ฉันตื่นก่อนนาฬิกาปลุก หัวสมองแล่นเหมือนคนเพิ่งวางแผนแทรกซึมเข้าองค์กรลับ…ทั้งที่วันนี้ ฉันต้องไปนั่งกินข้าวกับ ‘ว่าที่สามีในนาม’ ของตัวเอง
เอาเข้าจริง ฉันไม่เคยเตรียมตัวไปเดทเลยในชีวิต
แต่เรื่อง ‘ภารกิจ’ น่ะ…ฉันเชี่ยวชาญ
และวันนี้ก็คือหนึ่งในภารกิจนั้น
การดูตัวกับชายที่ถูกขนานนามว่า ‘จิ้งจอก’ แห่งวงการธุรกิจ
หลังจากอาบน้ำเสร็จ ฉันสวมเดรสสีครีมจากตู้เสื้อผ้าของพลอยไพลิน จากนั้นก็หยิบนามบัตรที่พลอยไพลินยื่นมาให้เมื่อวันก่อน
‘พี่ชิน เมคอัพอาร์ติสต์’ ช่างแต่งหน้าที่เหล่าเซเลบเรียกใช้งานมากที่สุดในรัศมีห้ากิโลเมตร
แน่นอน ฉันโทรไปนัดตั้งแต่เมื่อวาน และเขาตอบรับเพราะชื่อของ ‘พลอยไพลิน’ คือพาสเวิร์ดผ่านประตูสวรรค์
สถานที่คือร้านเสริมสวยหรูระดับพรีเมียม พอฉันเดินเข้าไป เขาก็หรี่ตาเล็กน้อยแล้วถาม
“คุณวราลีใช่ไหมคะ? โอ้โห หน้าสวยอยู่แล้ว แต่น้องพลอยสั่งมาให้ปังที่สุดเลยค่ะ วันนี้ต้องปังยืนหนึ่ง!”
ก่อนฉันจะได้อ้าปากตอบ พี่ชินก็ลากฉันไปที่เก้าอี้ แต่งหน้า ทำผม เซตลอน เสริมแสง แต่งคิ้ว ไฮไลต์แก้มจนฉันรู้สึกเหมือนกำลังถูกอัปเกรดเป็นเวอร์ชัน ‘โปรพลัส’
ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง พี่ชินก็หมุนเก้าอี้ให้ฉันเผชิญหน้ากับกระจก
ฉันตาโตขึ้นเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่
โอเค…ไม่คิดว่าเธอจะสวยได้ขนาดนี้นะ วราลี
แก้มเนียน ดวงตากลมโตรับกับจมูกและริมฝีปากจิ้มลิ้มเข้ารูป เส้นผมสีน้ำตาลม้วนลอนอย่างมีคลาส ผิวผ่องแบบไม่ต้องพึ่งฟิลเตอร์
ฉันจ้องตัวเองในกระจกพลางยิ้มจาง ๆ
ตอนเป็นอลิสา ฉันไม่เคยต้องแต่งหน้าอะไรขนาดนี้ ชีวิตอยู่กับเหงื่อ กลิ่นดินปืน และภารกิจลับมากกว่ากระเป๋าแบรนด์เนมหรู
แต่ตอนนี้...ในร่างวราลี หญิงสาวที่สวยอยู่แล้วก็เหมือนถูกขัดเงาจนแวววาว
โอเค...ฉันพร้อมแล้ว
มาลองกันสักตั้งเถอะ...
ลุงชมเป็นคนขับรถไปส่งฉันที่โรงแรมหรูในเครือทรัพย์ไพศาลอนันต์ ทันทีที่ฉันก้าวเท้าเข้าสู่โถงล็อบบี้ของโรงแรม ฉันก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นน้ำหอมราคาแพงและการปรับอากาศที่เย็นกำลังดี แชนเดอเลียร์ขนาดมหึมาห้อยลงมาจากเพดานหรูระยับ แสงไฟอบอุ่นไล้ผิวเฟอร์นิเจอร์สีทองนวลอย่างบรรจง พื้นหินอ่อนขัดมันสะท้อนเงารองเท้าของฉันจนฉันเผลอก้มดูว่าเดินเหยียบอะไรผิดไปหรือเปล่า
นี่สินะ...โลกของพวกเขา
พนักงานต้อนรับหญิงในชุดยูนิฟอร์มสีกรมท่าดูเรียบแต่แพง รีบก้าวออกจากเคาน์เตอร์มาต้อนรับทันทีที่เห็นฉัน
“สวัสดีค่ะ คุณพลอยไพลินใช่ไหมคะ?”
ฉันพยักหน้าเล็กน้อย ไม่พูดอะไร
“ทางร้านอาหารบนชั้นรูฟท็อปได้เตรียมโต๊ะไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ เชิญทางนี้เลยนะคะ”
เธอยิ้มสุภาพแบบคนที่ผ่านการเทรนมาอย่างหนัก และเดินนำฉันไปยังลิฟต์แก้วที่ตกแต่งด้วยลวดลายทองประดับเล็ก ๆ พอให้รู้สึกเหมือนขึ้นลิฟต์ในปราสาทของเจ้าหญิง
ระหว่างทาง พนักงานอีกคนหนึ่งเดินตามมาถือกระเป๋าให้...โดยที่ฉันยังไม่ได้ร้องขอ
มืออาชีพจริง ๆ ... สมกับเป็นที่ของเขา
ขณะยืนอยู่ในลิฟต์ที่ค่อย ๆ ไต่ขึ้นสู่ชั้นบนสุด ฉันมองภาพกรุงเทพฯ ที่ค่อย ๆ เลื่อนลงต่ำด้านหลังผ่านกระจกใส
แม่น้ำเจ้าพระยาไหลทอดผ่านกลางเมือง ตึกสูงสลับซับซ้อนดูเหมือนโมเดลเลโก้ขนาดยักษ์
ดูตัวในสถานที่แบบนี้มันไม่ธรรมดาเลยนะ... แล้วคนที่ฉันจะเจอ จะธรรมดาได้ไหมล่ะ?
“ถึงแล้วค่ะ” พนักงานหญิงส่งยิ้ม ก่อนเปิดประตูกระจกบานสูงนำทางฉันเข้าสู่ห้องอาหารบนรูฟท็อป
เมื่อก้าวพ้นธรณีประตู ฉันก็ต้องหยุดชะงัก
ห้องอาหารทั้งชั้นถูกจัดไว้อย่างประณีต กระจกบานใหญ่ที่เผยให้เห็นวิวแม่น้ำระยิบระยับสะท้อนแสงอาทิตย์ยามกลางวัน ไม่มีแขกคนอื่น ไม่มีเสียงจอแจ มีเพียงเสียงเปียโนบรรเลงเบา ๆ จากลำโพงมุมห้อง
ร้านอาหารระดับนี้ ไม่มีแขกเลยสักคนเดียว?
ฉันมองรอบห้อง บรรยากาศสงบเกินเหตุ โต๊ะทุกตัวว่างเปล่า ยกเว้นโต๊ะริมกระจกที่พนักงานเชิญฉันไปนั่ง ก่อนเธอจะโค้งให้อย่างสุภาพ
“ขอให้คุณพลอยไพลินมีช่วงเวลาที่ดีนะคะ”
ฉันนั่งลง สูดหายใจเข้าลึก ๆ พยายามควบคุมสีหน้าให้สงบนิ่งเหมือนมืออาชีพในภารกิจสายลับ ทั้งที่ในใจคือ…
ทำไมเงียบขนาดนี้เนี่ย!
ตอนนี้มีแค่ฉันคนเดียวที่นั่งอยู่ในพื้นที่ที่ควรใช้เลี้ยงแขกระดับรัฐมนตรีได้สักโหล
ฉันเช็กนาฬิกา อีกห้านาที…
สามนาที…
หนึ่งนาที…
แล้วประตูก็เปิดออก
ฉันหันไปตามเสียงรองเท้าหนังที่ก้าวเข้ามา ก่อนจะ…นิ่งค้าง
พระเจ้า…
ผู้ชายที่เดินตรงเข้ามาในชุดสูทเข้ารูปสีเทากราไฟต์เรียบหรูราวกับหลุดออกมาจากนิตยสารแฟชั่นชื่อดัง
ร่างสูงโปร่งนั่น...มองด้วยตาเปล่าน่าจะราว ๆ 185 เซนติเมตร
ผิวเนียนขาวราวกับสกินแคร์ของเขาผสมทองคำ
เส้นผมดำขลับถูกเสยขึ้นไปแบบเรียบเนี้ยบ
และที่สำคัญคือ ดวงตาคมกริบสีดำที่เหมือนมองทะลุทะลวงทุกอย่าง
นี่มันห่างไกลจากคำว่าน่าเกลียดมากนะ...
พนันได้เลยว่าตอนพระเจ้าปั้นเขา คงตั้งใจน่าดู
หล่อ…ไม่ใช่หล่อธรรมดา
หล่อแบบ...ใครโกหกว่าน่าเกลียดจะโดนฟ้องได้
นั่นน่ะเหรอ...ภูริ? จิ้งจอก?
เขาเดินมาตรงหน้า หยุดอยู่แค่ไม่กี่ก้าว
“พลอยไพลิน?” เสียงเขานุ่ม ลึก และเรียบนิ่ง
ฉันลุกขึ้นยืน รับมือกับอาการค้างเล็กน้อย
“...สวัสดีค่ะ” ฉันพยายามตอบกลับด้วยเสียงที่มั่นคงที่สุด
เขายิ้มเล็กน้อย “สวัสดีครับ...ดีใจที่ได้เจอ”
เรานั่งลง พนักงานเข้ามารับออเดอร์ ฉันจิ้มสั่งสเต๊กที่เป็นชื่อแรกบนเมนู เขาสั่งไวน์และเนื้อริบอายสเต๊กด้วยท่าทางเคยชิน
เรานั่งเงียบกันอยู่พักใหญ่ ฉันไม่รู้จะเริ่มต้นพูดยังไงดี จึงตัดสินใจ…ยิงตรงก่อน
“เอ่อ…ก่อนอื่น ฉัน…ไม่ใช่พลอยไพลินค่ะ”
ภูริเงยหน้าขึ้นจากการรินไวน์พอดี แววตาของเขาไม่แม้แต่จะสะทกสะท้าน
“ผมรู้”
ฉันชะงักไปครู่หนึ่ง “รู้…?”
“อืม” เขาพยักหน้านิ่ง ๆ สีหน้าไม่มีความแปลกใจแม้แต่น้อย
“คนอย่างพลอยไพลินไม่มีวันยอมมาเจอผมเองหรอกครับ” เขาว่าพลางยิ้มมุมปาก ราวกับรู้อยู่แล้วว่าวันนี้ฉันจะมานั่งตรงนี้ ไม่ใช่พลอยไพลินคนที่ทุกคนคิดว่าเป็นเจ้าสาวในแผน
“งั้น…ทำไมคุณถึงยังมา?” ฉันถามอย่างไม่อ้อมค้อม
เขาเงยหน้าขึ้นสบตาฉัน รอยยิ้มบางคลี่ที่มุมปาก พร้อมคำตอบที่เรียบง่าย แต่ทำเอาฉันชะงักอีกครั้ง
“เพราะอยากเจอ”
สั้น...ง่าย...แต่น่ากลัวเพราะไม่มีคำขยาย
อยากเจอเพราะอะไร? เพราะเขารู้ว่าฉันไม่ใช่พลอยไพลิน? หรือเพราะอะไรที่มากกว่านั้น?
ฉันพยายามควบคุมสีหน้าแล้วเปลี่ยนเรื่อง
“ร้านนี้เงียบจังนะคะ”
“ผมจองไว้ทั้งชั้นครับ...ทั้งวันด้วย” เขาตอบราวกับพูดว่า ‘วันนี้อากาศดีนะ’
“...ทั้งวันเลยเหรอคะ”
“อืม ก็ไม่รู้ว่าจะคุยนานแค่ไหน”
ฉันเม้มริมฝีปากเล็กน้อย
ถ้าอย่างนั้น…ฉันจะถามให้ชัดเจนตรงนี้เลย
“คุณภูริคะ...” ฉันสูดลมหายใจลึก “ทำไมคุณถึงตกลงมาดูตัวครั้งนี้คะ?”
เขามองฉันนิ่ง ๆ แวบหนึ่ง ก่อนจะ…ยิ้มอีก
“แล้วคุณล่ะ?” เขาถามกลับแทนคำตอบ “ทำไมถึงยอมมา?”
ฉันไม่ลังเล “เพราะครอบครัวค่ะ”
เขาเลิกคิ้วน้อย ๆ
“โรงสีของบ้านฉันมีปัญหา ถ้าการแต่งงานนี้จะช่วยให้มีเงินทุนหมุนเวียนกลับมา ฉันก็ยอม... และถ้าแต่งงานแล้วมันมีประโยชน์ ฉันก็จะทำค่ะ”
ภูริพยักหน้าช้า ๆ สายตาเขาดูเหมือนกำลังประเมินอะไรบางอย่างในตัวฉัน แล้วก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ จนฉันไม่ทันตั้งตัว
“ว่าแต่...ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะครับ ทำไมคุณถึงเรียกผมว่า ‘คุณภูริ’ อยู่ได้?”
“...คะ?”
“เมื่อก่อนเรียกผมว่า ‘พี่ภู’ ไม่ใช่เหรอ...น้องวี?”
หลังจากซื้อของกันเสร็จ เขาพาฉันไปทานมื้อเย็นที่ร้านอาหารอิตาเลียน ริมแม่น้ำ บรรยากาศอบอุ่น แสงไฟประดับอ่อนนุ่ม และเสียงเพลงคลาสสิกที่เปิดคลอเบา ๆ ระหว่างอาหาร เรายังคุยกันเรื่องโน่นนี่นั่น ทั้งเรื่องงานในบริษัท โรงสี ชีวิตระหว่างเรียนของเขา ไปจนถึงเรื่องเรื่อยเปื่อยอย่างสัตว์ที่ชอบและอยากเลี้ยง ฉันเหลือบมองเขาอย่างครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น“ฉันสงสัยมานานแล้วค่ะ…”เขาเงยหน้าจากจานมองฉัน เลิกคิ้วเล็กน้อย“ทำไมคุณถึงไม่มีรูปหลุดออกมาเลยสักครั้ง? เป็นสิบ ๆ ปีแล้วนะคะที่สื่อแทบไม่เคยได้ภาพคุณเลย นอกจากรูปคุณถือไม้ลูกชิ้นเมื่อสิบปีก่อนน่ะ”ภูริหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะตอบเรียบ ๆ“ผมไม่ชอบถูกจับตามอง”“ถ้าใครจะรู้จักผม ผมอยากให้รู้จักเพราะ ‘ผลงาน’ มากกว่า ‘ใบหน้า’ หรือ ‘ชีวิตส่วนตัว’ ”ฉันเลิกคิ้วนิด ๆ“แต่ยุคนี้นะคะ…คนดังในวงการธุรกิจ ยังไงก็ต้องมีภาพหลุดบ้างสิ อย่างน้อยเวลาไปงานอีเวนต์ หรือเซ็นสัญญาอะไรใหญ่ ๆ ก็ต้อง
เช้าวันเสาร์ฉันมีนัดกับคุณภูริช่วงบ่าย ๆ เพื่อไปเลือกแหวนคู่ เอามาสวมจะได้ดูเป็นคู่รักเนียน ๆเขาว่าแบบนั้นน่ะนะ...ภูริเป็นคนเสนอเองว่าจะมารับที่บ้าน และฉันตั้งใจจะถือโอกาสนี้แวะซื้อเสื้อผ้าใหม่ด้วยแต่งานที่ล้นมือช่วงนี้ทำให้ร่างกายของฉันแทบไม่ไหว หลังจากอ่านสรุปรายงานประจำสัปดาห์ช่วงเช้า ฉันแวะเข้าไปที่ห้องสมุดเงียบ ๆ ระหว่างรอเวลาหนังสือที่เปิดค้างอยู่บนตักเป็นนิยายแฟนตาซีกำลังภายในที่เพิ่งซื้อมาใหม่เอี่ยม...แต่ฉันยังไม่ทันได้อ่านบทนำจบ เปลือกตาก็หนักอึ้งลงอย่างห้ามไม่ไหวไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงพลิกหน้ากระดาษเบา ๆ ใกล้ตัว...และเมื่อเงยหน้าขึ้นสิ่งแรกที่ฉันเห็นคือภาพของชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตา นั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ตรงข้ามภูริเขากำลังอ่านหนังสืออยู่อย่างสงบนิ่ง ไม่เจอกันแค่ไม่กี่อาทิตย์ เขาหล่อขึ้นกว่าเดิมอีกหรือเปล่านะ?เมื่อเห็นฉันตื่น เขาก็เพียงเหลือบตามามองแล้วยิ้มบาง ๆ“สวัสดีครับ”ฉันหน้าร้อนผ่าว รู้สึกกระดากใจที่ตัวเองเผล
หลังจากงานมื้อกลางวันระหว่างสองตระกูลสิ้นสุดลง บรรยากาศดูผ่อนคลายลงไปไม่น้อย แต่สำหรับฉัน...สิ่งที่รออยู่ข้างหน้ายังคงหนักหนาไม่ต่างจากสนามรบอีกเกือบ ๆ สองเดือน...คือช่วงเวลาที่ฉันต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับ ‘งานเปิดตัว’ อย่างเป็นทางการ ในฐานะลูกสาวคนโตของคุณพิชิต และผู้บริหารคนใหม่ของโรงสีพาณิชย์วงศ์ฟังดูง่าย แต่ความจริงกลับไม่ง่ายเลยสักนิดโรงสีของบ้านฉันตั้งอยู่ติดกับคฤหาสน์ใหญ่ แบ่งเขตอย่างชัดเจนด้วยกำแพงอิฐสีเทาเตี้ย ๆ และต้นไทรตัดแต่งอย่างเรียบร้อยตลอดแนวพื้นที่ด้านในถูกจัดโซนอย่างมีระบบ ฝั่งหนึ่งเป็นโกดังเก็บข้าว เครื่องสี และสายพานลำเลียง อีกฝั่งเป็นออฟฟิศสองชั้นแบบเรียบง่าย มีห้องประชุม ห้องบัญชี และห้องทำงานของผู้บริหารเรียงราย รวมไปถึงห้องทำงานใหม่ของฉันที่ถูกจัดและตกแต่งไว้ด้วยคุณพิชิตเริ่มพาฉันไปแนะนำตัวกับบอร์ดบริหารภายในบริษัทอย่างเป็นทางการ พวกเขาแสดงออก ‘เหมือนจะ’ ต้อนรับ แต่ฉันจับได้ไม่ยากเลยว่า...แววตาเหล่านั้นเต็มไปด้วยความสงสัย ไม่ไว้ใจ และตั้งแง่“เธอคือคนที่ช่วยวิเคราะห์ต
ย้อนกลับไปไม่นานมานี้ ฉันเคยช่วยหญิงชราคนหนึ่งไว้จากการถูกโจรวิ่งราวกระเป๋า เธอแต่งกายภูมิฐาน มีบอดี้การ์ดตามติดไม่ห่าง ดูชัดเจนว่าไม่ใช่คนธรรมดา แต่ตอนนั้นเธอไม่ได้แนะนำตัวเองสักนิด...กลับถามชื่อฉันแทน พร้อมหัวเราะร่าเมื่อได้ยิน ก่อนจะจากไปพร้อมประโยคปริศนาสั้น ๆ“เดี๋ยวเราก็ได้เจอกันอีก"ตอนนั้น ฉันยังคิดเล่น ๆ ว่าเธออาจหมายถึงการเจอกันในตลาดหรือห้างสักแห่งแต่วันนี้...ฉันเข้าใจถ่องแท้แล้วว่าเธอหมายถึงอะไรคุณยายใจดีที่ฉันช่วยไว้...คือคุณหญิงสมศรี ประมุขของตระกูลทรัพย์ไพศาลอนันต์หรือคุณย่าของภูริ ว่าที่สามีของฉันเอง“คุณหญิงอะไรล่ะ เรียกย่าเถอะลูก เดี๋ยวก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว”หญิงชรายิ้มกว้างอย่างเมตตา ขณะเอื้อมมือมากุมมือฉันไว้แน่นฉันเหลือบมองภูริที่ยืนข้าง ๆ เขาพยักหน้ายืนยันพร้อมรอยยิ้มบาง"ค่ะ...คุณย่า" ฉันตอบรับในที่สุด“เอาล่ะ หนูวราลีไปนั่งกับย่านะ กินข้าวกันดีกว่า”แล้วภาพที่เกิดขึ้นก็คือ ฉันถูกควงแขนเดินนำเข้า
หลังจากผ่านหนึ่งเดือนเต็มกับการฝึกงานสุดโหด ฉันก็กลับมารับบทเดิมสาวใช้ที่พ่วงตำแหน่งนักแก้ปัญหาประจำโรงสีแต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิมการฝึกงานกับภูริกลายเป็นบทเรียนที่มีค่ากว่าที่คาด ฉันมองเห็นปัญหาได้ชัดขึ้น วิเคราะห์ได้ลึกขึ้น และวางแนวทางรับมือได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น ทุกอย่างที่เรียนรู้ ฉันนำมาปรับใช้จนงานราบรื่นกว่าที่เคยแม้แต่คุณพิชิตยังเอ่ยปากชมออกมาด้วยตัวเองก็ต้องขอบคุณเขาล่ะนะ...วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ฉันควรได้หยุดพักผ่อนจากการตรากตรำทำงานหนักมาทั้งสัปดาห์ ขลุกอยู่ในห้องสมุด อ่านหนังสือที่รักแต่กลับกลายเป็นวันรวมญาติระดับชาติที่ฉันต้องทำใจล่วงหน้ามาหลายวันแล้ว วันนี้ไม่ใช่แค่งานเลี้ยงธรรมดา แต่เป็นการรวมตัวของสองตระกูล ‘ทรัพย์ไพศาลอนันต์’ และ ‘พาณิชย์วงศ์’ เพื่อร่วมโต๊ะอาหารในนาม ‘ครอบครัว’ เป็นครั้งแรกความจริงแล้ว มันเหมือนการแถลงข่าวภายในมากกว่า วันนี้คือวันเปิดตัวอย่างไม่เป็นทางการของฉันในฐานะว่าที่คู่หมั้นของภูริ ทรัพย์ไพศาลอนันต์ หลานชายคนเล็กของคุณหญิงสมศรี แล
สิบกว่านาทีต่อมา รถจอดหน้าร้านไอศกรีมเล็ก ๆ ในซอยเงียบ ๆ บรรยากาศเหมือนหลุดจากกลางเมืองวุ่นวายร้านตกแต่งเรียบง่าย โทนสีน้ำตาลอบอุ่น มีกลิ่นวานิลลาอ่อน ๆ ลอยอยู่เต็มร้าน โต๊ะไม้นั่งสบาย ๆ แอร์เย็นกำลังดี“เลือกเลยครับ” เขาผายมือให้ฉันยืนเลือกหน้าตู้ไอศกรีมฉันเลือกรสชาไทย ในขณะที่เขาเลือกรสนมฮอกไกโดราดซอสกาแฟเรานั่งตรงมุมหน้าต่างที่มองเห็นต้นไม้เขียว ๆ เล็ก ๆ ข้างร้านฉันนั่งจิ้มไอศกรีมในถ้วยไปเรื่อย ๆ แต่มือมันไม่ค่อยจะเชื่อฟังเท่าไหร่เพราะหัวฉันมัวแต่คิดเรื่องเมื่อกี้...คุณไอรีน...กับคุณภูริพวกเขารู้จักกันมานานแค่ไหน? เคยร่วมงานกันมากี่โครงการแล้ว?หรือเคย...ใกล้ชิดกันมากกว่าที่ฉันคิด?ทำไมเธอดูรู้ทันเขาไปหมดทุกมุมขนาดนั้น?ดูมั่นใจ ดูเคยชินกับการเข้าไปในระยะที่ฉันเองยังไม่เคยกล้าฉันกัดช้อนเบา ๆ...แล้วฉันจะอยากรู้ไปทำไม?ก็แค่คู่ค้าทางธุรกิจของเขานี่ จะรู้จักกันนานแค่ไหน มันก็ไม่เกี่ยวกับฉันเลยใช่...ไม่เกี่ยวเลยฉันเลยตัดปัญหาโดยการตักไอศกรีมเข้าปากแ