เฉินเพ่ยอวี้คือนางร้ายเกรดบีปี2568ที่อยากมีวาสนาเป็นปลาเค็ม ใครจะคาด วันหนึ่งเธอจะตายเพราะอุบัติเหตุแล้วมาโผล่ในปี2533ในร่างของลู่หลันถิงตัวซวยแห่งบ้านลู่ ไหนละชีวิตปลาเค็มที่เธอใฝ่ฝัน!
Lihat lebih banyakเสียงพัดลมขนาดใหญ่ในสตูดิโอโรงถ่ายในกรุงปักกิ่งดังก้อง บอกว่ามันกำลังทำงานอย่างหนักขนาดไหน ใบพัดเหล็กหมุนถี่ยิบพัดลมร้อนวนเวียนไปทั่ว แต่ก็ไม่อาจขับไล่ไออบอ้าวจากสปอตไลต์นับสิบดวงที่พุ่งตรงลงมายังพื้นด้านล่างได้ ความร้อนนั้นเหมือนเปลวเพลิงที่คอยแผดเผาผิวกายของหญิงสาวผู้ยืนอยู่ภายใต้แสงจ้าเจิดจ้าดังกล่าว
พริมา เฉิน หรือชื่อจีนที่ผู้คนในวงการบันเทิงรู้จักกันดีว่า เฉินเพ่ยอวี้
เหงื่อเม็ดโตไหลรินผ่านไรผมลงมาตามแก้มขาว ร่วงหยดลงที่ซอกคอและซึมซับกับชุดหนังสีดำสนิทที่แนบแน่นอยู่บนร่างกายบอบบาง ชุดนักรบหญิงโบราณที่เธอสวมสำหรับถ่ายทำฉากบู๊ของซีรีส์จีนพีเรียดฟอร์มยักษ์ กลับกลายเป็นดั่งเกราะเหล็กหนักอึ้งที่กักเก็บความร้อนและความเหนื่อยล้าไว้ทั้งหมด
“ฮึบ!… ฮ่า…”
ลมหายใจหอบกระชั้นแผ่วแรงหลุดลอดออกจากริมฝีปาก เธอกำด้ามไม้พลองซึ่งใช้แทนทวนโบราณแน่นจนเส้นเลือดที่ข้อมือปูดขึ้นชัดเจนทั้งสองข้าง ความชาแล่นขึ้นมาตั้งแต่ปลายนิ้ว แต่กระนั้นก็ยังฝืนยกแขนขึ้นอีกครั้ง ฟาดท่อนไม้ในมือให้หวือหวาตามจังหวะบู๊ที่ซักซ้อมมาไม่รู้กี่สิบรอบ
“ยังไม่ดีพอ! ทำใหม่อีกรอบออกแรงหน่อย!”
เสียงตวาดก้องจากเบื้องล่างดังแหวกอากาศ มาจากปากผู้ช่วยผู้กำกับร่างอ้วนที่ยืนกอดอกอยู่หลังจอมอนิเตอร์ น้ำเสียงแข็งกระด้างราวกับเขาไม่ได้เห็นตรงหน้าคือมนุษย์หญิงวัยสิบเก้าปี แต่เป็นเพียงหุ่นเชิดที่ถูกบังคับให้ต้องแสดงออกตามคำสั่งเท่านั้น
พริมาสูดลมหายใจลึก กล้ามเนื้อทุกเส้นเหมือนถูกเผาไหม้ แต่หัวใจกลับเต้นแรงราวจะทะลุออกมา เธอกัดฟันกรอด บังคับร่างกายให้ฟาดท่าตามคิวต่อสู้ที่ซับซ้อนอีกครั้ง ดวงตาคมสวยที่สะกดกล้องสะท้อนความดุดันดั่งสัตว์ป่าถูกล่า ความโกรธ ความเจ็บ และความดื้อดึงปะทุรวมกันจนกลายเป็นพลังที่ทำให้ลีลานั้นสมจริงจนน่าขนลุก
“เวรกรรมอะไรของฉันกันเนี่ย สวรรค์ให้ความสวยมาเต็มเปี่ยมแต่ดันลืมให้วาสนาฉันมาใช่ไหมถึงต้องเหนื่อยขนาดนี้!” เธอตะโกนอยู่แค่ในใจใครจะกล้าเปิดเผยให้โดนตำหนิ
ใช่แล้วภายนอกเธอคือสาวน้อยนักแสดงที่ถูกจดจำในบท “นางร้ายเกรดบี” ที่โผล่มาสร้างสีสันเป็นครั้งคราว ทว่าภายในกลับเต็มไปด้วยความขมขื่น เธออยู่ในวงการนี้มาแล้วเกือบสิบสองปี นับตั้งแต่เด็กหญิงตัวเล็กถูกโยนเข้ามาในไฟสปอตไลต์และหน้ากล้องโดยไม่สมัครใจ จากวันนั้นถึงวันนี้ เธอไม่เคยได้รับแม้แต่โอกาสเล็ก ๆ ที่จะยืนอยู่ในแถวหน้ากับเขาบ้างเลย
ทุกครั้งที่กล้องจับไป เธอคือคนที่ผู้ชมเกลียดชัง แต่ไม่เคยมีใครมองลึกลงไปว่าเบื้องหลังการแสดงนั้นคือหยดน้ำตาจริงกี่หยดที่แลกมา
เธอจำได้ดีว่าไม่กี่วันก่อน ผู้กำกับบางคนเคยหันมามองแล้วหัวเราะเบา ๆ พร้อมเอ่ยประโยคที่ฝังลึกลงในใจ
“หน้าแบบนี้เล่นได้แค่บทนางร้ายเท่านั้น เธอสวยดุเกินไป บทนางเอกไม่เหมาะกับเธอหรอกเพ่ยอวี้”
คำพูดนั้นเจ็บยิ่งกว่าฉากที่เธอต้องโดนพระเอกตบจริง ๆ ต่อหน้ากล้องเสียอีก
“เพ่ยอวี้! ตั้งใจหน่อยสิ!”
เสียงตะโกนเบา ๆ แทรกขึ้นจากมุมเวที เป็นของ อาหลิว เพื่อนร่วมทีมสตั๊นท์แมนที่ซ้อมกับเธอมานับครั้งไม่ถ้วน เสียงนั้นไม่ได้ดังนัก แต่แผ่วเบาพอจะหล่นลงตรงกลางหัวใจที่กำลังบอบช้ำ
เพียงแวบเดียวที่หันไปสบตา เธอก็พยักหน้าตอบเล็กน้อย ราวกับจะยืมแรงใจจากเพื่อนร่วมชะตา แล้วกลับมาตั้งสมาธิกับท่าฟาดต่อ
และท่ามกลางเหงื่อที่ไหลริน ความเจ็บที่แล่นปลายแขน ความทรงจำหนึ่งก็แล่นวาบเข้ามาไม่ทันตั้งตัว…
ภาพสถานสงเคราะห์เก่าแก่ในเชียงใหม่ ลมหายใจกลิ่นฝนปนกลิ่นไม้ชื้น เสียงหัวเราะเย้ยหยันจากเด็กกำพร้าคนอื่นดังแว่ว
“ไม่มีใครเอาเธอหรอก ยัยพริมา! จนจะเจ็ดขวบแล้วยังไม่มีใครมารับไปเลย ฮ่า ๆ ๆ”
เด็กหญิงตัวน้อยกำหมัดแน่น ก้มหน้าไม่ให้ใครเห็นน้ำตาที่ไหลอาบแก้มเล็ก เธอจำได้ว่าหัวใจตอนนั้นเจ็บแค่ไหน ความรู้สึกเหมือนถูกตัดขาดจากโลกทั้งใบ
แต่แล้ววันหนึ่ง…
หญิงสาวชาวจีนรูปร่างสูงสง่าสวมชุดกระโปรงเข้ารูปสีขาวสะอาดก็เดินเข้ามาในชีวิต เธอชื่อ เฉินหลี รอยยิ้มอ่อนโยนและดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยแววเมตตานั้น ทำให้พริมาคิดว่าโลกใบนี้อาจไม่ได้โหดร้ายไปเสียหมด
“ตั้งแต่วันนี้ หนูคือ ลูกสาว ของฉัน”
มือเรียวลูบศีรษะเด็กหญิงอย่างอ่อนโยน ประโยคสั้น ๆ นั้นทำให้หัวใจของพริมาเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมา เธอเชื่อสุดหัวใจว่า ชีวิตใหม่กำลังจะเริ่มต้น
แต่ความจริงกลับโหดร้ายกว่านั้น…
หลังจากก้าวสู่ปักกิ่ง เธอไม่ได้ใช้ชีวิตในฐานะลูกสาวของใคร หากแต่กลายเป็นสินทรัพย์ชิ้นหนึ่งที่ถูกผลักเข้าสู่วงการบันเทิงตั้งแต่อายุเพียงเจ็ดขวบ จำได้ว่าภาพแรกที่ตรึงในใจ คือเสียงผู้กำกับชายวัยกลางคนที่ตะโกนลั่นกองถ่าย
“ร้อง! ร้องไห้คนดูสงสารสิ!”
น้ำตาของเด็กหญิงที่ปรากฏบนหน้าจอทีวีนั้นสมจริงจนคนทั้งประเทศร้องไห้ตาม แต่เบื้องหลัง… มีเพียงความหวาดกลัวและเสียงสะอื้นจริง ๆ ที่ไม่มีใครเหลียวแลว่าแท้จริงเธอถูกแม่บุญธรรมข่มขู่อะไรบ้าง
เมื่อเติบโตขึ้นเป็นวัยรุ่น พริมาเริ่มตระหนักว่าโลกของวงการบันเทิงไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเลยสักนิด โดยเฉพาะวงการบันเทิงจีน ตลอดสิบสองปีเธอรู้แล้วว่ามันเต็มไปด้วยกรงเล็บแหลมคมที่พร้อมเฉือนเนื้อใจของเธอทุกเมื่อ
แม้เธอจะสวยคม จมูกโด่ง ตาคม แต่สิ่งเหล่านั้นกลับกลายเป็นดาบสองคม ทุกครั้งที่เธอหวังจะได้บทนางเอก คำตอบที่ได้กลับเป็นเสียงหัวเราะเยาะหยันของเหล่าผู้กำกับและทีมงานบางคน
“เพ่ปี๊ดวี้เธอสวยเกินไป จับคู่กับพระเอกรุ่นเดียวกันยาก รุ่นใหญ่เขาก็ไม่ร่วมงานกับเด็กไม่มีนายทุนใหญ่สนับสนุนแบบเธอหรอก”
คำพูดที่เหมือนคำตัดสินโทษ กลายเป็นตราประทับเผาใจเธอครั้งแล้วครั้งเล่า เธอทำได้เพียงแสดงต่อไป ร้องไห้ โกรธ เกรี้ยวกราด ด่าทอ ตามบทที่เขียนมาให้สมจริงที่สุด เพราะรู้ดีว่าถ้าเธอทำพลาดแม้แต่เสี้ยววินาที โอกาสเล็กน้อยที่เธอเหนี่ยวรั้งไว้อาจหลุดมือไปตลอดกาล ซึ่งหากเป็นแบบนั้นชีวิตเธอจบเห่แน่เรียนก็ยังไม่จบจะไปหางานดีๆ ที่ไหนได้
“ตัด!”
เสียงผู้กำกับดังขึ้นอีกครั้งในวันนั้น และตามมาด้วยเสียงถอนหายใจโล่งอกของทีมงาน “ดีมาก พักสิบห้านาที เตรียมถ่ายจริง”
ห้องสตูดิโอพลันวุ่นวายราวกับรังมดแตก ผู้ช่วยรีบขนพร็อป ทีมไฟปรับแสงใหม่ เสียงวิ่งวุ่นก้องสะท้อนทุกทิศ พริมาก้าวลงจากเวทีฝึกซ้อมด้วยขาที่แทบไร้แรง เธอคว้าเก้าอี้พับเก่า ๆ มุมหนึ่งแล้วนั่งลง หยิบผ้าขนหนูเช็ดเหงื่อที่ไหลไม่หยุด
หัวใจของเธอเต้นแรงเพราะความเหนื่อยยาก เธอพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง
“ทำไมฉันไม่วาสนาดีได้สามีรวยบ้าง ถ้าได้สามีรวยฉันจะนอนเป็นปลาเค็มเสียให้สมใจไปเลย”
ขณะนั้นเองเสียงหัวเราะใส ๆ ก็ดังแทรกขึ้นจากข้างกาย
“เพ่ยอวี้ วันนี้เธอตั้งใจจังเลยนะ”
พริมาเงยหน้าขึ้น พบว่าเป็น จ้าวจินเหมย นางเอกดาวรุ่งวัยใกล้เคียงกันที่เพิ่งถูกผลักดันขึ้นมาเป็นดาวค้างฟ้าช่วยไม่ได้ยัยนางเอกคนนี้ดันมีนายทุนใหญ่ไม่ดังสิแปลก ขนาดแม่บุญธรรมยังกำชับให้เธอเลียแข้งเลียขายัยนางเอกนี่บ่อยๆ
จ้าวจินเหมยกำลังส่งยิ้มหวานมาให้ แต่แววตากลับแฝงประกายที่ยากจะแปลความหมาย
พริมาพยายามไม่ใส่ใจ คว้าขวดน้ำขึ้นมาดื่มเพื่อดับกระหาย แล้วหันกลับไปตั้งสมาธิกับตัวเอง แต่เสียงหัวใจกลับดังขึ้นเรื่อย ๆ ความคิดหนึ่งแวบเข้ามา ถ้าใบหน้าของเธอหวานอ่อนโยนเหมือนจ้าวจินเหมย วันนี้ชีวิตคงไม่ถูกตีตราแบบนี้หรือเปล่า
“ทั้งหมดเตรียมเข้าฉาก!” เสียงทีมงานประกาศก้อง
พริมายืนขึ้นอีกครั้ง ปรับชุดหนังสีดำที่แนบตัวให้กระชับ แล้วเดินกลับไปยังตำแหน่งที่ผู้กำกับบอก ร่างเล็กถูกทีมงานช่วยกันสวมสายสลิงพวกเขารัดแน่นรอบเอวและไหล่ ความเจ็บจากแผลถลอกเล็กน้อยที่แขนถูกกลบด้วยแสงไฟจ้า
ทันทีที่ร่างของเธอถูกยกขึ้นเหนือพื้นสูง สายตาทุกคู่ในห้องก็เงยหน้าตามมองราวกับเธอคือนกที่โบยบินบนฟ้า แสงไฟจับที่ดวงตาคมของเธอ แสงสะท้อนความแกร่งที่ซ่อนอยู่ภายใน ‘แม่ทัพปีศาจ’ ที่ผู้กำกับต้องการ ตัวตนที่สร้างจากบาดแผลและน้ำตาแท้จริงในชีวิต
“แอ็กชัน!”
เสียงตะโกนสั่งดังลั่นทั่วสตูดิโอ กล้องหมุนตามทันที ร่างเพรียวของเฉินเพ่ยอวี้ถูกยกขึ้นสูง พลิกฟาดท่อนไม้ที่ใช้แทนทวนเหล็กในมืออย่างดุดัน เสียงหวีดหวิวของไม้พลองฉีกอากาศจนหลายคนเผลออุทาน
“โห…เหมือนจริงชะมัด”
“เล่นดีเกินไปแล้ว เด็กคนนี้ไฟแรงจริง ๆ”
ทีมงานสองสามคนกระซิบกันเบา ๆ พลางจ้องตาค้าง
แต่ในมุมมืดด้านข้างเวที จ้าวจินเหมยยืนนิ่ง แววตาที่เคยหวานกลับแข็งกร้าว เธอหันไปกระซิบกับผู้จัดการที่ยืนประชิด
“จัดการหรือยัง” เสียงเธอต่ำ
ผู้จัดการสาวเหลียวซ้ายแลขวาก่อนพยักหน้า กระซิบตอบแบบไม่ขยับริมฝีปาก “เรียบร้อยค่ะ คลายตะขอสลิงออกนิดเดียว พอให้เจ็บแต่ไม่ถึงตายคุณวางใจเถอะ”
“ดี” จ้าวจินเหมยยกยิ้มเย็น
“แค่ทำให้เธอหายหน้าไปช่วงแคสติ้งซีรีส์ก็พอ”
ผู้จัดการก้มศีรษะ “วางใจเถอะฉันจัดการแล้ว”
เธอปรายตามองไปยังเวที สายตาเต็มไปด้วยความริษยาและความหวาดหวั่นในเวลาเดียวกัน พลางพึมพำกับตัวเองเบา ๆ
“บท ‘เฉิงเกอเยี่ยน’ ต้องเป็นของฉันเท่านั้น… ไม่ใช่เด็กเมื่อวานซืนคนนั้น”
ความตั้งใจครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อฆ่า แต่เพื่อทำให้คู่แข่งเจ็บหนักจนหายหน้าไปชั่วคราว
ใช่แล้ว จ้าวจินเหมยเพิ่งได้ข่าวจากวงในว่า นายทุนใหญ่กำลังจับตามองเฉินเพ่ยอวี้ หากการแคสซีรีส์ฟอร์มยักษ์เรื่องใหม่ ‘นางพญาหงส์คืนฟ้า’ มาถึง บทนางเอกที่ใคร ๆ ก็หมายตา อาจจะถูกยกให้ใครสักคนระหว่างสองคือเธอกับเฉินเพ่ยอวี้
ซึ่งเธอจะไม่กังวลเลยหาก บทของ ‘เฉิงเกอเยี่ยน’ นางเอกของเรื่องจะไปตรงกับบุคลิกรูปร่างหน้าตาของ เฉินเพ่ยอวี้ทุกอย่าง ยิ่งช่วงนี้นายทุนอย่างปั้นเด็กใหญ่ที่อายุน้อยแต่มากฝีมือ จ้าวจินเหมยยิ่งกังวล เพราะปีนี้เธออายุ36 ปีเข้าไปแล้ว
และทุกคนต่างรู้ดีว่าฝีมือการแสดงของเพ่ยอวี้เหนือกว่า เธอมากจริงๆ แม้แต่ตัวจ้าวจินเหมยยังต้องยอมรับอย่างไม่เต็มใจว่าเด็กคนนี้อนาคตไกลแน่หากยอมคล้อยตามนายทุนแบบเธอ ดังนั้นแผนสกัดดาวรุ่งจึงบังเกิดในวันนี้
ทันใดนั้น
เสียงโลหะเสียดสีกันดัง เอี๊ยดอ๊าด! ก้องกังวาน สายสลิงที่รัดเฉินเพ่ยอวี้สั่นสะท้านแรง
“เฮ้ย! สลิงมันหลวม!”
“ระวังนะเพ่ยอวี้!”
ทีมงานคนหนึ่งร้องเตือนลั่น แต่สายเกินไป
เปรี๊ยะ!
เสียงฉีกขาดดังสะท้อนทั่วห้อง ร่างของเฉินเพ่ยอวี้เหมือนนกที่ถูกตัดปีก ร่วงลงจากความสูงโดยไร้หนทางต้านทาน
“กรี๊ดดดด!”
“เพ่ยอวี้!!!”
“โธ่เวรแล้ว!”
เสียงกรีดร้องดังระงม พริมาเหยียดแขนออกเหมือนพยายามคว้าความว่างเปล่า ดวงตาคมเบิกกว้าง โลกทั้งใบหมุนคว้างราวกับฟ้าดินแตกสลาย
เสียงลมหวีดหวิวกรีดหู เส้นผมปลิวว่อน ก่อน โครม! ร่างกระแทกพื้นคอนกรีตเสียงสนั่น
“ตายแล้ว! เรียกรถพยาบาลเร็ว!”
“โทร 120 เร็วเข้า!”
“เลือด…เลือดออกเยอะมาก!”
ทีมงานหลายคนกรูเข้ามาล้อมร่างเธอ เสียงโกลาหลดังก้องจนแทบฟังไม่ออกว่าใครพูดอะไร
เลือดสีแดงเข้มทะลักออกจากปากและจมูก แผ่ซ่านบนพื้นเป็นวงกว้าง ใบหน้าที่เคยงดงามซีดเผือดลงอย่างรวดเร็ว เปลือกตาที่งดงามค่อย ๆ ปิดลงราวกับไฟที่ถูกปิด
ด้านข้าง จ้าวจินเหมยหน้าซีดเผือด มือสั่นเทาจนแทบยกไม่ขึ้น เธอเผลออุทานเสียงสั่น
“ไม่นะ… ไม่นะ… ฉันแค่…”
ผู้จัดการรีบคว้าแขน กระซิบเสียงเฉียบขาด
“อย่าแสดงพิรุธออกไปเด็ดขาด! ยืนเฉย ๆ เข้าใจไหม?!”
“แต่ว่า…!”
“เงียบ!”
เสียงไซเรนรถพยาบาลดังแว่วเข้ามา ความโกลาหลยังคงถาโถม แต่สำหรับเฉินเพ่ยอวี้โลกทั้งใบดับวูบไปแล้ว
ตอนที่ 9 ||เป็นไปตามแผนหลันถิง(2)หลังเหลือกันเพียงห้าคน ความเงียบก็ปกคลุมโถงใหญ่บ้านลู่อยู่ครู่หนึ่ง ราวกับทุกเสียงวุ่นวายทั้งคืนถูกกลืนหายไปหมด ลู่เสียนอี่มองลูกสาวคนรองด้วยสายตาซับซ้อนอยู่นาน ดวงตาที่ผ่านร้อนหนาวมานับไม่ถ้วนฉายทั้งความรัก ความกลัว และความลังเลปะปนกัน เขาเหมือนกำลังชั่งใจอยู่ว่าควรจะเอ่ยถ้อยคำใดออกมา สุดท้ายชายวัยกลางคนก็ก้าวเข้ามาใกล้ น้ำหนักของแต่ละก้าวสะท้อนถึงความกังวลที่อัดแน่นอยู่ในอกเสียงทุ้มต่ำของเขาดังขึ้นในที่สุด “ถิงถิง… ลูกแน่ใจแล้วใช่ไหม ว่าจะเลือกไปเรียนต่อ ไม่ยอมแต่งงานกับคุณชายรองจั๋วจริง ๆ”คำถามนั้นไม่เพียงแต่เป็นการทวนความตั้งใจ แต่ยังเป็นเสมือนการขอคำยืนยันครั้งสุดท้าย หลันถิงเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาคมกริบที่เคยหม่นเศร้ากลับส่องประกายแข็งกร้าว เด็กสาวที่เคยยอมจำนนต่อโชคชะตาได้หายไปแล้ว เหลือเพียงหญิงสาวผู้ตัดสินใจจะใช้ชีวิตของตนเองเธอสูดหายใจลึกจนอกสั่น ก่อนตอบออกมาอย่างมั่นคง “ค่ะพ่อ… ฉันแน่ใจแล้ว ตลอดสิบแปดปีที่ผ่านมา ยอมทำทุกอย่างแทนอิงอิงมามากพอแล้ว ยอมแบกทุกคำด่า ทุกความลำเอียง แต่วันนี้พอแล้ว จะไม่ใช้ชีวิตแทนใครอีก ฉันจะไม่เป็นตัวซวยค่ะ”น้
ตอนที่ 8 || เป็นไปตามแผนหลันถิง(1)รถเก๋งญี่ปุ่นดันเก่าใช้มาสิบกว่าปีสีหม่น แล่นมาจอดสนิทตรงหน้าบ้านสกุลลู่ตึกสามชั้นครึ่งหลังโตที่ยี่สิบกว่าปีก่อนทั้งหรูหราและรุ่งเรือง แต่ตอนนี้แม้แต่ประตูเหล็กยังขึ้นสนิมหนุ่มใหญ่ก้าวลงจากรถไปเปิดประตูด้วยตนเองความเก่าและไม่ได้ดูแลทำให้ขณะเลื่อนมันส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด เขาวนกลับไปเคลื่อนรถเข้ามาจอดในโรงรถ ร่างสูงใหญ่ในเสื้อเชิ้ตที่ยังชื้นเหงื่อก้าวพรวดเข้าไปโดยไม่เหลียวซ้ายขวาหลังจอดเรียบร้อยวันนี้บ้านเงียบผิดปกติ อาจเพราะครอบครัวเริ่มรัดเข็มขัดจนต้องเลิกจ้างคนรับใช้มาสักพัก ทุกอย่างเลยเหลือแค่สมาชิกในบ้านจัดการกันเอง พื้นห้องรับแขกที่เคยขัดจนเงา ตอนนี้เต็มไปด้วยรอยฝุ่นจาง ๆ เฟอร์นิเจอร์ไม้เก่าหนักอึ้งทำให้บรรยากาศยิ่งกดอึดอัดยิ่งช่วงนี้ครอบครัวของน้องชายเขาทั้งสี่คนไม่อยู่และวันนี้ซ่งอวี้ก็ต้องวิ่งวุ่นอยู่ที่โรงงานที่ห่างออกไปราว 800เมตรจากตึกหลังนี้อีก บ้านจึงยิ่งเงียบกว่าเดิมแต่เสียนอี่ไม่สนใจสิ่งรอบข้างเหล่านี้ เพราะในใจเขาเต็มไปด้วยโทสะ เขาก้าวยาว ๆ ตรงไปยังห้องนอนของมารดาที่อยู่ชั้นล่าง ประตูไม้สลักลวดลายหรูหราแต่ไม่ถูกดูแลจนสีของไม้ดูเก่าไปถ
ตอนที่ 7 || ในที่สุดหลันถิงก็กระจ่างหลังจากอี้เหิงลุกออกไปพร้อมอาเฟยและอาจ้าน เงาเย็นเยียบยังทิ้งร่องรอยในโถงบ้านสกุลลู่ ลู่เสียนอี่ไม่อยากอยู่ต่อแม้เพียงอึดใจ รีบออกจากบ้านมุ่งหน้ากลับโรงพยาบาลประชาชนกว่างโจว เพื่อปรึกษากับลูกสาวทันทีทางเดินยาวของโรงพยาบาลเต็มไปด้วยกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ เสียงล้อรถเข็นดังครืดไปตามพื้นขัดมัน เขาก้าวเร่งตรงไปยังห้องพักฟื้นของลูกสาว ประตูถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา ภายในห้องมีเพียงแสงไฟสลัว ร่างเล็กบนเตียงยังซีดเซียว น้ำเกลือหยดลงตามจังหวะ ข้างกายมีถังซินนั่งเฝ้าอย่างสงบเมื่อเห็นเถ้าแก่ลู่ผู้มีพระคุณ ถังซินรีบลุกขึ้น ก้มหัวเล็กน้อยแล้วถอยออกไปยืนชิดผนังเพื่อเปิดทางให้พ่อลูกได้คุยกัน“เธอออกไปหาอะไรกินก่อนเถอะซินซิน” ลู่เสียนอี่พูดขณะหยิบเงินจากกระเป๋าส่งให้เด็กสาวกำพร้าลูกสาวเพื่อสนิทของเขาที่จากไปกว่า 7ปี และไม่มีใครต้องการเด็กคนนี้เขาจึงรับถังซินมาเลี้ยงคู่กับหลันถิงและหลินอิง“ขอบคุณค่ะ เถ้าแก่ลู่” จนถึงวันนี้ถังซินก็ไม่ยอมเรียกลู่เสียนอี่ว่า คุณลุง เพราะกลัวถูกย่าลู่ด่าทอ ร่างเล็กของเด็กสาววัย 18ปีก้าวพ้นไปจากห้อง ลู่เสียนอี่จึงก้าวไปทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ข้
ตอนที่ 6 || เงื่อนไขที่หลีกเลี่ยงไม่ได้หลังจากลับเงาร่างของจั๋วอี้เหิงแล้ว บรรยากาศในห้องก็เงียบลงทันที ลู่เสียนอี่ขมวดคิ้ว หันมามองลูกสาวตรง ๆ“ถิงถิง…ทำไมลูกถึงยอมคล้อยตามเขา”หลันถิงสบตาพ่อแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “เพราะเราไม่มีเงินค่ะพ่อ โอกาสที่จะปฏิเสธ…เราไม่เคยมี”คำตอบนั้นทำให้เสียนอี่พูดไม่ออก ข้างกายมีซ่งอวี้ที่รีบถามต่อ “แล้วเราจะทำยังไงกันต่อไปล่ะถิงถิง”หญิงสาวนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนเอ่ยชัดเจน “คนอย่างจั๋วอี้เหิงไม่มีวันยอมเสียประโยชน์ คราวนี้ที่เขาไม่ให้บ้านเราพูดอะไรออกไป แปลว่าเขาเองก็คงเสียมากกว่าจะได้…เราอยู่เฉย ๆ ดีกว่าค่ะ”ซ่งอวี้ขมวดคิ้ว “หมายความว่า?”“เขาไม่ปล่อยให้พี่หลินอิงกับอู่กวงเหยียบจมูกแน่ รอดูเถอะค่ะ เขาต้องขยับเอง”พอดีกับที่พยาบาลเข้ามาเปลี่ยนถุงเลือดใหม่ หลันถิงหันไปบอกซ่งอวี้เสียงเบาแต่จริงจัง “น้าอวี้…ช่วงนี้ช่วยจับตาย่าลู่ให้ดี ๆ หน่อยนะคะ ฉันไม่ไว้ใจ”คำพูดนั้นทำให้ซ่งอวี้ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับ สีหน้าหญิงสาวเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดเธอเองก็รู้ดีว่าหญิงชราอย่างหลินฟางไม่มีวันยอมปล่อยให้ความจริงเปิดเผยง่าย ๆภายในห้องพักผู้ป่วย จึงเหลือเพี
ตอนที่ 5 || โลกนี้ขับเคลื่อนด้วยเงินช่วงสายวันถัดมา แสงแดดร้อนแรงลอดผ่านม่านผ้าสีซีดเข้ามาในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาลประชาชนกว่างโจว แสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านทำให้ผนังสีขาวดูซีดหม่นยิ่งกว่าเดิม กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อยังคละคลุ้งอยู่ในอากาศจนแสบจมูก เครื่องวัดชีพจรดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ คล้ายบอกว่าชีวิตอันริบหรี่ของใครบางคนกำลังค่อย ๆ ฟื้นคืนบนเตียงผู้ป่วย ลู่หลันถิง หรือดวงวิญญาณของพริมาเฉินที่เข้ามาอยู่ในร่างนี้ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก ราวกับต้องใช้แรงทั้งหมดที่เหลืออยู่ ร่างกายยังอ่อนเปลี้ยเหมือนถูกสูบพลังออกไปจนสิ้น แต่ดวงตากลับคมชัดกว่าเดิม ความทรงจำทั้งใหม่และเก่าไหลทะลักเข้ามาในสมองจนปวดหนึบครู่หนึ่งหญิงสาวเหลือบสายตามองไปยังข้างเตียง ที่นั่นมีร่างเล็กของถังซิน เพื่อนเพียงคนเดียวของร่างนี้ นั่งฟุบหลับอยู่กับโต๊ะเล็ก ข้างโต๊ะมีกล่องข้าวกับกาน้ำร้อนตั้งอยู่ ใบหน้าซูบผอมซบลงกับแขน ร่องรอยความเหนื่อยล้าสะท้อนให้เห็นชัดว่าเธอเฝ้าอยู่ทั้งคืนโดยไม่ได้นอนหลันถิงพยายามขยับมือ เสียงผ้าปูเตียงเสียดสีกับท่อนแขนเล็กดังแผ่ว ๆ การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยนั้นกลับปลุกถังซินให้สะดุ้งตื่น ตาทั้งสองแดง
ตอนที่ 4 || เจ้าสาวเปลี่ยนได้แต่งานแต่งจะล่มไม่ได้!เกือบตีสี่ รถเก๋งเก่าคันเล็กเร่งฝ่าความมืดไปตามถนนสายยาวมุ่งหน้าสู่เขตเมือง ไฟหน้าส่องแสงเป็นเส้นตรงตัดกับท้องฟ้าสีหม่น เสียงเครื่องยนต์เก่าดังแผ่วราวจะดับทุกเมื่อในแต่ละจังหวะที่ล้อบดกับพื้นถนน ลู่เสียนอี่จับพวงมาลัยแน่นจนข้อนิ้วซีด ใบหน้าขาวคล้ำด้วยเหงื่อเย็น ๆ ที่ผุดพราวเต็มหน้าผากกว้าง“คุณ… ถิงถิงจะไม่เป็นไรใช่ไหมคะ” เสียงสั่นเครือของซ่งอวี้ดังขึ้นจากเบาะข้างคนขับ เธอกอดลูกชายวัยสามขวบแนบอกหวังให้เด็กชาย ลู่หลงอวี่ ความหวาดกลัวในดวงตาของหญิงวัยสามสิบแปดปีนั้นไม่ต่างจากคนขับแม้แต่น้อย“ฉันไม่รู้…” เสียงตอบสั้นของเสียนอี่แหบพร่า ดวงตาสั่นไหวด้วยความหวาดกลัวจนแทบสิ้นเรี่ยวแรง เขาไม่รู้เลยว่าลูกสาวทำไมถึงบาดเจ็บสาหัสได้ ทั้งที่ดึกดื่นขนาดนี้อีกฝ่ายควรนอนพักอยู่บนชั้นสามของบ้านลู่ความเงียบกดทับภายในรถ มีเพียงเสียงเครื่องยนต์กระตุกในบางจังหวะ ที่ดังประสานกับหัวใจของทั้งคู่ที่เต้นถี่แรง ซ่งอวี้พยายามเอ่ยคำปลอบใจ “บางที…อาจไม่แย่ขนาดที่เรากลัว”แต่ประโยคที่ควรจะปลอบใจ กลับทำให้บรรยากาศตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ในที่สุด แสงไฟสว่างจ้าของโรงพ
Komen