดง คือระดับต่ำสุด สีม่วง คือระดับสูงสุด แต่ละระดับมีสามขั้นคือ ขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นสูง
แต่ยังมีระดับที่สูงขึ้นไปกว่าระดับพลังขั้นสีคือ ขั้นสร้างฐานราก ขั้นเจี๋ยตัน ขั้นหยวนหยิง ขั้นสร้างจิต วิญญาณ ขั้นแปลงจิต และถ้าหากฝึกถึงขั้นสร้างฐานราก
ผู้ที่ฝึกพลังปราณก็จะมีอายุที่ยืนขึ้นตามพลังปราณที่มี ที่ทวีปชิงหลิงมีผู้ที่ฝึกสำเร็จเพียงนับนิ้วได้ พวกเขาเหล่านั้นต่างเร้นกายและถูกเรียกขานว่าปรามาจารย์ยอดยุทธ
ซึ่งเรื่องเหล่านี้นางไม่รู้จักไม่เคยได้ยินชื่อในแม้หนังสือประวัติศาสตร์เล่มไหนเลย แถมคนที่นี่ยังมีพลังปราณ พลังยุทธ์ มีการฝึกวิชาตัวเบาเหาะเหินเดินอากาศ เหมือนในหนังแฟนตาซีมีสัตว์อสูรไว้เป็น สัตว์เลี้ยง ส่วนใครที่ไม่มีพลังปราณจะถูกตราหน้าว่าเป็นขยะเป็นสวะ ผู้คนดูถูกรังแกไร้ค่ายิ่งกว่าขอทาน ซึ่งทวีปนี้ยังไม่เคยได้ยินว่ามีใครไม่มีพลังปราณจนกระทั่งหยางซินเยว่เกิดมา ซินเยว่ถอนหายใจออกมาเบาๆ
หยางซินเยว่เกิดในตระกูลนักรบแต่กลับไร้พลังปราณซึ่งไม่แปลกเลยที่จะโด่งดังขนาดนี้ ทุกคนเมื่ออายุครบเจ็ดปีก็ต้องเข้ารับการทดสอบพลังปราณ แต่นางที่เป็นถึงบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ของแคว้น หยางจิ่งเทียนกับฮูหยินเอกเซวี่ยฟังเฟยแต่กลับไม่มีพลังปราณเหมือนบิดามารดา
'เรื่องนี้ชักจะแหม่งๆ แฮะ'
จะเป็นไปได้ยังไงขนาดบ่าวในเรือนยังมีพลังปราณบิดามารดาของหยางซินเยว่ก็มีพลังปราณแล้วทำไมหยางซินเยว่ถึงได้เกิดมาเป็นขยะเรื่องนี้คงต้องสืบดูอีกทีเพราะถึงยังไงเราก็ต้องอยู่ในร่างนี้ไม่ว่าจะชั่วคราวหรือตลอดไป คงจะปล่อยให้ร่างนี้เป็นอันตรายไม่ได้
บิดาของหยางซินเยว่หยางจิ่งเทียนเป็นแม่ทัพใหญ่ของ 'เเคว้นฉิง' มีฮูหยินเอกคือเซวี่ยฟังเฟยมารดาของหยางซินเยว่ ฮูหยินรอง มู่เซี่ยอี่ อนุสาม เหยียนเหมยฟาง อนุสี่ หลิวอี้หลิน หยางจิ่งเทียน มีลูกกับฮูหยินรองสองคนคือ หยางหลันฮวา อายุสิบห้าปีเกิดทีหลัง ซินเยว่ สองเดือน และหยางซีซวนอายุสิบปี อนุสามไม่มีลูกส่วนอนุสี่พึ่งรับเข้ามาเมื่อปลายปีที่แล้วคลอดแฝดชายหญิงชื่อหยางชิงหลงและหยางชิงชิงพึ่งจะอายุได้เพียงสองเดือน
ตอนนี้แม่ทัพหยางเห่อลูกแฝดทั้งสองมากส่วนฮูหยินรองมู่เซี่ยอี่นางพยายามจะขึ้นเป็นใหญ่ในจวนตะกูลหยางคอยจัดเเจงเรื่องต่างๆ เพราะถือว่าตนเป็นคนโปรดและมีบุตรชายสืบสกุลให้หยางจิ่งเทียน นางอยากปกครองเรือนหลังมานานแล้ว ตั้งแต่แต่งเข้าจวนสกุลหยางนางก็วางแผนมาโดยตลอด ต่อหน้าทำตัวอ่อนหวานลับหลังคอยหาเรื่องให้เซวี่ยฟังเฟยถูกลงโทษ
“เสี่ยวเป่าเจ้าต้องช่วยข้า”เสี่ยวเป่าเหมือนจะรู้ว่าเสี่ยวหงต้องการจะทำอะไร มันกระโดดไปที่นางแล้วคายแก่นพลังของมันวางไว้บนมือของเสี่ยวหง ซินเยว่ที่กำลังโรมรันอยู่กับไป๋ซวี่เฟิงไม่ทันเห็นสิ่งที่พวกเขากำลังทำ‘ฝากเจ้าดูแลนางด้วยนะแล้วอย่าลืมไปตามหาข้าเล่า’เสี่ยวหงพูดกับเสี่ยวเป่าที่ตัวหดเล็กลงกลายเป็นก้อนขนอีกครั้ง เสี่ยวหงใช้แก่นพลังของนางและเสี่ยวเป่าที่บำเพ็ญมายาวนานเพื่อผนึกร่างของไป๋ซวี่เฟิงเอาไว้จากนั้นนางระเบิดแก่นพลังของตนเพื่อทำลายดวงจิตของเขาก่อนที่นางจะหายไป เสี่ยวหงส่งกระแสจิตมาที่ซินเยว่‘แม้ว่าข้าจะตายไปแล้วเกิดใหม่อยู่ที่ใดข้าและเจ้าจะยังคงผูกพัน ในชาตินี้ข้าตายไปก่อนเมื่อถึงเวลาจุติอีกครั้งหวังว่าเจ้าจะตาหาข้าจนพบ’น้ำตาหยดสุดท้ายหลั่งออกมาจากดวงตาหงส์คู่งามของเสี่ยวหง ไป๋เยี่ยนหลงดึงร่างของซินเยว่ให้ออกห่างจากรัศมีแรงระเบิด ไป๋ซวี่เฟิงดินรนเพื่อให้หลุดจากการผนึกของเสี่ยวหงแต่เพราะมีแก่นพลังของเสี่ยวเป่าด้วยเขาจึงต้องสลายหายไปพร้อมกับนางท้องฟ้าที่เคยเเดงฉานกำลังมีฝนตกลงมาเหมือนท้องว่ากำลังหลั่งน้ำตาให้กับเสี่ยงหง ซินเยว่ร้องเรียกหาเสี่ยวหงทั้งน้ำตา เสียงร้องไห้ของนางดั
ชายชุดดำนับร้อยค่อยๆ เปิดเผยตัวแต่ละคนมีพลังขั้นเจี๋ยตันขึ้นไปทั้งนั้น ไป๋เยี่ยนหลงยังคงนั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นเหมือนกับเขามิได้หวันเกรงให้กับคนของไป่ซวี่เฟิงเลยสักนิดด้านซินเยว่ยังคงหลับไม่ตื่นวนเวียนอยู่ในภาพฝันที่นางได้อยู่ร่วมกับคนตระกูลหยางอีกครั้ง นางรู้สึกมีความสุขเมื่อได้อยู่กับพวกเขาแต่ความรู้สึกลึกๆ เหมือนกำลังโหยหาบางสิ่งแต่นางไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร นางนั่งเหม่อลอยอยู่คนเดียวในศาลาใกล้สระบัวท่าทางของนางเหงาหงอยเหมือนกำลังรอคอยบางสิ่ง“หลานรักปู่มีของที่ต้องการมอบให้เจ้า”ท่านปู่ของนางเดินเข้ามาในศาลา ซินเยว่หันมาสนใจ หยางตงฉวนท่านปู่ของนาง“นี่คือสิ่งที่จำกัดพลังของเจ้าเอาไว้ เมื่อถึงเวลาเจ้าจะต้องได้ใช้มันแน่”เขาได้มอบป้ายหยกรูปหงส์ให้นางถึงเวลาที่หลานจะต้องไปแล้ว อย่าลืมว่าพวกเราตระกูลหยางทุกคนอยู่ข้างหลานตลอดเวลาไม่เคยไปไหน”ซินเยว่พยักหน้า ครอบครัวของนางมายืนรอส่งนางที่หน้าประตูจวนทุกคนโบกมือให้นางทั้งยังอวยพรให้ซินเยว่ได้พบกับเขาผู้นั้น นางไม่รู้ว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นหมายถึงอะไร ก่อนที่ซินเยว่จะฟื้นกลับมาร่างของนางเปล่งแสงสีแดงเปลวเพลิงค่อยก่อตัวเป็นรูปร่างเหมือนไข่
ซินเยว่นั่งมองภาพของการต่อสู้ของตระกูลหยางจนจบ นางค่อยๆ ออกเดินไปท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาจนกระทั่งถึงหน้าประตูจวนของตระกูลเจียว ซินเยว่สะบัดมือหนึ่งครั้งประตูบานใหญ่สองบานแตกกระจุยไม่เหลือชินดี“เจียวเมิ่งออกมาพบข้าเดี๋ยวนี้ วันนี้ข้าหยางซินเยว่จะไม่ยอมปล่อยพวกเจ้าไปแม้แต่คนเดียว”ซินเยว่ยืนถือกริชอยู่ท่ามกลางสายฝนดวงตาของนางแดงก่ำไปด้วยความคั่งแค้น พลังของนางทำให้องครักษ์ที่เฝ้าประตูต้องถอยห่างเพราะแรงกดดันและความร้อนที่แผ่ออกมา เสี่ยวเป่าในร่างสัตว์อยู่ตัวยักษ์คำรามเสียงดังก้องฟ้า องครักษ์ขั้นเจี๋ยตันถึงกับกระอักเลือดออกมาองครักษ์ของตระกูลเจียวออกมาล้อมซินเยว่เอาไว้ ทุกคนล้วนระดับขั้นเจี๋ยตันขึ้นไปแต่สายตาของนางไม่มีความหวาดหวั่นแม้แต่น้อย เจียวมิ่งเดินออกมาพร้อมองครักษ์ที่คอยกางร่มให้เขามองมาที่ซินเยว่ด้วยความสงสัยตอนนี้ใบหน้าของนางได้ถูตี้ซางพรางเอาไว้ทำให้มองเห็นเป็นผู้อื่น“แม่นางน้อยเจ้าบุกมาทำลายประตูจวนตระกูลเจียวเช่นนี้ เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถออกไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัยหรือซินเยว่หัวเราะออกมาอย่างไม่ไว้หน้าเขา“เจ้าเฒ่าสารพัดพิษ”นางสบถด่าเจียวเมิ่งออกไปอย่างสะใจ“นา
“ทะ... ท่านจ้าวผู้ครองนครได้โปรด....”ลี่ผิงยังไม่ทันที่จะเอ่ยจบประโยคร่างของนางก็กระเด็นออกไปไกลหลายจั้ง นางพยายามพยุงร่างที่บอบช้ำของตนหมอบคลานมาเบื้องหน้าของไป๋เยี่ยนหลง ลี่ผิงเห็นสายตาที่แสนอำมหิตของเขานางก็รู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ“โปรดเมตตาหม่อมฉันด้วยเพคะ หม่อมฉันผิดไปแล้ว”ไป๋เยี่ยนหลงไม่สนใจลี่ผิงอีกต่อไป เขาอยากรีบกลับไปอยู่กับสตรีแสนซุกซนที่เอาแต่บ่นทำปากขมุบขมิบน่ารักอยู่ด้านในแล้ว“ทำลายตันเถียนส่งไปส่วนลึกของหุบเขาทมิฬ”สิ้นคำของไป่เยี่ยนหลงลี่ผิงก็กรีดร้องขอความเมตตาแต่คนของไป๋เยี่ยนหลงก็เข้ามาลากนางออกไปจากตรงนั้น เยี่ยจื่อส่ายหน้าด้วยความจนใจพลางมองร่างของลี่ผิงที่กำลังถูกลากออกไป แค่ถูกส่งไปยังส่วนลึกของหุบเขาทมิฬโอกาสรอดของนางก็แทบไม่มีแล้ว นี่นายท่านยังให้ทำลายตันเถียนของนางอีกชีวิตนี้ของลี่ผิงไม่มีทางรอดกลับมาอย่างแน่นอน เมื่อจัดการตัวต้นเรื่องเสร็จแล้วจากนั้นไป่เยี่ยนหลงก็หันมาจัดการคนที่มาจากแผ่นดินชิวหลิง“ทำลายตันเถียนแล้วส่งกลับไปที่แคว้นฉิง ป่าวประกาศการกระทำของพวกเขาให้คนแผ่นดินชิวหลิงได้รู้ให้ทั่ว”สิ้นคำไป่เยี่ยนหลงก็ลุกออกไปจากท้องพระโรงทันที ที่ไป๋เยี่ยนหล
ฉิงอิงหลางดันเจ้ามังกรตัวโตหัวมันเยิ้มไปด้วยน้ำหวานของสตรีใต้ร่างเขาทีเดียวจนสุดลำ เสียงของนางกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ฉิงอิงกลางทนไม่ไหวอีกต่อไปเขาไม่มีเวลามาปลอบโยนนางเพราะเขาต้องทำให้นางเป็นของเขาอย่างสมบูรณ์เสียก่อน องค์ชายสามแห่งแคว้นฉิงกระแทกเอวสอบเข้าใส่สตรีใต้ล่างอย่างไม่ยั้งผ่านไปเพียงไม่นานเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของนางก็เปลี่ยนเป็นเสียงร้องครวญครางอย่างเสียวซ่าน เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังพับพับตลอดเวลา ชายหญิงในห้องร้องครวญครางประสานกันดังแว่วออกมาด้วยความเสน่หารัญจวนอย่างไม่เกรงกลัวว่าใครจะมาได้ยินก่อนหน้าที่ฉิงอิงหลางจะมาถึงบ้านร้างนอกเมือง เงาสองร่างยืนตระกองกอดกันอยู่บนต้นไม้เหมือนเฝ้ารอใครบางคน และเพียงไม่นานฉิงอิงหลางที่อยู่ในชุดดำก็อุ้มร่างของสตรีหายเข้าไปในบ้านร้างจากนั้นเสียงครวญครางอย่างรัญจวนของทั้งสองก็ดังแว่วมาอย่างไม่ขาดสาย สตรีที่ยืนอยู่บนต้นไม้เมื่อได้ยินเสียงน่ารังเกียจของชายหญิงในบ้านร้าง ใบหน้างามของนางก็แดงซ่านลามไปถึงลำคอ ไป๋เยี่ยนหลงมองสตรีอันเป็นที่รักในอ้อมแขนด้วยสายตาเอ็นดู"ช่างน่าตายยิ่งนัก"เสียงหวานที่เอ่ยขึ้นมาก็คือซินเยว่ตัวจริงที่อยู่ในร่างของไซซีย
ชายชุดดำอีกคนเอ่ยขึ้นเขาก้าวเข้าหาซินเยว่เพียงก้าวเดียวก็ถึงตัวของนางได้อย่างง่ายดาย ชายชุดดำใช้สันมือฟาดไปที่ต้นคอของซินเยว่อย่างไม่ออมมือนางสลบไปทันที แต่ก่อนที่ชายชุดดำทั้งสองจะทันได้เคลื่อนย้ายร่างของซินเยว่ที่สลบไม่ได้สติออกไปจากห้องนั้น ชายชุดดำผ้าปิดหน้าห้าคนกระโดดออกมาขวางเอาไว้ ผู้มาทีหลังไม่รั้งรอให้ชายชุดดำทั้งสองได้ตั้งตัวพวกเขาฟาดพลังปราณใส่ชายชุดดำทั้งสองทันทีชายชุดดำทั้งสองกระโดดหลบพลังที่ผู้มาทีหลังซัดมาที่พวกเขาได้อย่างหวุดหวิดแล้วภายในห้องก็เกิดการต่อสู้ขึ้น ชายชุดดำทั้งสองที่มาก่อนหน้าไม่มีโอกาสที่จะพาร่างของซินเยว่ออกไปจากห้องนั้น เพราะมัวแต่พัวพันอยู่กับการต่อสู้กับชายชุดดำที่มาทีหลังคนหนึ่งได้โอกาสจึงอุ้มร่างของซินเยว่แล้วกระโดดหายออกไปจากตรงนั้นทันที"พวกเจ้าเป็นใครเหตุใดจึงมาขัดขวางภารกิจของข้าเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วหรืออย่างไร"ชายชุดดำที่เหลืออยู่อีกสี่คนไม่มีใครตอบคำถามชายชุดดำทั้งสองที่มาก่อนเมื่อพวกเขาเห็นสหายอุ้มร่างของซินเยว่ออกไปแล้วพวกเขาทั้งสี่ก็แยกตัวกันหนีออกไปจากห้องนั้นทันทีชายชุดดำที่มาก่อนเมื่อเห็นว่าตนถูกชิงตัวเป้าหมายไปแล้วก็คิดจะติดตามไปเ