ความคิดที่พรั่งพรูออกมาเต็มหัวสมองยิ่งทำให้ความแค้นที่สุมอยู่ในอกแทบจะทะลักออกปาก มือที่กำแผ่นกระดาษที่ยับยู่ยี่เสมือนว่ามันโดนอัดอยู่ในอุ้งมือแล้วคลายออกซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยที่ภายในของมันได้มีน้ำหมึกสีน้ำเงินที่จรดด้วยลายมือน่ารักแสนคุ้นตา ข้อความที่พรรณนาว่าเจ้าของลายมือนั้นรักผู้ชายคนหนึ่งมากแค่ไหน เธอที่รักมันมากขนาดยอมทอดกายมอบความสดใสอันเป็นของล้ำค่าให้ไป...แต่ทว่า...สุดท้ายแล้วไอ้เลวนั่นกลับมองเธอเป็นเพียงแค่ของเล่นเท่านั้น...ด้วยการกระทำของมันที่ทำให้หญิงสาวเจ้าของจดหมายเสียใจจนถึงขั้นเลือกที่จะจบชีวิตตัวเองลง ด้วยเหตุผลเพราะเธอดันพลาดท่ามีลูกกับมันแต่ไอ้ชั่วนั่นกลับไม่ยอมรับ และหนทางที่ดูจะมืดบอดในยามนั้นก็ทำให้เธอเลือกที่จะกำจัดเด็กน้อยออกไป เพราะไม่อยากให้พี่ชายที่รักเธอต้องผิดหวัง ความคิดสั้นอีกทั้งไม่มีใครให้คำปรึกษา...สุดท้ายแล้วเธอจึงไปหายาในอินเทอร์เน็ตมาใช้อย่างคนสิ้นไร้ไม้ตอก จนเป็นผลให้เธอจากไปพร้อมกับลูกน้อยในท้องของตัวเอง...ภาพความทรงจำในอดีตย้อนเข้ามาทำให้ก้อนเนื้อฝั่งซ้ายบีบรัดอีกครั้ง ในวันนั้นผมที่กลับมาไม่ทันได้ดูใจน้องสาวเพียงคนเดียวของตัวเอง ก็ได้แต่มองร่าง
“มาอยู่กับฉันไหม...??”คำถามที่ส่งมาทะลุเข้ากลางปล้องทำฉันที่เอาแต่ก้มหน้ามองพื้นถึงกับเงยขึ้นมาแทบจะทันที“ค่ะ...!!”“ทั้งติดอ่าง ทั้งหูตึงเลยนะ นี่ฉันควรจะช่วยเหลือเธอดีไหมเนี่ย” น้ำเสียงที่มีคำล้อเล่นอยู่ในนั้นทำฉันรีบก้มหน้าลงมองพื้นอีกครั้ง“เฮ้อ...ฉันจะถามอีกครั้งนะว่าจะมาอยู่กับฉันไหม ฉันจะดูแลเธอเอง”คำถามหลังจากเสียงถอนหายใจส่งมา ด้วยตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กสาวถึงต้องทำท่ากลัวเขามาขนาดนี้ และด้วยท่าทางแบบนี้มันทำให้เขาเริ่มชักจะหงุดหงิดขึ้นมาเสียอย่างนั้น“มนต์อยากเรียนค่ะ มนต์ไม่อยากเป็น...เอ่อ...มะ...เมียของคุณ”ฉันตอบไปด้วยความคิดที่ใสซื่อตามวัย ด้วยเพราะจู่ ๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งที่ฉันไม่เคยรู้จักเลยได้ยื่นมือเข้ามาขอดูแลฉัน มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ในเวลานั้นเด็กอย่างฉันจะคิดได้เพียงเรื่องเดียวก็คือ...คนตรงหน้าที่หวังจะเอาสิ่งล้ำค่าที่มีของฉันไป...สิ้นประโยคคำตอบของฉัน เสียงระเบิดหัวเราะจากผู้ชายที่มักจะแผ่รังสีอำมหิตออกมาตลอดเวลาก็ดังออกมาทันที...“ฮุ...ฮ่าๆๆๆ”เสียงหัวเราะที่ดังลั่นห้องทำฉันถึงกับต้องเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความสงสัย“ฮ่าๆๆๆ นี่เธอคิดว่าฉันจะเอาเธอมาท
“ชื่ออะไรน่ะเรา”คุณไผ่ถามฉันก่อนจะอัดบุหรี่เข้าเต็มปอดอีกครั้ง“มะ...มนต์...มนตรา ค่ะ” ฉันจำได้ดีว่าฉันตอบกลับไปพร้อมกับพยายามกลั้นลมหายใจเอาไว้ด้วยกลัวว่าจะเผลอหายใจแรงจนทำให้คนตรงหน้าขุ่นเคือง“เรียนอยู่หรือเปล่า” คุณไผ่ถามต่อโดยที่สายตาปรายมองมาที่ฉันเล็กน้อย“ระ...เรียนอยู่ค่ะ” ฉันยังก้มหน้าตอบเสียงสั่น โดยที่ตัวนั้นก็สั่นไม่แพ้กันกับเสียง“ชั้นไหนแล้ว” “มะ...มอหกแล้วค่ะ”“เป็นน้องของหลิวซินะ” คนตัวโตที่ยังคงอัดบุหรี่เข้าปอดไม่พัก พูดออกมาเบา ๆ ก่อนจะมองมาที่ฉันอีกครั้ง แล้วสะบัดมือเรียกให้แม่บ้านที่อยู่ใกล้ ๆ เข้ามารับคำสั่ง“พาเด็กคนนี้ไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย หาอะไรให้กินด้วยล่ะ เสร็จแล้วพาไปหาฉันที่ห้องหนังสือ”สิ้นคำสั่งมือหน้าก็สะบัดอีกครั้งเป็นสัญญาณให้แม่บ้านพาฉันเดินออกไปฉันเดินก้มหน้าตามหญิงสูงวัยตรงหน้าไป จากนั้นหญิงสูงวัยคนเดิมก็ได้นำเสื้อผ้าของใครบางคนมาให้ฉันใส่ โดยที่เนื้อผ้ามันช่างเนียนนุ่มไม่เหมือนกับพวกเสื้อผ้าตลาดนัดหรือของมือสองที่รับบริจาคมาเลยสักนิด“ห้องน้ำอยู่ตรงนู้นนะข้างในมีของใช้พวกสบู่ ยาสระผม แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ผ้าขนหนูครบแล้ว ถ้าอาบน้ำแต่งตัวเสร็
มันเป็นวันที่ฉันจำได้ไม่มีวันลืม...ภาพที่ฉันเกือบจะโดนพ่อเลี้ยงล่วงละเมิดทางเพศ...ยังคงฝังร่างหยั่งลึกลงในจิตใจของฉันเสมือนว่าเหตุการณ์นั้นเพิ่งเกิดมาเมื่อวาน ร่างบางที่ดิ้นรนกรีดร้องหนีตายอย่างสุดเสียง แต่ด้วยสภาพแวดล้อมการเป็นอยู่ที่ดูกักขฬะที่เหล่าบรรดาผู้มีอนามัยมักจะให้สมญานามสถานที่แห่งนี้ว่า...สลัม...และด้วยการถูกตีตราสังคมที่อยู่แบบนั้น นั่นจึงทำให้คนที่อาศัยอยู่แถวนั้นก็มีนิสัยไม่ต่างกับที่คนด้านนอกตราหน้าเอาไว้ นั่นก็เพราะในวันนั้นที่เหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นกับฉันกลับไม่มีใครสนใจเสียงกรีดร้องของเด็กสาวเลยแม้แต่น้อย ทุกคนเลือกที่จะเมินเฉยและคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องของตน แต่ถ้าหากจะมีสักคนที่เกิดสนใจขึ้นมาก็คงเป็นเพียงเพราะอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น ไม่มีใครใจกล้าหรือว่างพอที่จะเข้ามายุ่งเรื่องของคนอื่นที่พลอยจะทำให้ตัวเองเดือดร้อนไปด้วยได้หรอก ด้วยเพราะทุกคนในสังคมที่ฉันอยู่นั้นก็ยังต้องปากกัดตีนถีบหาเช้าไม่พอกินค่ำ ได้แต่ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมแล้วแต่บุญแต่กรรมที่ทำกันมา จนกลายเป็นความชินชาคุ้นเคย...เสมือนว่ามันเป็นเรื่องปกติที่พบเห็นได้แทบจะทุกวัน...แต่ทว่า...เด็
--- มนตรา Talk ---หลังจากที่ฉันที่มอบเรือนร่างเพื่อไถ่โทษต่อสิ่งที่ตัวเองทำในวันนี้ให้กับเขาไปแล้ว ความเหนื่อยล้าที่ทำให้ฉันถึงกับอ่อนแรงไร้การตอบสนองในบทเพลงสวาทบทสุดท้าย นั่นจึงทำให้เขายอมปล่อยให้ฉันเป็นอิสระไม่ตักตวงเอาผลประโยชน์จากฉันอีก คงมีเพียงแค่อ้อมกอดเท่านั้นที่ยังคงตรึงร่างฉันไว้ สติสัมปชัญญะที่พอจะมีเลือนรางอยู่บ้างทำให้ฉันสัมผัสได้ว่าคนตัวโตที่กำลังทอดกายแนบชิดอยู่ข้างกายฉันอยู่ตอนนี้เขายังไม่หลับ อีกทั้งยังมัวเอาแต่จ้องมองฉันไม่หยุด จนฉันเองก็ไม่กล้าเปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งขึ้นมา ด้วยกลัวว่าเมื่อเขาเห็นฉันยังตื่นอยู่ เขาก็จะปลุกให้อาวุธร้ายที่อยู่ตรงกลางหว่างขาของเขาให้ตื่นขึ้นมาจัดการฉันต่อร่างกายที่หดเกร็งจนกายเป็นซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดอันแข็งแกร่งอย่างเลี่ยงไม่ได้ ขนที่ลุกซู่ยามที่นิ้วมือเกลี่ยยุกยิกไปทั่วผิวเนียนนุ่ม ยิ่งทำให้ฉันร้อนรุ่มจนหลับไม่ลงจนกระทั่ง...เมื่อจู่ ๆ เขาที่ได้พูดอะไรบางอย่างออกมาคล้ายกับว่าคำพูดนั้นถูกกระซิบอยู่ที่ข้างหูของฉัน และหลังจากที่เขาก้มหน้าลงมาหาความหอมจากแก้มนุ่มของฉันไปแล้ว คำพูดที่เป็นเหมือนสัญญาณของการตีกลองรบข้างในหัวใจนั้น ก็ทำให้ก
ภายในความเงียบงันและมืดสนิทแต่กลับไม่อาจกลบความร้อนรุ่มที่อยู่ข้างในหัวใจชายหนุ่มอย่างผมได้เลย ความรู้สึกคะนึงหาด้วยความทั้งห่วงทั้งหวงคนตรงหน้า มันทำให้ผมฟุ้งซ่านถึงขั้นจินตนาการว่าตอนนี้ถ้าเธอไม่ไปเดินพักผ่อนหย่อนใจอยู่ เธอกำลังนอนร้องครวญครางอยู่ใต้ร่างใครหรือเปล่าพอคิดได้แบบนั้นใจก็พลันร้อนรุ่มบันดาลโทสะขึ้นมาทันที มือหนาที่กำหมัดแน่นจนเส้นเลือดหลังมือปูดปูน ความเจ็บแสบยามที่เล็บจิกเข้าไปในเนื้อฝ่ามือ ยิ่งเร่งให้ไฟโทสะปะทุทวีคูณได้อย่างง่ายดายความคุกรุ่นที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างกายทำให้ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศดูจะไร้ประโยชน์ขึ้นมาเสียอย่างนั้น และก่อนที่ผมจะทันได้ฟาดงวงฟาดงากับสิ่งของภายในห้อง เสียงกดเปิดประตูก็ดังขึ้นจนทำให้ใจของผมสงบลงแทบจะทันที จากนั้นภาพเงาตะคุ่มที่เดินดุ่ม ๆ เข้ามาภายในห้องที่มืดมิดด้วยท่าทีเร่งรีบ จนดูเหมือนจะไม่ได้สังเกตเลยว่าบัดนี้ได้มีใครอยู่ภายในห้องของตัวเองหรือเปล่า(...หึ...นี่ถ้าเป็นโจรคงเสร็จอย่างไม่ต้องสงสัย) ผมลอบคิดในใจและก่อนที่ร่างบางจะทันได้ก้าวเท้าเดินมุ่งหน้าไปยังห้องนอนของเธอ ผมก็ได้เอ่ยปากทำลายความเงียบที่มีจนเห็นร่างเล็กสะดุ้งโหยงด้วย