“ใยรินแกอย่าฝันจนเสียสุขภาพจิตนะ ฉันไม่อยากมีเพื่อนเป็นบ้า เรื่องนี้ยิ่งพูดยิ่งขนลุก” ฝ้ายส่ายหน้าเหลือบมองไปหน้าร้าน ปกติฝ้ายก็เป็นคนไม่เชื่อเรื่องพวกนี้หรอก คงเป็นเพราะครั้งนี้เคยนอนห้องเดียวกันแล้วฉันร้องไห้ละเมอชุดใหญ่เรียกก็ไม่ตื่นเลยเชื่อมั้ง
“จ้า ไม่ต้องห่วงแกไม่มีเพื่อนเป็นบ้าหรอกน่า เพราะฉันรู้สึกว่ามันใกล้จบแล้วล่ะ” ฉันกล่าวไปพลางตักเกี๊ยวหมูเด้งของโปรดเข้าปาก
“เหอะฝันเป็นเรื่องเป็นราวมา 10 ปี เอาความคิดจากไหนมาว่ามันใกล้จบ หืม?” ฝ้ายเน้นคำว่า ‘ใกล้จบ’ แล้วจ้องหน้าฉันอย่างเป็นจริงเป็นจัง
“ไม่รู้ดิ” ก็พึ่งจะพูดอยู่ว่า ‘รู้สึกว่ามันใกล้จบ’
ฝ้ายดูเหมือนจะหมดคำพูดกับคำตอบของฉันหล่อนเงียบอยู่นาน จนฉันกินเสร็จกำลังหาเงินมาจ่าย จู่ ๆ ฝ้ายก็ตบโต๊ะจ้องเขม็งมาที่ฉัน
“แต่ไม่แน่นะ รูปวาดงานแต่งงานแบบคนจีนสมัยก่อนที่ฉันเห็นแกวาดใส่สมุดเป็นฉากล่าสุดใช่ป่ะ บางทีอาจเป็นตอนจบของเรื่อง แบบในละครก็ได้นะแก”
ฉันยิ้มแห้ง ๆ ให้กับการวิเคราะห์ของนาง ภาพนั้นมันไม่ใช่งานแต่งของผู้หญิงที่ฉันฝันเห็นมาและตัวฉันเองยืนดูข้างหลังมาตลอด ที่ฉันรู้สึกว่าใกล้จบเป็นเพราะมีความรู้สึกร่วมกับผู้หญิงที่อยู่ท่ามกลางหิมะอย่างโดดเดี่ยวในฝัน จริงหรือเท็จฉันเองก็ตอบไม่ได้
“ว่าแต่มาจีนครั้งนี้เราก็ไปหลายเมืองแล้วนะมีเมืองไหนคล้ายกับฝันแกป่ะ เหมือนในหนังไงแก”
“ไม่อ่ะ เหมือนจะไม่อยู่ในประวัติศาสตร์จีนด้วยซ้ำนะ ดีเทลอื่น ๆ ฉันก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน”
“เฮ้ออ~ ช่างเถอะ แกก็อย่าคิดมากเลย ฉันแค่ถามเผื่อจะได้อะไรเป็นไอเดียมาทำโปรเจกต์ของเราบ้างเฉย ๆ น่ะ”
“จ้ะ เอานี่เงินค่าเกี๊ยวจ่ายเสร็จแล้วตามฉันมานะ” แล้วฉันก็ไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้นต่อ ยื่นเงินให้หล่อนก่อนออกมาเดินเล่นแถว ๆ ร้านนั้นรอฝ้าย
รออยู่นานก็ไม่เห็นฝ้ายเดินออกมาสักที ฉันกลับเข้าไปในร้านก็ไม่เจอ ขนาดรอหน้าร้านยังพลัดหลงกันได้อีก จำต้องกดโทรศัพท์โทรหาแต่ปลายสายดันปิดเครื่อง ฉันพยายามเดินตามหาฝ้ายก็ไม่เจอสื่อสารกับคนจีนก็ไม่ได้ คิดว่าควรกลับไปรอที่จุดจอดรถน่าจะดีกว่า ถ้าฝ้ายตามหาฉันไม่เจอหล่อนก็คงไปรอที่รถเหมือนกันแหละ
ฉันยืนรอสัญญาณไฟข้ามถนนสักพักเพื่อไปอีกฝั่ง ไม่นานก็ได้ข้ามมาถึงฝั่งที่จอดรถ เสียงแตรรถยนต์ดังเป็นระยะ ๆ ฉันกลับไม่ได้ยินเพราะเสียงคนเรียกจากข้างหลังว่า
“ใยริน”
ฝ้ายยืนตะโกนเรียกชื่อฉันอย่างไม่อายคน แถมโบกมือไปมาส่วนอีกข้างก็ถือขนมถังหูลู่สองไม้ติดมือมาด้วย ที่หายไปนี่แอบไปซื้อขนมสินะ ไหนบอกว่าอิ่ม เจ้าเพื่อนคนนี้นี่
ฉันโบกมือเป็นการตอบกลับ ส่งยิ้มหวานสื่อความสุขให้กันและกัน ฝ้ายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่ง ฉันดีใจมากที่มีเพื่อนแบบฝ้าย เพื่อนที่อยู่พร้อมไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ก็จะอยู่เคียงข้างกัน
เมื่อตกอยู่ในห้วงความคิดก็นึกถึงเรื่องราวที่เราสองคนช่วยกันฟันฝ่า ไม่ว่าเรื่องเรียน เรื่องงาน เรื่องอื่น ๆ พวกเราอยู่ข้างกันมาตลอด ทว่าตอนนี้ทำไมฉันกลับรู้สึกกลัวว่าความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่มันจะหายไปกันล่ะ
เอี๊ยดดดดด!
เสียงรถยนต์คันหนึ่งเบรกแตกขับมาอย่างรวดเร็ว ผู้คนกลางถนนตื่นตกใจวิ่งหนีหลบรถทำให้เบียดกันไปมา วินาทีนั่นเองฝ้ายถูกเบียดมาอยู่จุดเสี่ยงที่สุด เมื่อรถคันนั้นพุ่งเข้ามาชนกลุ่มคน และหนึ่งในนั้นคือ..
“ฝ้าย!” ฉันตะโกนสุดเสียง หัวใจเต้นกระหน่ำรู้สึกหน่วงกับภาพทุกอย่างที่เห็นตรงหน้า ด้วยความเป็นห่วงกลัวเพื่อนสาวจะเป็นอะไรไป มือบางปิดปากกลั้นเสียงกรีดร้องน้ำตาไหลล้น
ฉันก้าวเท้าจะวิ่งเข้าไปหาฝ้ายที่นอนจมกองเลือดอยู่ ทว่าไม่ถึงครึ่งก้าวร่างฉันก็ทรุดลงกับพื้น ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเหมือนถูกบีดรัดและถูกเข็มแทงทีละนิด
ฉันมองหาฝ้ายพยายามลุกขึ้นแต่ความเจ็บปวดนี้เริ่มรุนแรงขึ้นจนหายใจไม่ออก ความเย็นยะเยือกเข้าถึงกระดูกใบหน้าขาวซีดเผือดคิ้วขมวดแน่นด้วยความทรมาน ฝืนร่างกายลุกขึ้นจนเห็นเส้นเลือดบนหน้าผาก
พยายามเคลื่อนตัวไปหาฝ้ายที่จุดเกิดเหตุแต่ว่าความรู้สึกที่ถูกบีบรัดและถูกแทงที่กลางอกบริเวณนั้นทำให้ฉันเริ่มหมดกำลัง สายตาพร่ามัวเห็นร่างฝ้ายนอนราบ ฝ้ายค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมองมาทางฉันเป็นภาพสุดท้าย ก่อนทุกอย่างจะดับมืดไปหมด
“องครักษ์เฟิงข้ามีภารกิจที่ต้องให้ท่านทำร่วมกับข้า” ดวงตากระจ่างใสใต้แสงจันทร์มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยเผยยิ้มเจ้าเล่ห์ขัดกับคราบน้ำตาบนแก้มนวลอาเฟิงองครักษ์หนุ่มเบิกตากว้างเมื่อถูกสตรีผู้เป็นนายจับท้ายทอยดึงลงมาจุมพิตที่ริมฝีปากอิ่มของนาง ครั้งจะผลักผู้เป็นนายสาวออกก็สลัดไม่หลุด จะออกแรงมากขึ้นก็กลัวทำคนตัวเล็กเจ็บ อีกทั้งนางยังกอดรั้งเข้าแน่นอย่างกะอะไรดี ผลสุดท้ายแล้วรสจุมพิตหวานจากนางก็เริ่มมอมเมาทำให้เขาเอนอ่อนตอบรับอย่างเชื่อฟังหลี่เหมยซินดูดดื่มเรียวปากหยักได้รูปของอีกฝ่ายอย่างอ้อยอิ่ง ดวงตาแดงกล่ำคลอน้ำใสปรือขึ้นช้าๆ มองเขากระทำจุมพิตโต้ตอบนางอย่างโหยหาไม่ต่างกัน ไม่นานองครักษ์เฟิงหนุ่มก็กลายเป็นฝ่ายนำ ลิ้นร้อนสอดแทรกเข้าโพรงปากเล็กคว้านหาความหวานข้างในอย่างชำนาญ จนหลี่เหมยซินอ่อนละทวยเหลวเป็นน้ำแทบทรงตัวไม่อยู่ ดีที่มีแขนแกร่งของเขาเกี่ยวรัดเอวนางไว้จนตัวนางลอยเหนือพื้นหลี่เหมยซินสัมผัสได้ถึงความเร่าร้อนที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ แต่เขายังคงอ่อนโยนจนสมองนางว่างเปล่างคิดสิ่งใดไม่ออกนอกจากคล้อยตามเขาไป“ชะ..ช้าก่อน” นางพึ่งรู้ตัวว่าถนนที่ผู้คนพลุกพล่านร่ายล้อมด้
“เดี๋ยวๆ.. หยุดก่อน.. ท่าน.. ได้ยินข้าไหม.. อย่าพึ่งไป.. นี่ เหยียนเฟิ่ง!” หลี่เหมยซินเดินแทรกเข้าไปในกลุ่มผู้คนมากมายเพื่อตามบุรุษผู้นั้น เขากำลังเดินไปที่สะพานโดยไม่หันมาตามเสียงเรียกของนาง หลี่เหมยซินรู้สึกหวั่นใจที่บุรุษผู้นั้นไม่ใช่เขา เพราะตะโกนชื่อเขาตั้งหลายรอบก็ไม่มีทางทีจะใช่เขาเลยเพราะมัวแต่ชะเง้อคอมองหาบุรุษผู้นั้นจนตอนนี้ผู้คนเยอะขึ้นเดินเบียดกันทำให้นางทรงตัวไม่อยู่ชนคนนั้นคนนี้ที่เริ่มเมาหัว หาทางออกไม่เจอ แต่จู่ๆ ก็มีมือหนึ่งจับข้อมือนางไว้แล้วดึงตัวนางออกจากฝูงชนจำนวนมากหลี่เหมยซินรู้สึกเย็นๆ ที่ข้อมือนางแต่นางยังมึนๆ หน้ามืดอยู่เลยไม่ได้เงยหน้ามองผู้ที่ช่วยนางออกจากกลุ่มฝูงชนเมื่อครู่ ใช้มืออีกข้างเคาะหัวตัวเองเบาๆ แล้วหลับตาปี๋เพื่อให้หายหน้ามืด ดวงตาประกายแสงจากโคมไฟลืมตาขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลามาดเข้มจมูกโด่งได้รูปดวงตาดำสนิทแฝงความดุดันแต่กลับอ่อนโยนกำลังจ้องมอง นางนิ่งเดาอารมณ์และความคิดของเขาไม่ถูก แววตาเยือกเย็นดั่งธาราน้ำแข็งหายไปชั่วพริบตาเหลือไว้ให้เห็นแต่ความอบอุ่นที่ซ้อนอยู่นัยน์ตาดำคู่นั้นเหยียนเฟิ่ง
ในเมืองซวงโจวผู้คนเดินพลุกพล่านไปมาจับจ่ายซื้อของตามร้านค้าอย่างครึกครื้น สตรีร่างบางสวมอาภรณ์สีขาวลวดลายดอกเหมยสีชาด เรียวขายาวกึ่งเดินกึ่งวิ่งบนถนนมากผู้คน ดวงตางดงามคู่นั้นกระจ่างใสทอประกายแวววาวแห่งความสุขทอดมองไปยังเบื้องหน้า นางหันซ้ายทีขวาทีท่าทางตื่นเต้นมองหาบางสิ่งบางอย่างบนท้องถนนในเมืองมากผู้คน‘บุรุษผู้นั้นถูกพิษน้ำค้างแข็ง วันนั้นที่เขาหายตัวไปข้าพบเขาตอนที่ร่างกายกำลังถูกแช่แข็ง อวัยวะภายในเสียหายอย่างหนักรวมถึงบาดแผลที่ถูกแทงจากการต่อสู้กับนักฆ่ายิ่งทำให้เขาอ่อนแอลง ยามนั้นข้าไม่มีทางเลือกนอกจากผนึกร่างเขาไว้แล้วใช้พลังปราณรักษาเขา แต่ว่าสุดท้ายก็ฝืนลิขิตฟ้าไม่ได้..’สตรีนางนั้นหยุดฝีท้าวลงกระทันหัน นางเหนื่อยหอบลมหายใจเข้าออกรัวๆ เหงื่อเริ่มไหลทั่วใบหน้า นางหยุดพักเอาแรงพยายามปรับลมหายใจให้คงที่ ช้อนตาขึ้นมองผู้คนรอบด้านบนท้องถนนอีกครั้งอย่างไม่ลดละความตั้งใจ‘เกิดอะไรขึ้นกับเขาเจ้าคะ’‘เขาตายแล้ว’ฝีท้าวเริ่มก้าวเดินอย่างเชื่องช้าทีละก้าวด้วยความอ่อนแรง ใบหน้าสง่างามของสตรีวัยยี่สิบกว่ามีดวงตาเจือความเจ็บปวดรวดร้าวเมื่อรู้จุดจบของบ
“พลังวิญญาณที่บุรุษผู้นั้นคืนให้สำคัญต่อข้ามาก ส่วนหนึ่งของพลังข้าใส่ไว้ในกำไลที่เจ้าสวมอยู่ช่วยให้ห่อหุ้มดวงจิตเปราะบางที่พึ่งข้ามภพข้ามชาติอย่างเจ้าให้มีชีวิตรอดต่อไป พลังนี้ยังช่วยพยุงลมหายใจของเจ้าตลอดหนึ่งปีที่เจ้ายังไม่ฟื้น หลังผ่านความเป็นตายสายเลือดนักเวทย์ในอดีตชาติก็ถูกปลุกทำให้ร่างกายเจ้าแข็งแรงสมบูรณ์มากกว่าคนทั่วไป”“กำไลไม้มีพลังวิญญาณแถมยัง.. ปลุกสายเลือดนักเวทย์ พี่สะใภ้เรื่องมันชักจะวุ่นวายไปหน่อยหรือไม่ นักเวทย์เชียวนะเจ้าคะข้าไม่ชอบความวุ่นวายท่าน.. ท่านเอามันออกไปได้หรือไม่” ฉันกลายเป็นคนมีของดีโดยไม่รู้ตัวเลยต้องมีค่ายิ่งกว่าเงินทอง แต่ว่าชีวิตที่สงบสุขหลายปีมานี้จะหายไปเพราะมันหรือไม่ หากมีคนรู้จักเกิดสิ่งใดขึ้น คงหาว่านางเป็นปีศาจแล้วจับเผาหรืออยากจับไปเป็นหนูทดลอง“วางใจเถิดหากเจ้าไม่รู้วิธีนำออกมาใช้ ยังไงสุดท้ายก็มีชีวิตเหมือนมนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีสายเลือดนักเวทย์ การไม่ได้รับการฝึกฝนมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรนอกจากสายเลือดนักเวทย์ทำให้ร่างกายเจ้าแข็งแรงและมีกำลังมากกว่าคนทั่วไปเท่านั้นเฉยๆ”“ค่อยยังชั่วเจ้าค่ะ”“หนึ่งสิทธิ์ต่อหนึ่งชีว
3 ปีผ่านไป บนยอดภูเขาสูงเขียวขจีป่าไม้ร่มรื่นเสียงนกน้อยบินล่องบนท้องนภาเป็นฝูง แสงพระอาทิตย์อ่อนๆ ส่องสว่างทั่วผืนป่าในยามเย็น หลี่เหมยซินนั่งสูดอากาศบริสุทธิ์นี้ด้วยรอยยิ้มสดชื่น ดวงหน้างามเปล่งปลั่งดูสดใสแววตาไม่มีความทุกข์ความกังวลใจเหมือนดั่งเช่นอดีตฉันยิ้มรับสายลมอ่อนๆ พัดผ่าน เพราะชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรแน่นอนนางจึงพยายามหาความสุขให้กับตัวเอง ไม่อยากให้ชีวิตจมปลักอยู่กับความทุกข์ในอดีต ใช้เวลาที่มีอยู่ทำเรื่องที่อยากทำแล้วไม่เสียใจภายหลัง ชีวิตของฉันในเมืองซวงโจวก็ไม่มีอะไรมากเป็นชีวิตเรียบๆ สบายๆ ปัญหาก็มีเข้ามาบ้างเพิ่มสีสันให้ชีวิตไม่น่าเบื่อเกินไป แต่ละวันจะหานู่นหานี่ทำไม่ยอมให้ตัวเองว่างเพราะว่างทีไรคิดถึงใครบางคนทุกที“ว้าย!” หลี่เหมยซินอุทานเสียงดังเกือบหงายหลังตกใจ นั่งอยู่คนเดียวตรงนี้เป็นชั่วยามจู่ๆ ก็มีคนโผล่มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง ฉันสะดุ้งตัวโยนเกือบตกหน้าผา“ทำหน้าอย่างกับเห็นผี” หลันเซ่อหรือหนิงเทียนนั่งลงข้างๆ ขณะฉันยังคงลูบอกปลอบขวัญตัวเองพลางมองคนต้นเหตุทำขวัญตนหาย นอกจากโผล่มาแบบไม่ทันตั้งตัวแล้วจากข่าวที่ได้ยินเหล่าบุปผาราตรีกลับฉางอั
“ได้เบาะแสเขาบ้างหรือไม่” พอเห็นหน้าฮ่าวหรานประโยคแรกที่พูดกับเขาทุกวันนี้คือถามความคืบหน้าการตามหาเว่ยเหยียนเฟิ่ง ฮ่าวหรานก็ส่ายหน้าเป็นคำตอบเดิมทุกครั้ง“เหมยซินปล่อยวางเถิดพวกเราหาเขาทุกที่แล้วนะ” พลิกแผ่นดินหาเป็นปีกว่าแล้วยังไม่พบเจออะไรเกี่ยวกับบุรุษที่หายไปกลางอากาศ หากยังมีชีวิตอยู่ก็น่าจะเจออะไรบ้าง“ถ้าท่านเหนื่อย ช่วยตามหาไม่ไหวก็ไม่ต้องทำแล้ว” น้ำเสียงนุ่มไม่มีแววโกรธหรือน้อยใจของคนตรงหน้า แต่อารมณ์หลี่เหมยซินกำลังดิ่งจมอยู่ในความคิดของตัวเอง ฉันเชื่อว่าเขายังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งแน่นอนแต่ไม่รู้ว่ามันคือที่ไหน“ข้าไม่ได้เหนื่อยอะไร แต่เจ้าต่างหากทำตัวปกติทั้งที่ข้างในใจคิดถึงแต่เขาตลอด ข้าห่วงสุขภาพจิตเจ้านะหลี่เหมยซิน” เขาเห็นแววตาประกายความหวังของนางทุกครั้งที่ถามถึงเรื่องเว่ยเหยียนเฟิ่ง ดวงตาคู่นั้นผิดหวังและเศร้าหมองลงเมื่อได้รับคำตอบ“ฮ่าวหรานข้าดูแย่ขนาดนั้นเชียวรึ” ที่ผ่านมาฉันก็ทำตัวยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดไม่ได้แสดงความทุกข์ใจต่อหน้าใครทั้งสิ้น“รอยยิ้มของเจ้าไม่ถึงตาด้วยซ้ำ”ฉันสูดอากาศเข้าไปเต็มปอดแล้วถอนหายใจยาว “เพราะชี