Home / แฟนตาซี / วิถีสุริยะพิชิตเวหา / บทที่ 39 สอนการบินให้สาวงาม

Share

บทที่ 39 สอนการบินให้สาวงาม

แสงอรุณแรกสาดส่องผ่านบานหน้าต่าง ลำแสงสีทองกระทบใบหน้าของจางอี้หมิง เขาค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย แต่เมื่อขยับตัวจึงพบว่า…

“พื้นหน้าประตูบ้าน... ทำไมข้าถึงมานอนอยู่ตรงนี้ได้?”

เขากวาดสายตามองรอบๆ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนนี้ ศิษย์พี่เจียงเยว่ บุกมายึดเตียงของเขาและบังคับให้เขานอนเฝ้าประตูแทน

“ช่างไร้น้ำใจเสียจริง! แย่งที่นอนข้าแล้วยังไม่คิดจะปลุกกันบ้างเลย”

จางอี้หมิงบ่นอุบอิบพร้อมทั้งลุกขึ้นบิดขี้เกียจ เส้นผมยุ่งเหยิง เขาขยี้ตาเบาๆ แล้วหันไปมองเตียงนอน…

เตียงว่างเปล่า ไม่มีเงาของศิษย์พี่เจียงเยว่

“ไว้วันหนึ่งท่านร่วมเตียงกับข้าเมื่อไหร่ ข้าจะปลุกขึ้นมาเสพสุขแต่เช้า”

แม้จะบ่น แต่ใบหน้าของจางอี้หมิงกลับเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาเล็กน้อย

จากนั้น จางอี้หมิงก็จัดการตัวเอง ล้างหน้า แปรงฟัน และเปลี่ยนชุดเรียบร้อย จางอี้หมิงเดินทอดน่องไปยังลานฝึกเบื้องล่างของสำนัก

วันนี้ก็เหมือนทุกวัน ไม่มีอันใดพิเศษ

เขาเข้าร่วมชั้นเรียนอย่างขอไปที ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง แต่ยังคงแสร้งทำเป็นตั้งใจต่อหน้าผู้สอน

ระหว่างพักการฝึก…

“ศิษย์พี่อี้หมิง! นั่งพักเหนื่อยก่อนเถอะขอรับ!”

เสียงของคนคุ้นเคยดังขึ้น ก่อนที่ ซุนสีห่าว จะวิ่งเข้ามาใกล้ด้วยท่าทีเอาอกเอาใจ ถือพัดมาโบกให้เขาอย่างขยันขันแข็ง

"เจ้าตัวน่ารำคาญนี่อีกแล้ว" จางอี้หมิงคิดในใจ แต่มุมปากกลับยกยิ้ม เพราะรู้ดีว่าเจ้าซุนสีห่าวคนนี้คอยประจบเขาเพื่อหวังผลบางอย่าง

“เจ้าอยากให้ข้าเบิกทางให้เจ้าจีบน้องสาวข้า จางหลันซือใช่หรือไม่?”

แม้ไม่ได้พูดออกมา แต่จางอี้หมิงก็รู้ดีถึงจุดประสงค์ของซุนสีห่าว

“ศิษย์พี่อี้หมิง เชิญดื่มชาขอรับ ข้าชงมาให้ด้วยความตั้งใจ” ซุนสีห่าวยื่นถ้วยชาให้ พร้อมรอยยิ้มที่ดูประจบประแจงเสียเหลือเกิน

“อืม... ก็ไม่เลวนัก” จางอี้หมิงยกถ้วยชาขึ้นจิบพลางพยักหน้าเล็กน้อย

จากนั้นเขาก็เอนตัวลงกับพนักเก้าอี้ ยื่นเท้าออกไปข้างหน้าแล้วพูดเสียงเรียบ

“เท้าข้าเมื่อยอยู่พอดี เจ้าช่วยบีบนวดให้หน่อยเถอะ”

“ได้เลยขอรับ!”

ซุนสีห่าวก้มหน้าก้มตาบีบนวดเท้าให้จางอี้หมิงอย่างไม่อิดออด จางอี้หมิงยิ้มอย่างพอใจที่ได้ใช้งานอีกฝ่าย

เจ้าตัวบัดซบนี่ หากว่าเจ้าจริงใจไม่เสแสร้ง ข้าอาจพิจารณาเป็นพิเศษ

เวลามื้อกลางวัน

จางอี้หมิงนั่งร่วมโต๊ะกับ หลินหนิง และ หวงจื่อรั่ว สองศิษย์สาวที่เขาหมายตาไว้

หลินหนิงมีความน่ารักสดใสเหมือนลูกกวางน้อย ส่วนหวงจื่อรั่วนั้นงดงามสง่าราวกับเทพธิดา

“กินเยอะๆ เถิด ของโปรดพวกเจ้าทั้งนั้น”

จางอี้หมิงใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาชิ้นโตวางลงในจานของทั้งคู่ ท่าทางของเขาดูเป็นสุภาพบุรุษอย่างยิ่ง

“ขอบคุณนะศิษย์พี่อี้หมิง” หลินหนิงยิ้มหวานตาหยี รอยยิ้มของนางช่างสดใสราวกับดอกไม้แรกแย้ม

“ขอบคุณท่านมาก” หวงจื่อรั่วยิ้มอย่างอ่อนโยน แววตาเป็นประกาย

จางอี้หมิงแสร้งยิ้มสุภาพ พลางคิดในใจว่า “สิ่งเหล่านี้นับว่าเล็กน้อย การช่วงชิงดวงใจของพวกเจ้านับว่ายิ่งใหญ่กว่านี้ยิ่งนัก”

หลังจากเสร็จสิ้นการเรียนการสอนในช่วงบ่าย เหล่าศิษย์ต่างแยกย้ายกันไปฝึกฝนด้วยตนเอง

จางอี้หมิงเดินกลับมาที่เรือนของตนอย่างอารมณ์ดี เขาทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะหน้าบ้าน ก่อนจะหยิบตำราเล่มหนึ่งขึ้นมา

เขาเปิดตำราที่เขียนเกี่ยวกับศิลาเฝิ่นเหิงต่อ เรื่องราวของเนื้อหานับว่าน่าสนใจยิ่งนัก

จางอี้หมิงเปิดตำราอ่านอย่างตั้งใจ แม้ไม่สนใจว่าจะมีอยู่จริงหรือไม่ แต่เนื้อหาเกี่ยวกับตำนานนั้นช่างน่าสนใจยิ่งนัก

“หากนี่เป็นวรรณกรรม เรื่องนี้ก็นับเป็นวรรณกรรมชั้นยอดทีเดียว”

แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องเข้ามาในห้อง บรรยากาศเงียบสงบ และจางอี้หมิงก็จมอยู่ในโลกของตัวอักษร อ่านตำราโดยไม่หยุดพัก

ขณะที่จางอี้หมิงกำลังจดจ่ออ่านตำราเกี่ยวกับศิลาเฝิ่นเหิง เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังมาแต่ไกล

ตึก…ตึก…ตึก…

จางอี้หมิงเงยหน้าขึ้น สายตาละออกจากตำรา มองตรงไปยังต้นทางของเสียง เผยให้เห็นร่างเล็กๆ ของ แม่นางหลินหนิง ที่ยืนอยู่ตรงหน้า

นางสวมชุดสีชมพูอ่อน ผ้าแพรบางเบาพลิ้วไหวไปตามการเคลื่อนไหว รูปร่างงดงามพอดีตา สะโพกบิดไปมาทุกย่างก้าวอย่างเป็นธรรมชาติ

ใบหน้ารูปไข่ ดวงตากลมโตสดใสเป็นประกาย ริมฝีปากเล็กบางเผยรอยยิ้มแสนหวาน

ดวงตาของจางอี้หมิงเป็นประกายทันทีที่เห็นแม่นางผู้น่ารักเบื้องหน้า เขารีบลุกขึ้นยืน ทำท่าทีสง่างามเสมือนเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดี

“อ้าว... แม่นางหลินหนิง! นี่เจ้ามาถึงเรือนข้าด้วยตนเองเชียวหรือ?”

จางอี้หมิงถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่ในใจกลับพองโตด้วยความดีใจ

“เจ้ามีธุระอะไร แล้วเหตุใดถึงมาคนเดียว?”

หลินหนิงยิ้มเล็กน้อย ใบหน้าของนางดูน่ารักน่าชังเป็นอย่างยิ่ง นางตอบเสียงใสว่า…

“แม่นางจื่อรั่วกำลังฝึกซ้อมวิชาทวนอยู่ ข้าไม่กล้ารบกวน... ก็เลยนึกถึงศิษย์พี่อี้หมิงขึ้นมา”

“หืม? นึกถึงข้า?” จางอี้หมิงเลิกคิ้ว ทำทีเป็นประหลาดใจ

“ข้ากำลังฝึกขี่กระบี่ แต่ฝีมือของข้ายังไม่ค่อยดีนัก ก็เลยอยากขอให้ศิษย์พี่ช่วยชี้แนะ”

หลินหนิงเอียงคอเล็กน้อย ดวงตากลมโตของนางเป็นประกายแวววาว ท่าทางน่าเอ็นดูจนจางอี้หมิงใจละลาย

“ฮ่ะๆ เรื่องแค่นี้เองหรือ แน่นอนว่าข้าย่อมช่วยเจ้าอยู่แล้ว”

จางอี้หมิงตอบอย่างเรียบๆ อมยิ้มเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดว่า “ภรรยามาขอความช่วยเหลือ... มีหรือสามีจะไม่ตกลง”

“เช่นนั้น... ตามข้ามาที่ลานหน้าบ้านเถิด” จางอี้หมิงผายมือเชื้อเชิญอย่างนุ่มนวล ก่อนจะเดินนำไปยังลานฝึกหน้าบ้าน

สายลมอ่อนๆ พัดโชย กลิ่นหอมของดอกเหมยที่ปลูกไว้รอบลานฝึกโชยมาเบาๆ

ลานหน้าบ้านกว้างขวาง ปูด้วยหินสีเทาเรียงรายเป็นระเบียบ รอบๆ มีต้นไม้เขียวขจีให้บรรยากาศร่มรื่น

จางอี้หมิงยืนหันหลัง มือทั้งสองไขว้หลังไว้ ท่าทีสง่างามราวกับอาจารย์ผู้เคร่งขรึม เห็นได้ชัดว่าเสแสร้งต่อหน้าสตรีสาว

หลินหนิงยืนประสานมือคารวะเล็กน้อย ใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดู “ข้าน้อยพร้อมแล้ว ขอเชิญศิษย์พี่ชี้แนะ”

จางอี้หมิงหันมามอง สายตาของเขาอ่อนโยนลงทันทีที่เห็นรอยยิ้มของนาง “เช่นนั้น... เริ่มกันเถิด ข้าจะช่วยชี้แนะเจ้าเอง”

จางอี้หมิงค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้หลินหนิง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “การขี่กระบี่นั้น ต้องใช้สมาธิและการควบคุมลมหายใจ”

เขายืนอยู่ด้านหลังหลินหนิง มือทั้งสองจับที่ไหล่เล็กๆ ของนางอย่างเบามือ “หลับตาลง ควบคุมลมปราณไว้ที่ตันเถียน แล้วจินตนาการว่าตัวของเจ้าเป็นนกตัวหนึ่งดู”

หลินหนิงหลับตาลง ใบหน้าของนางสงบลงเล็กน้อย

จางอี้หมิงยิ้มอย่างพึงพอใจ เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมอ่อนๆ จากเรือนผมของนาง

“ดีมาก ค่อยๆ ลอยขึ้นช้าๆ”

เขาพูดด้วยเสียงนุ่มนวล ใบหน้าอยู่ใกล้กับหูของหลินหนิงจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ หลินหนิงหน้าแดงเล็กน้อย แต่ยังคงตั้งใจทำตามที่จางอี้หมิงบอก

กระบี่สีเงินเปล่งประกายแสงจางๆ ค่อยๆ ลอยขึ้นจากพื้นดิน นำร่างของจางอี้หมิงและหลินหนิงลอยตามขึ้นไป

ลมเย็นพัดผ่านใบหน้า ทำให้ผมยาวสลวยของหลินหนิงปลิวไสว ดวงตากลมโตของนางเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้น

“ว้าว... งดงามยิ่งนัก!”

หลินหนิงอุทานเบาๆ เมื่อเห็นทิวทัศน์กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ภูเขาเขียวขจี ทะเลเมฆสีขาวนวล ทุกอย่างดูล่องลอยราวกับความฝัน

จางอี้หมิงยืนอยู่ด้านหลัง มือของเขาจับเบาๆ ที่ไหล่เล็กๆ ของหลินหนิง คอยประคองให้นางทรงตัวได้มั่นคง

กลิ่นหอมจางๆ จากเรือนผมของหลินหนิงโชยมา ทำให้จางอี้หมิงรู้สึกสดชื่นยิ่งนัก หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว

“ข้ามีศิษย์น้องน่ารักเช่นนี้ แถมยังมาให้ข้าสอนขี่กระบี่อีก นับว่าข้าโชคดีจริงๆ”

ขณะที่กระบี่ลอยไปเรื่อยๆ สายลมอ่อนๆ พัดผ่านอย่างแผ่วเบา หลินหนิงเหลียวมองจางอี้หมิงเล็กน้อย ดวงตากลมโตเป็นประกายเจ้าเล่ห์

“หึๆ ความจริงข้าขี่กระบี่เป็นนานแล้ว เพียงแค่หาเรื่องบินเช่นชมวิวกับท่านเท่านั้น”

นางคิดในใจ ใบหน้ารูปไข่แดงระเรื่อเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปมองทิวทัศน์อย่างอารมณ์ดี

ทางด้านจางอี้หมิง เขาสังเกตเห็นว่าหลินหนิงบินได้อย่างคล่องแคล่ว การทรงตัวก็มั่นคงจนผิดสังเกต

“แม่นางน้อยเอ๋ย… เจ้าบินได้คล่องแคล่วเพียงนี้ แต่แสร้งทำเป็นขอให้ข้าสอน”

“คิดจะเล่นกับไฟเช่นนี้ อย่าหาว่าข้าไม่เตือนนะ”

ดวงตาของจางอี้หมิงเป็นประกายเจ้าเล่ห์ ริมฝีปากแอบยิ้มอย่างเจ้าแผนการ

ตูม!!!

เสียงระเบิดดังกึกก้อง ก้องสะท้อนไปทั่วทั้งฟ้า

จางอี้หมิงและหลินหนิงหันขวับไปทางต้นเสียงพร้อมกัน ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ไกลออกไปเหนือหุบเขา กลุ่มควันสีดำลอยพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เปลวไฟสีส้มลุกโชติช่วง…

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 52 นิทาน

    “เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 51 ชายผู้เขียนอักษร

    ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   ความเดิมภาคที่แล้ว

    จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 50 จากลา (จบภาค1)

    ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 49 บำเพ็ญคู่ปรับสมดุลลมปราณ

    จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 48 กักตัวที่บ้านพัก

    จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status