[คิริน]
ผมนั่งอยู่ในห้องทำงานชั้นบนสุดของตึก มือกดเลื่อนเอกสารรายงานของแต่ละแผนกไปเรื่อย ๆ โดยที่สายตากลับจับจ้องอยู่กับหน้าจอเล็ก ๆ อีกจอซึ่งเชื่อมต่อกับกล้องวงจรปิดบริเวณโถงด้านนอก
ภาพบนหน้าจอคือหญิงสาวคนหนึ่งที่เพิ่งเริ่มทำงานได้เพียงไม่กี่วัน....ลลิน
ผู้หญิงคนนี้ไม่เหมือนใคร
เธอดูเหมือนเด็กจบใหม่ธรรมดา ๆ แต่อีกด้านหนึ่งกลับมีความกล้าที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต
กล้าพูด กล้าเถียง และกล้าสัมผัสผม
ผมยังจำได้ดีว่าเมื่อวาน เธอเดินผ่านโต๊ะแล้วแกล้งสะดุดก่อนจะพุ่งเข้ามาชนแขนผมเบา ๆ เหมือนเป็นอุบัติเหตุ จากนั้นช่วงบ่ายก็พยายามใช้จังหวะต่าง ๆ มาแตะหน้าอกผมแบบไม่ตั้งใจ
แน่นอน ผมรู้ว่าเธอจงใจ
และจุดสุดท้ายที่เธอสัมผัส คือหน้าท้องของผม
ที่จริงผมควรจะโกรธ แต่กลับรู้สึกขำมากกว่า และสงสัยไปด้วย
“ผู้หญิงคนนี้ ต้องการอะไรกันแน่?”
[ลลิน]
เช้าวันนี้ ฉันมาทำงานอย่างกระปรี้กระเปร่าพร้อมแก้วกาแฟเย็นในมือ
“ตื่น! ต้องตื่น! ต้องดูขยัน! ต้องดูเทพ! ต้อง...”
ฉันเดินดี๊ด๊าไปที่ห้องพักเบรค กะจะไปนั่งกินแซนวิชที่ซื้อมาและกำลังจะอ้าปากเอ่ยทักทายคนอื่น ๆ ในห้องพักเบรคนั้น
แต่สิ่งที่ได้กลับมา…
เสียงซุบซิบ สายตาเหยียด ๆ และรอยยิ้มแปลก ๆ ของพนักงานหญิงแผนกอื่นกลุ่มหนึ่ง
ฉันหยุดกึกฟังเสียงเหล่านั้น
“เด็กคนนั้นน่ะเหรอ เลขาท่านประธาน?”
“แน่ล่ะ ไม่งั้นคงไม่ได้เข้าออกห้องบ่อยขนาดนั้นหรอก”
“ดูทรงสิ เสื้อเชิ้ตมือสองแน่ ๆ พวกบ้านนอกนี่มันร้ายจริง ๆ”
ฉันได้ยินชัดทั้งหมด และฉันก็โกรธมาก ฉันเดินเข้าไปอย่างไม่กลัว และผู้หญิงคนหนึ่งก็เหมือนทนไม่ได้เมื่อเห็นฉัน เธอพูดขึ้นทันที
“นี่เธอ อย่าคิดว่าเป็นเลขาท่านประธานแล้วจะวางท่าได้นะ!”
“ใช่! เพิ่งเข้ามาไม่กี่วันก็ได้ขึ้นตำแหน่งแบบนี้ มันต้องมีอะไรแน่ ๆ!”
ฉันยืนฟังเงียบ ๆ ทุกคำพูดของพวกเธอเสียดแทงเข้ามาเหมือนเข็มที่ทิ่มมาไม่หยุด
[ระบบชาย] “ภารกิจวันนี้ ห้ามโต้ตอบด้วยความรุนแรงใด ๆ หากสำเร็จจะได้รับเงิน 2,000 บาท หากล้มเหลวจะถูกหักเงิน 20,000 บาท”
“เฮ้ยย!”
ฉันอุทานในใจทันทีที่ได้ยิน เม้มปากแน่น พยายามยิ้มให้เหมือนนางงามจักรวาล
“ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะ!” ฉันโค้งหัวเล็กน้อยแล้วนั่งลงกินแซนวิชที่โต๊ะว่าง
จนกระทั่ง...
“เธอคงยั่วเก่งสิท่า ไม่งั้นคงไม่ได้นั่งข้างบอสหรอก!”
จะห้ามโต้ตอบยังไงไหว นี่มันด่ากันซึ่ง ๆ หน้าเลยนะ!
“ถ้าด่ามา ฉันก็ด่ากลับนะเว้ย!”
[ระบบหญิง] “ใจเย็นลูกสาว อย่าเพิ่งด่า โดนหักเงินเยอะนะ 20,000 เลยนะ”
ฉันพยายามสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วหมุนตัวกลับมา ทำเป็นมองพวกเธอผ่าน ๆ แบบไม่ใส่ใจ แต่ดูเหมือนจะยิ่งทำให้พวกนั้นหัวร้อน
“แหม~ ทำมาเป็นเงียบ ไปอ่อยท่านประธานท่าไหนถึงเลื่อนขั้นได้!”
“หรือว่าเอาตัวเข้าแลก?”
ฉึก!
เหมือนมีใครปาหินใส่หน้าแรง ๆ จนหน้าฉันชาไปหมด
[ระบบชาย] “เตือนครั้งสุดท้าย อย่าโต้ตอบด้วยความรุนแรง ไม่งั้นระบบจะหักเงินทันที”
“ฉัน…ไม่ไหวแล้วนะ! ต้องทนให้พวกเธอมาดูถูกรึไง!!”
ฉันหันกลับไปทันที สะบัดแก้วกาแฟเย็นในมือ แล้วชี้หน้าพนักงานหญิงคนนั้นด้วยความเดือดดาล
“ถ้าเธอไม่มีปัญญาจะเลื่อนขั้นด้วยสมองหรือความสามารถ ก็อย่ามาระรานคนอื่นด้วยปากเน่า ๆ”
“และถ้าปากมันว่างนัก ลองเอามาไว้ใต้เท้าฉันดีไหม จะได้รู้ว่าสิ่งต่ำ ๆ มันควรอยู่ตรงไหน”
เสียงในห้องพักเบรคเงียบกริบจนได้ยินแค่เสียงลมหายใจ หญิงสาวคนนั้นทำท่าเหมือนจะตอบโต้ แต่มีหรือที่ลิลินจะปล่อยให้คนพวกนั้นมาหยามได้
"ลองพูดอีกสิ พูดขึ้นมาอีกคำเดียวจะไม่ใช่แค่ด่าแน่ แต่ฉันจะตบปากเธอให้เลือดกลบปาก!"
[ระบบหญิง] “...........”
[ระบบชาย] “ระบบทำการหักเงิน 20,000 บาท จากบัญชีของคุณ เนื่องจากภารกิจล้มเหลว”
ติ๊ง!
เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ดังขึ้นพร้อมข้อความแจ้งเตือนที่เด้งขึ้นมาบนหน้าจอ
ยอดเงินคงเหลือ 53.25 บาท
ตอนนั้นเองที่น้ำตาของฉันร่วงลงโดยไม่รู้ตัว…
[คิริน]
“ธีร์ ช่วยเช็กกล้องวงจรปิดให้ฉันที ดูว่าลิลินมีอะไรผิดปกติบ้าง”
ธีร์ ผู้ช่วยคนสนิทที่ทำงานกับผมมาหลายปีพยักหน้า เขาไม่เคยถามเหตุผล และไม่เคยพูดเกินสิ่งที่ผมต้องการรู้
ผมกลับมามองรายงานในมืออีกครั้ง แต่ในหัวกลับคิดถึงแต่ชื่อเดิมซ้ำ ๆ
ลลิน พิชญธิดา
ผมหยุดอ่านงานทั้งหมด แล้วเปิดจอคอมพิวเตอร์เพื่อดูคลิปจากกล้องวงจรปิดแทน
ใครส่งเธอมากันแน่?
ไม่นานธีร์ก็เดินเข้ามาในห้องทำงานพร้อมกับแท็บเล็ตในมือ
“ได้คลิปมาแล้วครับ มีหลายเหตุการณ์ บอสลองดูคลิปช่วงเช้าก่อนเข้างาน”
ผมพยักหน้า แล้วรับมาดู เป็นคลิปในห้องเบรค ผู้หญิงสี่คนล้อมรอบลลิน พร้อมเสียงหัวเราะเยาะ และคำด่า เธอพยายามนิ่ง แต่คำพูดสุดท้ายของหญิงในกลุ่ม ทำให้เธอหันกลับไปโต้ตอบแบบเจ็บแสบ
“......”
ผมกดหยุดวิดีโอ แล้วมองจออย่างครุ่นคิด ท่าทางของเธอดูเหมือนจะไม่กลัวใคร และไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองโดนรังแกได้ง่าย ๆ ทุกคำพูดที่เธอตอบกลับกลุ่มพนักงานหญิงพวกนั้นแต่ละคำผมได้ยินชัดเจน ทุกคำเจ็บแสบถึงทรวงใช่ย่อย
“หึ! น่าสนใจดีนี่”
"ดี ไม่ว่าเธอคิดจะทำอะไร ฉันก็จะเล่นเกมกับเธอแล้วกัน"
“ระบบหญิง ทำไมอยู่ ๆ ถึงเตือนฉันว่าอันตรายกำลังจะมาถึงล่ะ มีอะไรรึเปล่า?”ฉันเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอโน้ตบุ๊กที่กำลังกรอกข้อมูลประชุมอย่างขะมักเขม้น สายตาเบลอเล็กน้อยเพราะนั่งนานเกินไป แต่เสียงแจ้งเตือนของระบบทำให้ฉันตื่นเต็มตาในทันที....[ระบบหญิง] “ภัยอันตรายระดับ 4 กำลังเข้าใกล้บุคคลเป้าหมาย โปรดระวังและหาทางเตือนเขาโดยเร็วที่สุด ถ้าเป็นไปได้ อย่าให้เขาใช้รถคันประจำ”....“หา!? อันตรายอะไรอีก” ฉันแทบจะกระโดดลุกขึ้นยืนทั้งที่เพื่อนร่วมงานยังเต็มห้องฉันคว้าสมาร์ตโฟนแทบจะในทันที มือไม้สั่นไปหมด โทรศัพท์ถูกกดไปยังเบอร์ที่ตอนนี้ฉันจำได้ขึ้นใจเสียงรอสายดังอยู่สองครั้งก่อนจะมีเสียงเรียบนิ่งรับสาย“ว่าไง” น้ำเสียงของเขายังนิ่งเฉยเหมือนเดิม ไม่มีวี่แววว่ากำลังตกอยู่ในอันตรายเลยแม้แต่น้อย“บอสกำลังจะไปที่พบพันธมิตรใช่ไหมคะ? ที่ไหนคะ”“ใช่ มีอะไรเหรอ”“เอ่อ...บอสเอารถคันไหนไปคะ”“ก็คันที่เคยใช้ประจำ”“บอสเปลี่ยนรถคันใหม่ได้ไหมคะ”“ทำไม” เขาถามกลับมาด้วยน้ำเสียงสงสัยเต็มประดา“เอาเถอะค่ะ นะคะฉันขอร้องล่ะ” ฉันพูดอย่างรวดเร็ว ใจเต้นตุบตับเขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “อย่าบอกนะว่าเธอไปฟังมา
ในตอนนั้นเอง แผนการในหัวของฉันก็ผุดขึ้นทีละขั้น...หนึ่ง ฉันต้องยืนยันว่า Sable Lines มีเงาดำอยู่เบื้องหลังสอง ดูว่าใครเอาคำนี้เข้ามาใกล้ที่สุดสาม จัดฉากให้ความจริงเดินเข้ามาหาเขาเอง....เช้าวันต่อมา ภาคินกลับมาอีกครั้ง เขาวางแฟ้มเวอร์ชันแก้ไขข้อเสนอลงบนโต๊ะ คุณพรรณราย ผู้จัดการฝ่ายบริหารแวะมาเซ็นผ่านเอกสารบางอย่าง ฉันสังเกตเห็นมือภาคินที่จับโทรศัพท์ นิ้วโป้งเลื่อนไวผิดปกติ ล็อกหน้าจอแทบจะทันทีที่เราเหลือบมองระหว่างพักเบรก ฉันตั้งใจแกล้งทำแฟ้มหล่นหน้าลิฟต์“อุ๊ย!” กระดาษกระจัดกระจาย ภาคินก้มลงช่วยเก็บ“เดี๋ยวผมช่วย”“ขอบคุณค่ะ” ฉันยิ้ม เก็บกระดาษไปพลางดูรองเท้าหนังเขาไปพลาง ส้นรองเท้ามีรอยยางคล้ำนิดนึง คล้ายกับคราบที่พื้นลานท่าเรือ ไม่ใช่คราบทั่ว ๆ ไปที่จะเปื้อนรองเท้าตามปกติ ฉันเก็บก้อนข้อมูลเล็ก ๆ นี้ไว้ในหัวบ่ายนั้น ฉันขออนุญาตคิรินลงไปคลังเอกสารเพื่อไปเอาแฟ้มสัญญาโลจิสติกส์ปีก่อน แต่จริง ๆ แล้วฉันไปหา ฉากที่ต้องการโดยอ้างเรื่องเอกสารบังหน้า ฉันขอให้ฝ่ายไอทีช่วยดึงล็อกการเชื่อมต่อไวไฟสำหรับแขก ซึ่งโชว์ อุปกรณ์ไม่รู้จัก เชื่อมผ่านพร็อกซีชื่อ Sable-r เมื่อวานช่วงกลางดึก อุปกรณ์
[ลิลิน]บ่ายวันศุกร์ เมฆทึบเคลื่อนต่ำกว่าปกติ เงาของมันทอดยาวบนพื้นหินอ่อนหน้าห้องทำงานท่านประธาน ฉันวางแฟ้มที่จัดเรียงด้วยมือสั่นน้อย ๆ เพราะเมื่อคืนยังนอนไม่เต็มอิ่มตั้งแต่เหตุการณ์ที่ฟิลิปโดนทำร้าย ฉันจิบกาแฟดำแก้วที่สอง ขมจนคิ้วขมวด ก่อนเสียงสแกนเนอร์หน้าประตูจะดังติ๊ด พร้อมประตูผลักเข้าเบา ๆ“ไม่ได้เจอกันนานคุณลิลิน”ผู้ชายร่างสูงโปร่งในสูทเทาเข้มก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้มเนี้ยบ เขาชื่อ “ภาคิน” เพื่อนสนิทของคิริน คนที่ฉันเห็นบ่อยครั้งเวลาเรื่องสำคัญมาก ๆ เท่านั้น“สวัสดีค่ะ คุณภาคิน” ฉันยิ้มตามมารยาท “นัดบอสไว้เหรอคะ”“ระดับผมไม่ต้องนัดก็ได้ บอสคุณอนุญาตอยู่แล้ว”เขาหัวเราะเบา ๆ แบบคนกันเอง แต่แววตาลึก ๆ มีบางอย่างวูบผ่านเร็วมาก ฉันแยกไม่ออกว่าเป็นความกังวลหรือความตื่นเต้นไม่นาน คิรินออกมาจากห้องด้านใน เขาสวมเสื้อเชิ้ตขาวพับแขน ท่าทางเหมือนคนตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง “สายไปห้านาที”“รถติด” ภาคินยักไหล่ “แต่ฉันเอาของดีมาด้วย”เขาวางแฟ้มสีดำลงบนโต๊ะกาแฟ ฉันขยับถาดเครื่องดื่มให้อัตโนมัติแล้วถอยไปครึ่งก้าว เพื่อเปิดทางให้พวกเขานั่งตรงกัน ชั่วครู่ห้องก็มีเพียงเสียงกระดาษพลิกกับเสียงนาฬิกา
[ลิลิน]ฉันยืนอยู่ตรงหน้าประตู แทบไม่กล้ามองเขาตรง ๆ แต่ก็ต้องเงยหน้าในที่สุด สบเข้ากับดวงตาคมที่ฉันรู้จักดี วันนี้มันไม่ได้เย็นชาเหมือนทุกที แต่กลับเหมือนกำลังกังวล“เธอเงียบทั้งวัน ไม่ออกมากินอะไรเลย เป็นอะไรรึเปล่า” เสียงทุ้มต่ำของเขาดังขึ้น นิ่งแต่เต็มไปด้วยน้ำหนักฉันเม้มปากแน่น ไม่อยากบอกว่าฉันเอาแต่คิดถึงเขาจนหัวแทบระเบิด จะบอกยังไงดีล่ะว่า ฉันกำลังตกหลุมรักเขาจริง ๆ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่ควร?“ก็แค่...เหนื่อยนิดหน่อยค่ะ” ฉันโกหกออกไป....[ระบบชาย] “คำโกหกถูกตรวจจับ แต่เพื่อเลี่ยงการขัดแย้ง ขอปล่อยผ่านหนึ่งครั้ง”[ระบบหญิง] “ลูกสาว~ เขามองด้วยสายตาห่วงใยแบบนี้แล้ว บอกตรง ๆ ไปเลยสิ !”....ฉันทำเป็นไม่สนใจระบบ หันไปมองด้านข้างแทนเพื่อหลบสายตาคมคู่นั้น แต่เขากลับก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นอีกหนึ่งก้าว....[คิริน]ผมยืนมองคนตัวเล็กที่อยู่ตรงหน้า วันนี้ไม่เหมือนทุกที เธอเงียบเกินไปจนผิดปกติ ไม่พูดไม่จาเหมือนเดิม มันผิดปกติจนผมอดไม่ได้ที่จะกังวล ทั้งวันเธอเอาแต่อยู่ในห้อง ไม่ออกมากินข้าวกินปลา ไม่แม้แต่จะออกมาคุยเล่นกับพวกแม่ป้าเหมือนทุกครั้ง“เหนื่อย? แค่เหนื่อยเนี่ยนะ ถึงกับต้อง
วันหยุดที่ไม่ได้หยุดทั้งหัวใจและสมองเต็มไปด้วยความคิดฟุ้งซ่านฉันปิดม่านทึบจนแสงเช้าหลุดเข้ามาได้แค่ริ้วเล็ก ๆ ห้องทั้งห้องเงียบสนิทจนได้ยินเสียงนาฬิกาเดินเป็นจังหวะ ตึก…ตัก…ตึก…ตัก จังหวะซ้ำ ๆ ตอกย้ำจังหวะหัวใจของฉันเองที่ดันวิ่งแข่งไม่รู้จักเหนื่อยตั้งแต่เมื่อคืนก่อนหน้าฉันนั่งกอดเข่าอยู่ปลายเตียง ผ้าห่มกอง ๆ เหมือนภูเขาเล็ก ๆ ข้างตัว มืออีกข้างค้างอยู่บนหน้าอกตรงตำแหน่งที่มันกำลังเต้นแรงที่สุด พยายามกดเบา ๆ ราวกับจะสั่งให้มันเงียบเดี๋ยวนี้ แต่หัวใจกลับดื้อ ไม่ยอมฟังภาพซ้อนทับวนกลับมาไม่ยอมจบ สายตาคมที่สั่นน้อย ๆ ตอนเขายอมเชื่อคำพูดฉันหลังฟิลิปถูกทำร้าย หลังข้อความขู่ หลังคำสั่งเลื่อนแผนการตอบโต้หลุดจากปากเขา เพราะฉันไปขอด้วยน้ำเสียงที่จริงใจที่สุดในชีวิตและอีกภาพที่ยิ่งไล่ไม่พ้นคือริมฝีปากนั้นจูบฉันอย่างยาวนานในคืนก่อนหน้า แขนแข็งแรงรั้งฉันไว้แนบอก ลมหายใจเราเกยกันจนฉันจำไม่ได้ว่าของใครเป็นของใครตอนนี้ระหว่างฉันกับเขามันไม่ใช่วันไนท์สแตนด์เหมือนครั้งแรกที่บ้าบอและสับสนอย่างตอนนั้นครั้งนี้มันต่างออกไป“บ้าเอ๊ย! ลิลิน”ฉันพึมพำกับตัวเอง เสียงเบาจนแทบไม่ใช่เสียง “บอกตัวเองมาตล
ฉันนั่งเงียบอยู่ในห้องรับรองของศูนย์แพทย์ ใบหน้าสะท้อนแสงไฟสีขาวหม่นจากเพดาน ความเหนื่อยล้ากับความกลัวตีกันอยู่ในอก ขณะเดียวกันมือถือในกระเป๋าก็สั่นเบา ๆครืด...ฉันหยิบออกมาอย่างงง ๆ จนหน้าจอสว่างขึ้น เป็นข้อความจากเบอร์ที่ไม่รู้จัก“หยุดโครงการใหม่ของอคินธรักษ์ มิฉะนั้น คนของคุณจะไม่มีวันได้กลับบ้านอีก”หัวใจฉันหยุดเต้นไปวูบเดียว ก่อนจะเร่งรัวไม่เป็นจังหวะ มือเย็นเฉียบจนแทบทำโทรศัพท์หล่น....[ระบบชาย] “แจ้งเตือนภัย ข้อความนี้มีรหัสไอพีเปลี่ยนตำแหน่งทุกวินาที ต้นทางไม่สามารถตามได้ โปรดระวัง”....ฉันกำโทรศัพท์แน่น สูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนรีบลุกไปหาคิริน เขายืนคุยกับธีร์อยู่ตรงมุมทางเดิน ดวงตาคมเข้มยังคงนิ่งแต่บรรยากาศรอบตัวคือแรงกดดันที่แทบทำให้คนยืนใกล้หายใจไม่ออก“บอสคะ...” ฉันเรียกเสียงสั่น ยื่นโทรศัพท์ให้ “มีข้อความส่งมาที่มือถือฉัน”เขาหันมามอง ฉันเห็นประกายบางอย่างในดวงตาเขามันมีทั้งความโกรธและเดือดดาลอยู่ในแววตานั้นเขาแย่งโทรศัพท์ไปจากมือฉัน อ่านเพียงแวบเดียวก่อนส่งต่อให้ธีร์“ไปตามหาต้นทางเดี๋ยวนี้”“ครับบอส” ธีร์รับไปทันทีฉันเผลอเอามือจับแขนเสื้อเขา“นี่หมายความว่า พวกนั