บทที่ 4
ผลตรวจดีเอ็นเอ
หลังจากรามิลเดินออกจากร้านไป ความเงียบก็ปกคลุม ‘บ้านขนม ณิชชา’ อีกครั้ง มือของเธอสั่นเทาเล็กน้อย หัวใจเต้นระรัวด้วยความกังวล ความกลัวที่เธอพยายามกดเอาไว้ตลอดห้าปีที่ผ่านมาเริ่มปะทุขึ้นอีกครั้ง
เขาต้องการอะไรกันแน่? ทำไมถึงเพิ่งมาสนใจเรื่องลูกในตอนนี้? คำถามมากมายวนเวียนอยู่ในความคิดของณิชชา เธอไม่เข้าใจเจตนาที่แท้จริงของรามิล การปรากฏตัวของเขาอย่างกะทันหันและการพูดถึงเรื่องลูกทำให้เธอรู้สึกหวาดระแวง
"คุณแม่ฮับ คุณลุงคนนั้นเป็นใครเหรอฮับ? ทำไมหน้าตาดูไม่ค่อยพอใจเลย แล้วทำไมต้องมาที่ร้านของเราด้วย?" น้องเมฆาถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัย ดวงตากลมโตจับจ้องมองใบหน้าของณิชชาอย่างเป็นห่วง
“หืม ? หนูเห็นคุณลุงด้วยเหรอจ๊ะ” เธอถาม
“เห็นคับ พวกเราแอบดูตรงหน้าต่าง ไม่เห็นซื้อขนมเลย แต่ทำหน้าเหมือนจะกินแม่เลยฮับ หรือว่าเขาเป็นยักษ์แปลงตัวมา”
ณิชชาฝืนยิ้มให้ลูกชายคนเล็ก ลูบศีรษะเขาเบา ๆ "ไม่มีอะไรหรอกจ้ะเมฆา คุณลุงเขาอาจจะมีเรื่องไม่สบายใจน่ะ"
"แต่หนูกลัวเขาจังเลยค่ะ เขาดูดุ ๆ หนูไม่อยากให้เขามาที่นี่อีก" น้องวารินเอ่ยเสียงเบา เกาะแขนณิชชาแน่น น้ำตาคลอเบ้าเล็กน้อย
"ไม่ต้องกลัวนะจ้ะวา หนูมีแม่คอยปกป้องอยู่ตรงนี้ไง" ณิชชากอดลูกสาวคนกลางไว้แนบอก พยายามปลอบประโลมทั้งที่ในใจของเธอก็กำลังสั่นคลอน
น้องภูผายืนมองแม่และน้อง ๆ ด้วยแววตาที่สุขุมเกินวัย เขาไม่ได้พูดอะไร แต่สายตาของเขากลับเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ราวกับกำลังประเมินสถานการณ์ "คุณแม่ครับ ถ้าคุณลุงคนนั้นมาอีก เราจะทำยังไงครับ"
ณิชชาถอนหายใจ "ถ้าเขามาอีก แม่จะคุยกับเขาเอง พวกเราไม่ต้องกลัวนะ"
“สีหน้าคุณลุงหมี เหมือนจะกินหัวแม่เราเลยนะพี่ภูผา” เมฆาหันไปกระซิบกระซาบกับพี่ชาย แต่ไม่รู้กระซิบกันยังไง ผู้เป็นแม่ถึงได้ยินหมดทุกคำ
“อืม ตัวโต หน้าดุ เหมือนหมีจริงด้วย พี่เคยดูในสารคดีสัตว์โลก เขาบอกว่าถ้าเจอหมีให้แกล้งตายล่ะ ไม่รู้จะได้ผลไหม” ภูผาจับคางตัวเอง คิดหนัก
“ไม่ได้ผลแน่นอนค่ะ” วารินส่ายหน้า “ดูจากหน้าตาคุณลุงแล้ว ถ้าขืนแม่เราแกล้งตาย แม่คงโดนจับกินแน่ๆ เลย”
“เห็นด้วยกับวารินฮับ” เมฆายกมือขึ้น
ณิชชาถอนหายใจยาว ได้แต่ส่ายหน้าให้กับความไร้เดียงสานั้น
ตลอดทั้งวัน หญิงสาวพยายามอย่างหนักที่จะทำตัวให้เป็นปกติ ทำงานที่ร้าน ดูแลลูก ๆ และพยายามไม่คิดถึงรามิล แต่ภาพใบหน้าคมเข้มและแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของเขากลับตามหลอกหลอนเธออยู่ตลอดเวลา ความรู้สึกเหมือนมีเงาบางอย่างกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ ทำให้เธอรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก
ฝ่ายรามิล ก็กลับไปที่คฤหาสน์ด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างกัน คำพูดและการแสดงออกที่แข็งกร้าวของณิชชายิ่งทำให้ความสงสัยในใจของเขามีมากขึ้นเป็นทวีคูณ คำพูดของเธอไม่ยอมรับว่าเด็กเป็นลูกของเขา แต่รูปประโยคในบางครั้งกลับเหมือนเด็กเป็นลูกของเขา ซึ่งเธอไม่ต้องการให้เขาไปข้องเกี่ยว
ร่างสูงเดินวนไปวนมาในห้องทำงานอย่างกระวนกระวาย ความรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญกำลังถูกซ่อนไว้จากเขา
"วิน ได้เรื่องที่ผมสั่งไปหรือยัง" รามิลเอ่ยถามเลขาคนสนิทด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความร้อนรน
วินเดินเข้ามาพร้อมกับแฟ้มเอกสารในมือ "เรียบร้อยแล้วครับท่านประธาน ผมได้ข้อมูลเกี่ยวกับคุณณิชชาในช่วงห้าปีที่ผ่านมาทั้งหมดแล้วครับ"
“ดี เร็วดีมาก นึกว่าจะให้ได้แค่ร้านขนม” รามิลรีบคว้าแฟ้มเอกสารมาเปิดอ่านอย่างรวดเร็ว ข้อมูลส่วนตัวของณิชชา ที่อยู่ปัจจุบัน ประวัติการทำงาน และประวัติการคลอดบุตร
ดวงตาคมกริบของรามิลจับจ้องอยู่ที่ประวัติของเด็กแฝดสามอย่างไม่วางตา ชื่อของเด็กทั้งสาม ภูผา วาริน เมฆา...และช่องที่ระบุชื่อบิดาที่ว่างเปล่า
ความรู้สึกหลากหลายถาโถมเข้ามาในจิตใจของรามิล ทั้งความตกใจ ความสับสน
“อะไรวะ !! ลูกแฝดสามเนี่ยนะ !!” เขารู้สึกเหมือนจะเป็นลม หมายความว่ามีเด็กที่หน้าเหมือนเด็กชายคนนั้นอีกสองคนน่ะสิ
"วิน ผมมีงานให้คุณทำ" รามิลเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและเด็ดขาด
"ครับท่านประธาน" วินตอบรับทันที
"ผมต้องการให้คุณสืบประวัติความเป็นมาของณิชชาในช่วงห้าปีที่ผ่านมาอย่างละเอียด เธอไปอยู่ที่ไหน ทำอะไรบ้าง และที่สำคัญที่สุด ผมต้องการข้อมูลเกี่ยวกับเด็กสามคนที่เธอเลี้ยงดูอยู่"
"ครับท่านประธาน ผมจะดำเนินการทันทีครับ" วินรับคำ
"ไม่ใช่แค่สืบประวัติ" รามิลเสริมด้วยน้ำเสียงที่ต่ำลง "ผมต้องการให้คุณหาโอกาสเก็บตัวอย่างบางอย่างจากเด็กพวกนั้นมาให้ผม"
วินเงียบไปครู่หนึ่งด้วยความสงสัย "ตัวอย่างอะไรหรือครับท่านประธาน"
"อะไรก็ได้ เส้นผม แก้วน้ำ อะไรก็ได้ที่สามารถนำมาตรวจสอบความสัมพันธ์ทางสายเลือดได้" ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความไม่แน่ใจ
"ท่านประธานสงสัยว่า..." วินถามด้วยความระมัดระวัง
"ผมไม่แน่ใจ วิน" รามิลตอบอย่างตรงไปตรงมา "แต่ผมต้องการความจริง...และผมต้องการมันเดี๋ยวนี้"
"ครับท่านประธาน ผมจะดำเนินการด้วยความรอบคอบที่สุดครับ" วินรับคำอย่างหนักแน่น
ตลอดหลายวันต่อมา วินและทีมงานของเขาทุ่มเทให้กับการสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับณิชชาและเด็กแฝด พวกเขาสืบประวัติการอยู่อาศัย การทำงาน และกิจวัตรประจำวันของณิชชาอย่างละเอียด พวกเขาสังเกตการณ์ร้าน ‘บ้านขนม ณิชชา’ และโรงเรียนที่เด็ก ๆ ไป เพื่อหาโอกาสในการเก็บตัวอย่างตามคำสั่งของรามิล
ในที่สุด โอกาสก็มาถึง เมื่อคนของวินสังเกตเห็นว่าน้องคนเล็ก - วารีน - ทำแก้วน้ำส่วนตัวตกไว้ที่โต๊ะในร้านขนมในช่วงที่ณิชชากำลังวุ่นวายอยู่กับลูกค้า พวกเขารีบเข้าไปเก็บแก้วนั้นมาโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น และก็ได้เส้นผมของหนูน้อยมาด้วย
วินนำแก้วน้ำและเส้นผมที่ได้มาส่งให้กับรามิลด้วยตัวเอง รามิลรับมันมาด้วยมือที่สั่นเทาเล็กน้อย
"จัดการส่งตรวจ DNA โดยเร็วที่สุด !!"
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าสำหรับรามิล ทุกวินาทีราวกับยาวนานนับชั่วโมง เขานั่งรอผลตรวจด้วยความกระวนกระวาย ความคิดของเขาว้าวุ่นอยู่กับภาพใบหน้าของเด็ก ๆ และแววตาที่คล้ายคลึงกับเขาอย่างน่าประหลาด
ในที่สุด วินก็โทรศัพท์เข้ามา รายงานผลตรวจ
"ท่านประธานครับ ผลตรวจ DNA ออกแล้วครับ"
ลมหายใจของชายหนุ่มติดขัดอยู่ในลำคอ เขาไม่กล้าที่จะถามคำถามที่รอคอย
"ผลเป็นยังไง วิน?" รามิลเค้นเสียงถามออกมาในที่สุด
"ผลปรากฏว่าคุณคือบิดาทางสายเลือดของเด็กทั้งสามครับ ท่านประธาน"
ราวกับมีกระแสไฟฟ้าแรงสูงแล่นผ่านร่างกาย รามิลรู้สึกชาไปทั้งตัว ความรู้สึกหลากหลายถาโถมเข้ามา
‘ลูก...เด็กพวกนั้นคือลูกของฉันจริง ๆ เหรอ? สามคนเลย...?’
เขาเงียบไปนานจนวินต้องเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง "ท่านประธานครับ ท่านยังอยู่ไหมครับ"
"อยู่...ฉันอยู่" รามิลตอบเสียงแผ่วเบา ความจริงที่ได้รับรู้มันหนักหน่วงเกินกว่าที่เขาจะประมวลผลได้ในทันที
"ท่านประธานจะให้ผมดำเนินการอย่างไรต่อไปครับ?" วินถามด้วยความระมัดระวัง
รามิลถอนหายใจยาว "เตรียมเอกสารทางกฎหมายเกี่ยวกับการรับรองบุตร และนัดทนายความให้ผมด้วย ผมต้องการพบเขาในเช้าวันพรุ่งนี้"
"ครับท่านประธาน" วินรับคำ
รามิลวางสายโทรศัพท์ลง เขานั่งอยู่บนเก้าอี้หนังตัวใหญ่ มองไปยังความว่างเปล่าเบื้องหน้า ก่อนจะถอนหายใจออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เช้าวันรุ่งขึ้น รามิลสั่งให้เด็ก ๆ แต่งตัวให้เรียบร้อยเป็นพิเศษ เพราะจะมีครูจากโรงเรียนเอกชนชื่อดังมาทำการคัดเลือกเพื่อเข้าเรียนในภาคเรียนถัดไปเขาได้ทำการให้เด็กๆ ลาออกจากโรงเรียนรัฐ เพื่อเข้าโรงเรียนเอกชนที่เขาเป็นคนคัดสรรว่าดีที่สุด“อย่าทำให้ผมอับอายขายหน้า หากลูกของคุณสอบไม่ผ่าน นั่นหมายความว่าเพราะคุณสั่งสอนไม่ดี” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบขณะยืนแต่งสูทเรียบหรูหน้ากระจก โดยไม่แม้แต่จะหันมามองณิชชาที่กำลังจัดชุดให้เด็ก ๆ อยู่บนโซฟา“เด็กทั้งสามคนมีศักยภาพและมีความสามารถค่ะ ฉันมั่นใจในตัวพวกเขา” เธอตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบ พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้มือที่กำลังติดกระดุมเสื้อของเมฆาสั่น“ความมั่นใจลม ๆ แล้ง ๆ ของคุณ ไม่ใช่หลักประกันที่เชื่อถือได้สำหรับผม” เขาย้อนทันควันด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความดูถูก“ค่ะ ดูเหมือนว่าฉันพูดอะไรไปก็จะผิดหูสำหรับคุณไปหมดเลยนะคะ”“นั่นเพราะคุณมันเป็นแบบนั้นจริงๆ นี่”“ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ คุณจะเหน็บ จะแซะ จะแขวะอะไรฉัน
“ตุ๊กตาแพนด้าของเมฆหายไปฮับ แงงงง” เสียงร้องไห้ของเมฆาดังลั่นบ้านในเช้าวันจันทร์ที่ควรเริ่มต้นด้วยความสดใส เมฆานั่งกอดหมอนบนโซฟา น้ำตาไหลอาบแก้ม ดวงหน้าเล็ก ๆ ยู่ยี่ด้วยความเสียใจและไม่เข้าใจว่าทำไมตุ๊กตาตัวโปรดถึงหายไป ณิชชานั่งย่อตัวลงตรงหน้าลูกชายอย่างอ่อนโยน มือเรียวลูบศีรษะเล็ก ๆ เบา ๆ อย่างปลอบโยน“เมฆแน่ใจนะว่าเอาตุ๊กตามาด้วยจริง ๆ”“แน่ใจฮับคุณแม่ เมฆวางไว้บนหัวเตียงเมื่อคืนก่อนนอน เมฆกอดมันทุกคืนเลย”“ไม่ร้องนะครับคนเก่ง เดี๋ยวแม่ช่วยหานะ” หญิงสาวยิ้มให้ลูกชายอย่างให้กำลังใจ แล้วลุกขึ้นเดินหาทั่วบ้านพร้อมกับภูผาและวารินที่ช่วยกันค้นหาอย่างขะมักเขม้น ครู่ต่อมา วารินวิ่งหน้าตื่นมาจากหลังบ้าน “คุณแม่... วาเห็นตุ๊กตาอยู่ในถังขยะค่ะ”ณิชชาชะงัก หัวใจเหมือนถูกบีบอย่างแรง เธอรีบตามลูกสาวไปที่หลังบ้าน และก็เป็นอย่างที่วารินบอก... ตุ๊กตาแพนด้าขอ
เช้าวันใหม่ เด็กทั้งสามนั่งเรียงกันอยู่บนพรมผืนนุ่มในห้องนั่งเล่น วารินกำลังสานริบบิ้นหลากสีกับแม่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เมฆากำลังจัดเรียงรถของเล่นคันโปรดอย่างขะมักเขม้น ส่วนภูผาเงียบกว่าทุกครั้ง เขานั่งอยู่ข้างน้องชายแต่สายตากลับคอยชำเลืองมองแม่ตลอดเวลาด้วยความกังวล“แม่ฮะ... วันนี้เราไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะได้ไหมฮับ” เสียงเล็กของเมฆาถามขึ้นอย่างมีความหวัง ดวงตาเป็นประกายด้วยความอยากออกไปข้างนอกหญิงสาวหันไปสบตากับลูกชายแล้วลูบศีรษะเล็ก “ถ้าพ่ออนุญาต แม่ก็พาไปได้จ้ะ”เด็กทั้งสามหันไปมองบิดาที่เพิ่งเดินลงมาจากบันไดเกือบจะพร้อมกัน รามิลมองภาพนั้นนิ่ง ๆ ด้วยแววตาเย็นชา“พ่อครับ พวกเราขอออกไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะได้ไหมคับ” ภูผาเป็นคนลุกขึ้นก่อนใคร และออกปากขออนุญาตตามประสาพี่ใหญ่หญิงสาวเห็นสายตาของเขา ก็รู้สึกขนลุก เลยรีบพูดว่า “แค่เดินเล่นเองค่ะ ช่วงนี้เด็กๆ โรงเรียนหยุดยาวด้วย ให้ได้ไปเปิดหูเปิดตาบ้างเถอะนะคะ ฉันจะดูแลเป็นอย่างดีค่ะ”เขาพยักหน้าอนุญาตอย่างไม่เต็มใจนัก “ได้ แต่คุณต้องพาคนขับรถไปด้วย ห้ามพาเด็ก ๆ ไปในที่แออัด หรือสถานที่ที่คุณเคยไปสมัยทำงานในบริษัทเด็ดขาด” น้ำเสียงเข้มเต็ม
คืนนั้น ณิชชาแทบไม่ได้หลับเลย เธอนั่งเฝ้าลูก ๆ ที่เพิ่งกลับมาจากโรงพยาบาล นอนพักฟื้นอยู่ในห้องนอนส่วนตัว ร่างเล็ก ๆ ที่เพิ่งหายจากอาการป่วยยังดูอ่อนแรง หากแต่ก็ยังส่งยิ้มสดใสให้เธอเสมอ ราวกับต้องการบอกว่าพวกเขาไม่เป็นไรและไม่อยากให้เธอต้องเป็นห่วงหัวใจของคนเป็นแม่เจ็บปวดราวกับถูกกรีดเป็นริ้ว ๆ หากแต่ก็ไม่อาจเอ่ยคำใด หรืออธิบายความรู้สึกใด ๆ ให้ใครได้รับรู้เลย เธอทำได้เพียงกอดลูกๆไว้ และภาวนาให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปโดยเร็วเช้าวันถัดมา รามิลเดินเข้ามาในห้องอาหารด้วยสีหน้าเรียบนิ่งราวกับไร้อารมณ์ เขาไม่แม้แต่จะชายตามองเธอสักครั้ง ขณะที่ณิชชายกถาดอาหารเช้าไปวางตรงหน้าลูก ๆ“ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ผมจะให้แม่ครัวเป็นคนจัดเตรียมอาหารสำหรับเด็ก ๆ เอง คุณไม่จำเป็นต้องเข้ามาในครัวอีกต่อไป” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ โดยไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าเธอ“แต่ว่า…” ณิชชาพยายามจะค้านอย่างอ่อนแรง“อย่าได้คิดที่จะโต้แย้ง ผมไม่มีเวลามากพอที่จะมาเสี่ยงกับความสะเพร่าของใครบางคน” รามิลตัดบทอย่างเด็ดขาด น้ำเสียงของเขาเย็นชาและเฉียบขาดจนณิชชาไม่อาจโต้เถียงได้อีกถ้อยคำเหล่านั้นราวกับตอกย้ำว่าเธอเป็นเพียงคว
กลิ่นหอมหวานของขนมอบลอยคลุ้งไปทั่วห้องครัว ณิชชาบรรจงทำอาหารเช้าสำหรับลูก ๆ ทุกเช้าด้วยความใส่ใจ ราวกับเป็นกิจวัตรสำคัญที่ไม่อาจละเลย เธอผสมแป้งด้วยมือ คัดสรรวัตถุดิบทุกอย่างด้วยความระมัดระวังที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ในใจจะรู้ดีว่า ไม่มีใครในบ้านหลังนี้รับรู้ในความตั้งใจของเธอเลยก็ตามแต่สำหรับเด็ก ๆ แล้ว เธอปรารถนาให้ทุกคำที่พวกเขาได้ทานเข้าไป เปี่ยมไปด้วยความรักและความอบอุ่นจากผู้เป็นแม่“วันนี้แม่ทำเค้กกล้วยหอมด้วยนะลูก” เธอยิ้มละมุนขณะจัดขนมใส่จาน เตรียมเสิร์ฟพร้อมนมอุ่นหอมกรุ่นเด็กทั้งสามเดินลงมานั่งประจำที่ วารินส่งยิ้มหวานให้มารดา “วาอยากทานขนมฝีมือคุณแม่ทุกวันเลยค่ะ อร่อยที่สุดในโลก”“พี่ภูขออันที่กล้วยเยอะ ๆ นะฮะ เขาชอบกล้วย” เมฆาเอ่ยด้วยน้ำเสียงใสแจ๋วณิชชาหัวเราะเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู ก่อนจะจัดจานตามความต้องการของลูก ๆ อย่างใส่ใจ แล้วยกไปวางบนโต๊ะอาหารรามิลเดินเข้ามาในห้องอาหารพอดี นัยน์ตาคมกริบปรายมองอาหารเช้าบนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจนัก เขาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างเงียบ ๆ โดยไม่เอ่ยทักทายเด็ก ๆ หรือแม้แต่เธอ“เช้านี้ฉันทำเค้กกล้วยหอมค่ะ ไม่มีน้ำตาลมาก เด็ก ๆ จะได้ทานง่าย ๆ” ณิชชาอ
เช้าวันใหม่มาพร้อมกับอากาศเย็นสบาย หากแต่ในความรู้สึกของณิชชา กลับเหมือนต้องเดินอยู่ท่ามกลางหมอกหนา ความอึดอัดที่เกาะกุมหัวใจยังคงหนักอึ้ง เธอตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมนมกล่องและอาหารเช้าสำหรับลูก ๆ ด้วยความใส่ใจ แม้ในใจจะตระหนักดีถึงสถานะของตนเองในบ้านหลังนี้เสียงฝีเท้าหนักๆ ก้าวเข้ามาในห้องอาหาร รามิลปรากฏตัวในชุดสูทสีเทาเข้ม ใบหน้าคมคายเรียบนิ่งราวกับรูปสลักหินอ่อน"เด็ก ๆ ยังไม่ลงมาอีกหรือไง" เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบขณะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้หัวโต๊ะ"กำลังล้างมือกันอยู่ค่ะ เดี๋ยวก็มาแล้ว" ณิชชาตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพรามิลกวาดสายตาไปทั่วโต๊ะอาหาร ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา "นมต้องอุ่นให้ได้อุณหภูมิพอดี ไม่เกิน 38 องศาเซลเซียส อาหารว่างควรมีผลไม้สดเพื่อเพิ่มวิตามิน ไม่ใช่แค่ขนมปังอย่างเดียว นี่เป็นสิ่งที่คนเป็นแม่ควรใส่ใจ หากคิดจะทำหน้าที่แม่ของลูก ๆ ผม"ณิชชากล้ำกลืนความรู้สึกขุ่นเคืองลงไป พยักหน้ารับอย่างสงบเสงี่ยม เธอรู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์ที่จะโต้แย้งใด ๆเด็ก ๆ วิ่งกรูเข้ามาในห้องอาหารด้วยท่าทีร่าเริง เมฆาเป็นคนแรกที่ส่งเสียงใส "คุณพ่ออออ"รามิลยกมือขึ้นลูบศีรษะลูกชายคนเล็ก "