บทที่ 5
เช้าวันรุ่งขึ้น รามิลเดินทางไปยังร้าน ‘บ้านขนม ณิชชา’ อีกครั้ง ข้างกายเขามีทนายวรุตม์ยืนอยู่ด้วยท่าทีสุภาพ ราวกับเป็นเงาที่คอยสนับสนุนความต้องการของเจ้านาย
เมื่อรามิลก้าวเข้าไปในร้าน กลิ่นหอมหวานของขนมอบไม่ได้ทำให้บรรยากาศตึงเครียดลดลง ณิชชาก็ชะงักมือจากการจัดขนม ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความระแวงและไม่พอใจที่เห็นใบหน้าของผู้ชายที่เธอพยายามลืมเลือน
ภูผามองหน้าชายแปลกหน้าด้วยความระมัดระวัง วารินจ้องมองด้วยความขี้สงสัย ส่วนเมฆาเกาะขาแม่แน่นด้วยท่าทีงอแง
"ท่านประธาน คุณมาทำไมอีก หรือว่ายังอยากจะทำลายชีวิตของฉันอีกค " ณิชชาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา พยายามรักษาระยะห่างจากเขา
รามิลรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าด้วยคำพูดนั้น "ผมมาที่นี่เพื่อคุยกับคุณ...เรื่องลูกของเรา"
"ลูกของฉันค่ะ! พวกเขาเป็นชีวิตของฉัน เป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันมี คุณไม่มีสิทธิ์มาเรียกพวกเขาว่า ลูกของเรา" ณิชชาตอบโต้ทันที น้ำเสียงของเธอแข็งกร้าว
"ณิชชา...ผมรู้ความจริงแล้ว" รามิลกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ต่ำลง "ผลตรวจ DNA ยืนยันแล้ว ผมคือพ่อของภูผา วาริน และเมฆา" ในเวลาที่พูด เขาได้หลุบตาลงมองเด็กๆ ทั้งสามคน...ไม่ใช่แค่เพียงภูผาที่หน้าตาคล้ายเขา แม้แต่วารินและเมฆาก็ยังเหมือนเขาเช่นกัน โดยเฉพาะดวงตาคมๆ นั่น
"คุณ...คุณพูดเรื่องอะไรของคุณ ฉันไม่เห็นจะเข้าใจอะไรเลย DNAอะไรกันคะ”" ณิชชาเสียงสั่น เธอรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังหมุนคว้าง
“ผมสั่งคนให้สืบ และก็หาทางพิสูจน์DNAของเด็กๆ”
“คุณทำแบบนี้ได้ยังไงกันคะ ทั้งๆ ที่ฉันไม่ได้ยินยอม แบบนี้มันเข้าข่าย...” คำพูดของเธอชะงักลงเพียงเท่านั้น เมื่อสานสบกับดวงตาคมดุของเขา
“เข้าข่ายอะไรงั้นเหรอ ในเมื่อคุณทำทีเหมือนอยากปิดบังความจริง ผมก็แค่อยากพิสูจน์ ถ้าคุณบอกผมดีๆ ตั้งแต่แรก ผมคงไม่ต้องทำถึงขั้นนี้”
“เพราะฉันไม่ต้องการเกี่ยวข้องอะไรกับคุณแล้วน่ะสิคะ คุณลืมแล้วหรือไงว่าตอนนั้นคุณทำอะไรกับฉันไว้บ้าง คุณทำฉันเจ็บแค่ไหน เจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจ”
"ผมรู้ว่าผมทำผิดกับคุณไว้มากในอดีต...คืนนั้น ผมใจร้ายและรุนแรงมากเกินไป ผมเสียใจกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ผมไม่เคยรู้ว่า..." เขาเงียบไปครู่หนึ่ง พยายามควบคุมอารมณ์ที่ปั่นป่วน "ผมไม่เคยรู้ว่าผมมีลูกถึงสามคน...ลูกที่ผมควรจะดูแลทะนุถนอม"
หญิงสาวยังคงยืนนิ่ง มองหน้ารามิลด้วยความสับสนและความไม่ไว้วางใจ คำว่า 'เสียใจ' จากปากของเขา มันช่างดูจอมปลอมและไร้ความหมายสำหรับความเจ็บปวดที่เธอต้องเผชิญมาตลอดห้าปี
"แล้วคุณต้องการอะไรจากฉันกันแน่คะ ในเมื่อคุณรู้แล้ว..." ณิชชาถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยหน่าย
"ผมต้องการที่จะรับผิดชอบ...ในฐานะพ่อของพวกเขา ผมรู้ว่าผมไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรจากคุณในตอนนี้ แต่ผมขอโอกาส...ขอโอกาสให้ผมได้เข้ามาในชีวิตของลูก ๆ ผมอยากชดเชย..."
"ชดเชย?" หญิงสาวหัวเราะเยาะออกมาอย่างขมขื่น "คุณคิดว่าคำว่าชดเชย มันจะลบล้างความเจ็บปวดและความยากลำบากที่ฉันต้องเผชิญมาตลอดห้าปีได้งั้นเหรอคะ คุณคิดว่าเงินของคุณมันจะสามารถทดแทนความรักและความอบอุ่นที่ลูก ๆ ของฉันควรจะได้รับจากพ่อได้งั้นเหรอ"
"ผมรู้ว่ามันไม่ง่าย ผมไม่ได้โง่" ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงที่เริ่มร้อนรน "แต่ผมจะไม่ยอมแพ้ ผมจะทำทุกวิถีทางเพื่อพิสูจน์ให้คุณเห็นว่าผมเปลี่ยนไปแล้ว...ว่าผมสมควรที่จะเป็นพ่อของพวกเขา"
"การกระทำสำคัญกว่าคำพูดค่ะ ท่านประธาน คำพูดของคุณมันไม่มีค่าอะไรสำหรับฉันอีกแล้ว"
"ผมเข้าใจ...ผมถึงได้มาพร้อมกับทนายวรุตม์ในวันนี้" รามิลหันไปมองทนายความข้างกาย "ผมต้องการที่จะดำเนินการเรื่องการรับรองบุตรอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และผมต้องการที่จะให้คุณและลูก ๆ ได้รับการดูแลที่ดีที่สุดในฐานะครอบครัวของเรา"
"ครอบครัว?" ณิชชาเค้นเสียงออกมาอย่างเจ็บปวด "คุณกล้าพูดคำว่าครอบครัวกับฉันงั้นเหรอคะ? ในวันที่ฉันอุ้มท้องลูกของคุณอยู่คนเดียว คุณอยู่ที่ไหน ในวันที่ลูก ๆ ของฉันป่วยหนัก คุณเคยแม้แต่จะรู้เรื่องของพวกเขาบ้างไหม?"
"นั่นเพราะคุณไม่เคยบอกผมว่ามีลูก”
“เหอะ ดูจากความใจร้ายของคุณในคืนนั้นแล้ว ถ้าคุณรู้ว่าฉันท้อง คุณอาจจะบังคับให้ฉันเอาออกก็ได้ค่ะ”
ใบหน้าคมซีดเผือด พูดไม่ออกไปชั่วขณะ
"คุณคิดว่าเงินของคุณจะสามารถชดเชยทุกสิ่งทุกอย่างได้งั้นเหรอคะ ความรัก ความผูกพัน เวลา...สิ่งเหล่านี้มันซื้อขายกันไม่ได้"
"ผมรู้...ผมรู้ดี แต่ผมต้องการที่จะเริ่มต้นใหม่...เพื่อลูก ๆ ของเรา และถ้าเป็นไปได้ก็เพื่อคุณด้วย"
เช้าวันรุ่งขึ้น รามิลสั่งให้เด็ก ๆ แต่งตัวให้เรียบร้อยเป็นพิเศษ เพราะจะมีครูจากโรงเรียนเอกชนชื่อดังมาทำการคัดเลือกเพื่อเข้าเรียนในภาคเรียนถัดไปเขาได้ทำการให้เด็กๆ ลาออกจากโรงเรียนรัฐ เพื่อเข้าโรงเรียนเอกชนที่เขาเป็นคนคัดสรรว่าดีที่สุด“อย่าทำให้ผมอับอายขายหน้า หากลูกของคุณสอบไม่ผ่าน นั่นหมายความว่าเพราะคุณสั่งสอนไม่ดี” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบขณะยืนแต่งสูทเรียบหรูหน้ากระจก โดยไม่แม้แต่จะหันมามองณิชชาที่กำลังจัดชุดให้เด็ก ๆ อยู่บนโซฟา“เด็กทั้งสามคนมีศักยภาพและมีความสามารถค่ะ ฉันมั่นใจในตัวพวกเขา” เธอตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบ พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้มือที่กำลังติดกระดุมเสื้อของเมฆาสั่น“ความมั่นใจลม ๆ แล้ง ๆ ของคุณ ไม่ใช่หลักประกันที่เชื่อถือได้สำหรับผม” เขาย้อนทันควันด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความดูถูก“ค่ะ ดูเหมือนว่าฉันพูดอะไรไปก็จะผิดหูสำหรับคุณไปหมดเลยนะคะ”“นั่นเพราะคุณมันเป็นแบบนั้นจริงๆ นี่”“ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ คุณจะเหน็บ จะแซะ จะแขวะอะไรฉัน
“ตุ๊กตาแพนด้าของเมฆหายไปฮับ แงงงง” เสียงร้องไห้ของเมฆาดังลั่นบ้านในเช้าวันจันทร์ที่ควรเริ่มต้นด้วยความสดใส เมฆานั่งกอดหมอนบนโซฟา น้ำตาไหลอาบแก้ม ดวงหน้าเล็ก ๆ ยู่ยี่ด้วยความเสียใจและไม่เข้าใจว่าทำไมตุ๊กตาตัวโปรดถึงหายไป ณิชชานั่งย่อตัวลงตรงหน้าลูกชายอย่างอ่อนโยน มือเรียวลูบศีรษะเล็ก ๆ เบา ๆ อย่างปลอบโยน“เมฆแน่ใจนะว่าเอาตุ๊กตามาด้วยจริง ๆ”“แน่ใจฮับคุณแม่ เมฆวางไว้บนหัวเตียงเมื่อคืนก่อนนอน เมฆกอดมันทุกคืนเลย”“ไม่ร้องนะครับคนเก่ง เดี๋ยวแม่ช่วยหานะ” หญิงสาวยิ้มให้ลูกชายอย่างให้กำลังใจ แล้วลุกขึ้นเดินหาทั่วบ้านพร้อมกับภูผาและวารินที่ช่วยกันค้นหาอย่างขะมักเขม้น ครู่ต่อมา วารินวิ่งหน้าตื่นมาจากหลังบ้าน “คุณแม่... วาเห็นตุ๊กตาอยู่ในถังขยะค่ะ”ณิชชาชะงัก หัวใจเหมือนถูกบีบอย่างแรง เธอรีบตามลูกสาวไปที่หลังบ้าน และก็เป็นอย่างที่วารินบอก... ตุ๊กตาแพนด้าขอ
เช้าวันใหม่ เด็กทั้งสามนั่งเรียงกันอยู่บนพรมผืนนุ่มในห้องนั่งเล่น วารินกำลังสานริบบิ้นหลากสีกับแม่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เมฆากำลังจัดเรียงรถของเล่นคันโปรดอย่างขะมักเขม้น ส่วนภูผาเงียบกว่าทุกครั้ง เขานั่งอยู่ข้างน้องชายแต่สายตากลับคอยชำเลืองมองแม่ตลอดเวลาด้วยความกังวล“แม่ฮะ... วันนี้เราไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะได้ไหมฮับ” เสียงเล็กของเมฆาถามขึ้นอย่างมีความหวัง ดวงตาเป็นประกายด้วยความอยากออกไปข้างนอกหญิงสาวหันไปสบตากับลูกชายแล้วลูบศีรษะเล็ก “ถ้าพ่ออนุญาต แม่ก็พาไปได้จ้ะ”เด็กทั้งสามหันไปมองบิดาที่เพิ่งเดินลงมาจากบันไดเกือบจะพร้อมกัน รามิลมองภาพนั้นนิ่ง ๆ ด้วยแววตาเย็นชา“พ่อครับ พวกเราขอออกไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะได้ไหมคับ” ภูผาเป็นคนลุกขึ้นก่อนใคร และออกปากขออนุญาตตามประสาพี่ใหญ่หญิงสาวเห็นสายตาของเขา ก็รู้สึกขนลุก เลยรีบพูดว่า “แค่เดินเล่นเองค่ะ ช่วงนี้เด็กๆ โรงเรียนหยุดยาวด้วย ให้ได้ไปเปิดหูเปิดตาบ้างเถอะนะคะ ฉันจะดูแลเป็นอย่างดีค่ะ”เขาพยักหน้าอนุญาตอย่างไม่เต็มใจนัก “ได้ แต่คุณต้องพาคนขับรถไปด้วย ห้ามพาเด็ก ๆ ไปในที่แออัด หรือสถานที่ที่คุณเคยไปสมัยทำงานในบริษัทเด็ดขาด” น้ำเสียงเข้มเต็ม
คืนนั้น ณิชชาแทบไม่ได้หลับเลย เธอนั่งเฝ้าลูก ๆ ที่เพิ่งกลับมาจากโรงพยาบาล นอนพักฟื้นอยู่ในห้องนอนส่วนตัว ร่างเล็ก ๆ ที่เพิ่งหายจากอาการป่วยยังดูอ่อนแรง หากแต่ก็ยังส่งยิ้มสดใสให้เธอเสมอ ราวกับต้องการบอกว่าพวกเขาไม่เป็นไรและไม่อยากให้เธอต้องเป็นห่วงหัวใจของคนเป็นแม่เจ็บปวดราวกับถูกกรีดเป็นริ้ว ๆ หากแต่ก็ไม่อาจเอ่ยคำใด หรืออธิบายความรู้สึกใด ๆ ให้ใครได้รับรู้เลย เธอทำได้เพียงกอดลูกๆไว้ และภาวนาให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปโดยเร็วเช้าวันถัดมา รามิลเดินเข้ามาในห้องอาหารด้วยสีหน้าเรียบนิ่งราวกับไร้อารมณ์ เขาไม่แม้แต่จะชายตามองเธอสักครั้ง ขณะที่ณิชชายกถาดอาหารเช้าไปวางตรงหน้าลูก ๆ“ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ผมจะให้แม่ครัวเป็นคนจัดเตรียมอาหารสำหรับเด็ก ๆ เอง คุณไม่จำเป็นต้องเข้ามาในครัวอีกต่อไป” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ โดยไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าเธอ“แต่ว่า…” ณิชชาพยายามจะค้านอย่างอ่อนแรง“อย่าได้คิดที่จะโต้แย้ง ผมไม่มีเวลามากพอที่จะมาเสี่ยงกับความสะเพร่าของใครบางคน” รามิลตัดบทอย่างเด็ดขาด น้ำเสียงของเขาเย็นชาและเฉียบขาดจนณิชชาไม่อาจโต้เถียงได้อีกถ้อยคำเหล่านั้นราวกับตอกย้ำว่าเธอเป็นเพียงคว
กลิ่นหอมหวานของขนมอบลอยคลุ้งไปทั่วห้องครัว ณิชชาบรรจงทำอาหารเช้าสำหรับลูก ๆ ทุกเช้าด้วยความใส่ใจ ราวกับเป็นกิจวัตรสำคัญที่ไม่อาจละเลย เธอผสมแป้งด้วยมือ คัดสรรวัตถุดิบทุกอย่างด้วยความระมัดระวังที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ในใจจะรู้ดีว่า ไม่มีใครในบ้านหลังนี้รับรู้ในความตั้งใจของเธอเลยก็ตามแต่สำหรับเด็ก ๆ แล้ว เธอปรารถนาให้ทุกคำที่พวกเขาได้ทานเข้าไป เปี่ยมไปด้วยความรักและความอบอุ่นจากผู้เป็นแม่“วันนี้แม่ทำเค้กกล้วยหอมด้วยนะลูก” เธอยิ้มละมุนขณะจัดขนมใส่จาน เตรียมเสิร์ฟพร้อมนมอุ่นหอมกรุ่นเด็กทั้งสามเดินลงมานั่งประจำที่ วารินส่งยิ้มหวานให้มารดา “วาอยากทานขนมฝีมือคุณแม่ทุกวันเลยค่ะ อร่อยที่สุดในโลก”“พี่ภูขออันที่กล้วยเยอะ ๆ นะฮะ เขาชอบกล้วย” เมฆาเอ่ยด้วยน้ำเสียงใสแจ๋วณิชชาหัวเราะเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู ก่อนจะจัดจานตามความต้องการของลูก ๆ อย่างใส่ใจ แล้วยกไปวางบนโต๊ะอาหารรามิลเดินเข้ามาในห้องอาหารพอดี นัยน์ตาคมกริบปรายมองอาหารเช้าบนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจนัก เขาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างเงียบ ๆ โดยไม่เอ่ยทักทายเด็ก ๆ หรือแม้แต่เธอ“เช้านี้ฉันทำเค้กกล้วยหอมค่ะ ไม่มีน้ำตาลมาก เด็ก ๆ จะได้ทานง่าย ๆ” ณิชชาอ
เช้าวันใหม่มาพร้อมกับอากาศเย็นสบาย หากแต่ในความรู้สึกของณิชชา กลับเหมือนต้องเดินอยู่ท่ามกลางหมอกหนา ความอึดอัดที่เกาะกุมหัวใจยังคงหนักอึ้ง เธอตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมนมกล่องและอาหารเช้าสำหรับลูก ๆ ด้วยความใส่ใจ แม้ในใจจะตระหนักดีถึงสถานะของตนเองในบ้านหลังนี้เสียงฝีเท้าหนักๆ ก้าวเข้ามาในห้องอาหาร รามิลปรากฏตัวในชุดสูทสีเทาเข้ม ใบหน้าคมคายเรียบนิ่งราวกับรูปสลักหินอ่อน"เด็ก ๆ ยังไม่ลงมาอีกหรือไง" เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบขณะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้หัวโต๊ะ"กำลังล้างมือกันอยู่ค่ะ เดี๋ยวก็มาแล้ว" ณิชชาตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพรามิลกวาดสายตาไปทั่วโต๊ะอาหาร ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา "นมต้องอุ่นให้ได้อุณหภูมิพอดี ไม่เกิน 38 องศาเซลเซียส อาหารว่างควรมีผลไม้สดเพื่อเพิ่มวิตามิน ไม่ใช่แค่ขนมปังอย่างเดียว นี่เป็นสิ่งที่คนเป็นแม่ควรใส่ใจ หากคิดจะทำหน้าที่แม่ของลูก ๆ ผม"ณิชชากล้ำกลืนความรู้สึกขุ่นเคืองลงไป พยักหน้ารับอย่างสงบเสงี่ยม เธอรู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์ที่จะโต้แย้งใด ๆเด็ก ๆ วิ่งกรูเข้ามาในห้องอาหารด้วยท่าทีร่าเริง เมฆาเป็นคนแรกที่ส่งเสียงใส "คุณพ่ออออ"รามิลยกมือขึ้นลูบศีรษะลูกชายคนเล็ก "