“หากพวกเจ้าไม่อยากตายเป็นผีเฝ้าสำนัก จงบอกที่ซ่อนของศิลาเฝิ่นเหิงมาเดี๋ยวนี้!”
เสียงของเชียนหวงก้องกังวาน แรงกดดันมหาศาลแผ่ซ่านไปทั่ว บรรยากาศรอบข้างเหมือนถูกบีบอัดจนหนักอึ้ง
ลิ่วเฉียงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ศิลาเฝิ่นเหิง?”
จางอี้หมิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ยกคิ้วขึ้นก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ “ข้าเคยอ่านเจอในนิยาย ตำนานเซียนไท่ซวิน ไม่คิดว่าจะมีคนที่เชื่อว่าเป็นของจริงด้วย”
ลิ่วเฉียงหันไปมองหน้าเชียนหวง ก่อนจะยิ้มเยาะ “เจ้าก็ไปถามผู้เขียนนิยายสิ!”
“หุบปาก!” เชียนหวงตะโกนลั่น ‘ปากแข็งหรือเบาปัญญาก็ไม่ใช่ประเด็นหลัก!’ รังสีอำมหิตระเบิดออกมาจากร่าง พลังสีดำมืดหม่นหมุนวนไปรอบตัวเขา ราวกับเป็นพายุวิญญาณอาฆาต
“เช่นนั้น ข้าคงต้องกำจัดพวกเจ้าให้หมดแล้วค่อยค้นหาด้วยตัวเอง!”
ซ่าาา!
พลังอาฆาตสีดำแผ่ซ่านออกมาจากร่างของเชียนหวง พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของเขาแตกร้าว เปลวพลังสีดำคุกรุ่นรอบตัว
ลิ่วเฉียงยังคงยืนสงบนิ่ง มองดูศัตรูตรงหน้าด้วยสายตาเฉยชา ก่อนจะหันไปถามเฉินเจิ้ง “แค่ระดับเจ็ด เจ้าสู้ไม่ได้รึ?”
เฉินเจิ้งกำหมัดแน่นก่อนจะตอบด้วยเสียงเจ็บใจ “น่าอับอายยิ่งนัก! หากข้าไม่อ่อนล้าจากการต่อสู้ก่อนหน้า คงไม่ยากที่จะสังหารมัน!”
ลิ่วเฉียงพยักหน้ารับรู้ “ที่แท้เป็นเช่นนี้”
เขาก้าวออกมาด้านหน้า ยกมือขึ้นเบาๆ
“ฟึ่บ!”
ทันใดนั้น ทวนประจำกายของเขาพุ่งทะลุอากาศลงมาจากฟากฟ้า “ตูม!” ปลายทวนปักลงบนพื้น สะเทือนจนเศษหินกระเด็นกระจาย ลมปราณอันแข็งแกร่งแผ่ซ่านออกไปทั่วสนามรบ
ลิ่วเฉียงยิ้มบางๆ “เจ้าต้องการกี่กระบวนท่า?”
เชียนหวงหัวเราะเย้ย “จัดการเจ้าเพียงสามกระบวนท่าก็พอแล้ว!”
ลิ่วเฉียงพยักหน้า “ได้ ข้าจะช่วยให้เจ้าสู้ครบสามกระบวนท่า”
กระบวนท่านที่หนึ่ง
เชียนหวงพุ่งเข้าหาด้วยความเร็วปานสายฟ้า ดาบคู่ของเขาฟาดฟันเป็นเงาสีดำสายหนึ่ง หวดใส่ลิ่วเฉียงอย่างรุนแรง
เคร้ง!!
ฟุ่บ!!
ลิ่วเฉียงสะบัดทวนขึ้นมา ปลายทวนหมุนวนคล้ายเป็นโล่ หยุดคมดาบได้อย่างแม่นยำ แรงปะทะส่งเสียงสะเทือนสะท้านฟ้า แต่เขายังคงยืนมั่นคง ไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว!
เชียนหวงแสยะยิ้ม “ดูเหมือนเจ้าจะมีดีอยู่บ้าง!”
กระบวนท่าที่สอง
เชียนหวงเพิ่มการโจมตีเข้าไปอีกในการโจมตีครั้งนี้
ฉับ! ฉับ! ฉับ!
เขารัวกระบวนดาบนับสิบ ฟาดฟันจากทุกทิศทุกทาง รัศมีดาบพุ่งตัดผ่านอากาศจนเกิดเป็นแรงกดดันมหาศาล
แต่ลิ่วเฉียงยังคงนิ่งสงบ ทวนในมือหมุนวนราวกับสายลม หักเหแรงปะทะทั้งหมดได้อย่างชำนาญ
ปั้ก! ปั้ก! ปั้ก!
ทวนของเขาปะทะกับดาบคู่ของเชียนหวงเป็นประกายไฟแลบไปทั่วสนาม!
กระบวนท่าที่สาม!
เชียนหวงคำรามเสียงดัง ร่างของเขาถูกปกคลุมด้วยพลังสีดำหม่น ดาบทั้งสองในมือแปรเปลี่ยนเป็นรัศมีเพลิงอสูร
"ดูซิ! เจ้าจะยังรับมือได้หรือไม่!"
ตูมมมมม!!!
เขาทุ่มพลังทั้งหมดสุดชีวิต พุ่งเข้าใส่ลิ่วเฉียง คลื่นพลังสีดำพุ่งทะลวงอากาศ ราวกับจะฉีกกระชากทุกสิ่งเป็นเสี่ยงๆ
แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นไปดั่งคาดหมาย แม้ในกระบวนท่าที่สามลิ่วเฉียงจะยังตึงมืออยู่บ้าง แต่การโจมตีของเชียนหวงก็มิอาจสร้างความลำบากให้แก่ตัวลิ่วเฉียงแม้แต่น้อย
แฮ่ก! แฮ่ก! แฮ่ก!
เชียนหวงหายใจเหนื่อยหอบ
“ครบสามกระบวนท่า หมดเวลาเล่นสนุกสำหรับเจ้าแล้ว”
ลิ่วเฉียงขยับมือเพียงเล็กน้อย ทวนในมือของเขาปลดปล่อยแรงสั่นสะเทือนมหาศาล
วูมมมม!
ทวนประจำกายของเขาเปล่งแสงสีเงินเจิดจ้า พลังมหาศาลไหลเวียนเข้าไปยังปลายทวน
“กระบวนท่าทวนสังหารฟาดฟันฟ้าดิน!”
ฉวับบบ!!!
เสียงเสียดสีกรีดร้องของอากาศดังก้องไปทั่ว รัศมีทวนพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า ก่อนจะตวัดลงมาเป็นแนวตรง!
เปรี๊ยะ!!!
พื้นดินแตกระเบิดเป็นทางยาว รอยแยกจากแรงฟันขยายออกไปเป็นสิบจั้ง! ร่างของเชียนหวงที่อยู่ตรงกลางถูกพลังท่วมท้นบดขยี้ทันที…
ฉัวะ!!
ร่างกายของเขาขาดสะบั้นกลางเวหา!
ศิษย์ทุกคนของสำนักเทียนหยางต่างมองดูภาพตรงหน้าด้วยความตกตะลึง เชียนหวงหนึ่งในสมาชิกลัทธิมารแดนสวรรค์ ถูกสังหารด้วยเพียงกระบวนท่าเดียวของลิ่วเฉียง!
ลิ่วเฉียงสะบัดทวนเบาๆ ขจัดเลือดออกจากอาวุธ ก่อนจะหันกลับไปมองเฉินเจิ้ง ฟ่านหวง และจางอี้หมิง
“ก็ไม่เท่าไหร่”
จางอี้หมิงยืนอ้าปากค้าง สายตาเขายังจับจ้องไปที่ร่างไร้วิญญาณของเชียนหวง
“นี่น่ะหรือความแข็งแกร่งของระดับแปด…”
เขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ก่อนจะพึมพำกับตัวเอง “โชคดีที่ศิษย์พี่ลิ่วเฉียงมิใช่ศัตรู...มิเช่นนั้น คงรับมือได้ยาก”
แต่ทันใดนั้น!
ฟิ้ววววว!
แสงหนึ่งพุ่งวาบลงมาจากฟากฟ้ายามค่ำคืนอันไร้แสงจันทรา กระบี่บินเปล่งประกายแหวกผ่านอากาศลงมาอย่างรวดเร็ว ร่างของบุคคลผู้หนึ่งยืนอย่างสง่างามบนกระบี่ ก่อนจะค่อยๆ ร่อนลงมาหยุดตรงหน้าทุกคน
บุรุษผู้นี้มีเรือนผมสีดำยาวสยาย ใบหน้าคมเข้มเต็มไปด้วยความสงบเยือกเย็น ชุดคลุมสีฟ้าครามพลิ้วไหวตามสายลม
“ศิษย์พี่ชิงซิ่ว!”
เขาคือศิษย์พี่อาวุโสสุดแห่งสำนักเทียนหยาง
ชิงซิ่วกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“จบแล้วหรือ?”
ลิ่วเฉียงส่ายหน้า ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
“ทำไมไม่มาพรุ่งนี้เลยล่ะ?”
“ก็กะอยู่”
ทุกคน “...”
ชิงซิ่วกวาดสายตามองไปยังร่างไร้วิญญาณของเชียนหวง ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“จับตายหรือ?”
ลิ่วเฉียงยักไหล่ ก่อนจะตอบเสียงเรียบ
“พลั้งมือไปหน่อย”
ลิ่วเฉียงหันไปมองร่างของเชียนหวงที่ถูกผ่าขาดสะบั้นแล้วพูดต่อ “คนของลัทธิมารแดนสวรรค์ มาตามหาศิลาเฝิ่นเหิงที่สำนักเรา”
ชิงซิ่วพยักหน้ารับ “ที่แท้เป็นเช่นนี้”
“ศิลาเฝิ่นเหิงมีจริงด้วยหรือ” ลิ่วเฉียงสงสัย
“เคยได้ยินอาจารย์พูดถึง แต่ไม่รู้อยู่ที่ไหน”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ รออาจารย์กลับมาคงต้องถามอย่างละเอียด”
จากนั้นชิงซิ่วก็กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เช่นนั้น...ก็จัดการศพของมันเถอะ”
ลิ่วเฉียงชี้ไปที่ร่างไร้วิญญาณของเชียนหวง ก่อนจะพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“ท่านมาคนสุดท้าย...ยกให้ท่านจัดการ”
ชิงซิ่ว “...”
ความเงียบงันปกคลุมไปทั่วบริเวณ เฉินเจิ้ง ฟ่านหวง และลิ่วเฉียงต่างเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
“เป็นไปไม่ได้!” ฟ่านหวงส่ายหน้ารัว “ถัวเค่อชีผู้นั้นเป็นคนดีมาตลอด! ขนาดสำนักสังคีตมันยังไม่ไปเลย เหตุใดถึง…”
หลี่เกอซินเม้มปากแน่น “ข้าเองก็อยากรู้เหตุผลเหมือนกัน”
“แล้วตอนนี้ถัวเค่อชีอยู่ที่ไหน?” ชิงซิ่วเอ่ยถาม
“ศิษย์พี่เจียงเยว่ออกตามล่าถัวเค่อชีแล้ว” หลี่เกอซินตอบ “เพียงแต่ว่า…”
นางหยุดคำพูดไว้กลางคัน ราวกับลังเลอะไรบางอย่าง
ชิงซิ่วจ้องมองนาง “เพียงแต่อะไร?”
หลี่เกอซินเงยหน้าขึ้นก่อนจะยกมือชี้ไปบนท้องฟ้า... ทุกคนมองตาม
“คืนนี้ไร้แสงจันทร์” นางกล่าวเสียงแผ่วเบา “เป็นวันที่ศิษย์พี่เจียงเยว่อ่อนกำลังมากที่สุด…ข้าเกรงว่า ศิษย์พี่เจียงเยว่จะต้านทานถัวเค่อชีไม่ได้”
“ออกล่าตัวถังเค่อชีเดี๋ยวนี้!” ชิงซิ่วออกคำสั่งทันที ไม่มีผู้ใดลังเล ทุกคนพุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว
“เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา...” เสียงของนักเล่านิทานเกริ่นเล่า“ครั้งนั้นปักษาอัคคีบุกเข้าโจมตีอาณาจักรต้าเฉิง มีศิษย์แห่งสำนักเทียนหยางผู้หนึ่ง นามว่า เสี่ยวต้าหมิง ออกกำจัดปักษาอัคคีผู้นั้น ทว่า เป็นที่น่าเสียดาย หลังจากกำจัดปักษาอัคคีได้ วีรบุรุษเสี่ยวต้าหมิงผู้นั้น ก็ได้จากโลกนี้ไปตลอดการ”มารดามันเถอะ! เจ้าเล่าเรื่องของข้าไม่พอ ยังตั้งชื่อข้าว่าเสี่ยวต้าหมิง คนอันใดมีทั้งใหญ่ทั้งเล็กในตัวเอง เท่านั้นไม่พอ ยังบังอาจสาปแช่งให้ข้าตายเมื่อนักเล่านิทานเล่าเรื่องจบ จางอี้หมิงก็เดินปรี่เข้าไปสอบถาม“ท่านเสี่ยวต้าหมิงช่างยิ่งใหญ่น่าเคารพยิ่ง” จางอี้หมิงกล่าววาจาชื่นชมตัวเอง “ข้าอยากทราบว่า เป็นผู้ใดเล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าฟัง”นักเล่านิทานยกมื่อคารวะทีหนึ่ง “เรียนคุณชายท่านนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ให้กับข้าน้อยฟัง คือ ท่านปราจารย์ซ่งอิน แห่งสำนักเทียนหยาง”“!!!”จางอี้หมิงยืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนให้รางวัลตอบแทนนักเล่านิทานไปสามอีแปะ พลางคิดในใจ “เจ้าซ่งอินเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าออกมาจากสำนักแค่เดือนเดียวก็คิดแต่งตั้งตัวเองแล้ว
ณ เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเฉิง เขตเมืองชั้นในของเมืองคึกคักไปด้วยผู้คน แม้จะไม่แออัดเท่าเขตเมืองชั้นนอก แต่ก็ถือว่ามีจำนวนมากพ่อค้าแม่ค้าต่างเปิดร้านกันอย่างขมีขมัน*(กะตือรือร้น) กลิ่นหอมของหมั่นโถวร้อนๆ ลอยมาจากแผงขายอาหาร เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ค้าแข่งกันดังก้องทั่วถนน ไม่ว่าจะร้านของกินหรือร้านเครื่องประดับ ต่างแข็งขันกันอย่างเข้มข้นจางหลันซือ บุตรสาวของท่านอ๋องจางส่วง นั่งอยู่ในรถม้าสีดำขลับ ประดับลวดลายดอกเหมยงามสง่า นางเป็นสตรีที่ได้รับการกล่าวขานว่างามเลิศ ทั้งยังมีนิสัยซุกซนข้างกายนางมีซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของพี่ชายของนาง จางอี้หมิง สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวเทพธิดาในอาภรณ์สีชมพูอ่อนอันเรียบง่าย ที่ขับเน้นผิวขาวผุดผ่องของนางให้ดูอ่อนโยนดุจบุปผาแรกแย้มซงเอ๋อร์มิใช่เพียงสาวใช้ธรรมดา แต่นางเป็นว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง และเป็นสตรีที่ได้รับความรักใคร่จากคนในตระกูลจาง และถูกให้ความสำคัญในระดับสูงรถม้าของทั้งสองแล่นผ่านถนนสายหลักของเมือง สายตาของจางหลันซือก็สะดุดเข้ากับผู้คนที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดไปจนสุดสายตา คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่งบา
จางอี้หมิงบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องจางส่วง ถูกจอมมารปีศาจทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส นอนหลับไปนับปี เมื่อตื่นขึ้น พบว่าพลังปราณสูญเสียสมดุลจนใช้งานไม่ได้ข้างกายของเขามีแม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำกายและว่าที่อนุภรรยาในอนาคตคอยเฝ้าดูแลไม่ห่างหนทางที่ง่ายที่สุดคือฝึกฝนใหม่แบบย้อนกลับเพื่อปรับสมดุลพลังปราณ หนทางที่ยากที่สุดคือหาสมุนไพรหายากสิบแปดชนิด และหนทางสุดท้ายคือ บำเพ็ญคู่กับสตรีพรหมจรรย์ เขาจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางการฝึกฝนร่วมกับเหล่าศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งถือว่าง่ายดายและปัญหาน้อยที่สุดเขาได้พบเจอกับแม่นางหลินหนิงผู้มีความน่ารักสดใสดวงตากลมโต ได้รู้จักแม่นางหวงจื่อรั่วผู้มีใบหน้าหมดจดงดงามราวเทพธิดาเพิ่มมากขึ้น แม้นางจะเป็นคนของจวนอ๋องแต่ทว่าความสนิทมีน้อยนัก จนกระทั่งได้มาฝึกร่วมกันอีกครั้งการฝึกฝนใหม่ในครั้งนี้ได้พบกับถัวเค่อชี ผู้มีใจริษยาต่อจางอี้หมิงมาตลอด พบกันคราวนี้ถัวเค่อชีต้องปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้ฝึกฝนจางอี้หมิง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ "ข่ม" จางอี้หมิงบ้าง แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ จางอี้หมิ
ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ
จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม
จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร
ท่ามกลางป่าทึบยามราตรี ทุกสิ่งทุกอย่างถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด ไม่มีแม้แต่แสงจันทร์หรือประกายดาว มีเพียงเสียงลมพัดเอื่อยๆ ราวกับเสียงกระซิบจากธรรมชาติเพียงเท่านั้นถัวเค่อชี ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขานั่งพิงต้นไม้ใหญ่ เรือนผมยุ่งเหยิง เสื้อคลุมหลุดลุ่ยจากร่องรอยการดิ้นรนทรมานจากฤทธิ์ยา ร่างกายเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ ผิวหนังแดงก่ำ ราวกับมีเปลวไฟกำลังเผาผลาญจากภายในความเจ็บปวดจากพิษของยาเสริมพลังที่ เชียนหวง มอบให้เขา ตอนนี้ค่อยๆ สลายไปแล้ว“ฮ่า... ฮ่า... ฮ่า!”เขาหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ทันทีที่ขยับตัว เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลที่หลั่งไหลอยู่ในร่าง ราวกับสายธารปราณที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนเขาหลับตา โคจรลมปราณทั่วร่าง และสิ่งที่ค้นพบก็ทำให้ดวงตาของเขาเป็นประกาย“พลังของข้า... เพิ่มขึ้นแล้ว!”เขาเผยรอยยิ้มสะใจ ก่อนจะกระชากกระบี่ออกจากฝัก แสงเย็นเยียบสะท้อนจากใบกระบี่ เขารวบรวมพลังลงไปในคมดาบ จากนั้นฟาดมันออกไปเต็มแรงฉัวะ!เสียงกระบี่เฉือนอากาศดังก้อง ต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าถูกฟันขาดสะบั้นเป็นสองท่อน เศษไม้ปลิวกระจายไปทั่ว
“หากพวกเจ้าไม่อยากตายเป็นผีเฝ้าสำนัก จงบอกที่ซ่อนของศิลาเฝิ่นเหิงมาเดี๋ยวนี้!”เสียงของเชียนหวงก้องกังวาน แรงกดดันมหาศาลแผ่ซ่านไปทั่ว บรรยากาศรอบข้างเหมือนถูกบีบอัดจนหนักอึ้งลิ่วเฉียงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ศิลาเฝิ่นเหิง?”จางอี้หมิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ยกคิ้วขึ้นก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ “ข้าเคยอ่านเจอในนิยาย ตำนานเซียนไท่ซวิน ไม่คิดว่าจะมีคนที่เชื่อว่าเป็นของจริงด้วย”ลิ่วเฉียงหันไปมองหน้าเชียนหวง ก่อนจะยิ้มเยาะ “เจ้าก็ไปถามผู้เขียนนิยายสิ!”“หุบปาก!” เชียนหวงตะโกนลั่น ‘ปากแข็งหรือเบาปัญญาก็ไม่ใช่ประเด็นหลัก!’ รังสีอำมหิตระเบิดออกมาจากร่าง พลังสีดำมืดหม่นหมุนวนไปรอบตัวเขา ราวกับเป็นพายุวิญญาณอาฆาต“เช่นนั้น ข้าคงต้องกำจัดพวกเจ้าให้หมดแล้วค่อยค้นหาด้วยตัวเอง!”ซ่าาา!พลังอาฆาตสีดำแผ่ซ่านออกมาจากร่างของเชียนหวง พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของเขาแตกร้าว เปลวพลังสีดำคุกรุ่นรอบตัวลิ่วเฉียงยังคงยืนสงบนิ่ง มองดูศัตรูตรงหน้าด้วยสายตาเฉยชา ก่อนจะหันไปถามเฉินเจิ้ง “แค่ระดับเจ็ด เจ้าสู้ไม่ได้รึ?”เฉินเจิ้งกำหมัดแน่นก่อนจะตอบด้วยเสียงเจ็บใจ “น่าอ
สายลมพัดเอื่อย สะบัดผ่านร่างของสองศิษย์พี่น้องที่นั่งขัดสมาธิใต้ต้นไม้ใหญ่ ฟ่านหวงและเฉินเจิ้งต่างจมอยู่ในสมาธิ โคจรลมปราณเพื่อฟื้นฟูพลังที่สูญเสียไปจากการต่อสู้ที่ยืดเยื้อรอบกายเต็มไปด้วยซากอสูรดินเหนียวแตกกระจายเป็นเศษดิน เศษหิน เสียงลมหายใจของทั้งสองเริ่มกลับมาเป็นปกติ บรรยากาศที่เคยตึงเครียดผ่อนคลายลงชั่วขณะ“ตรวจสอบหาผู้นำพวกมันได้หรือยัง?” เฉินเจิ้งถามเสียงเรียบ ทว่าสายตากลับเต็มไปด้วยความระแวดระวังฟ่านหวงมองไปรอบๆ “ยัง”เฉินเจิ้งแค่นเสียงหัวเราะเย็น “ระหว่างที่ข้ากำจัดพวกมัน เจ้าไม่ได้อู้ใช่หรือไม่?”ฟ่านหวงหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงยียวน “ศิษย์พี่เอ๋ย หากข้าตอบว่าใช่ ท่านจะทำอะไรข้า?”“เจ้ามันตัวบัดซบ กินแรงผู้อื่น!”เสียงหัวเราะของฟ่านหวงดังขึ้น ทว่าก่อนที่ทั้งสองจะต่อปากต่อคำต่อไป บรรยากาศรอบกายพลันเย็นยะเยือกลงจนขนลุกชันวูบบบ!“ศิษย์พี่…ท่านหายเหนื่อยแล้วหรือยัง?”เฉินเจิ้งยืดเส้นยืดสาย พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าพร้อมตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”“ถ้าเช่นนั้นก็… 5… 4… 3… 2… 1…”วูบบบ!!!