เข้าสู่ระบบ“โอ๊ย เหนื่อยฉิบหาย”
ได้ยินเสียงข้าวปั้นบ่นตั้งแต่ยังเดินกลับมาไม่ถึงโต๊ะ
เสียงหอบหายใจของเพื่อนที่เพิ่งจะเดินกลับมาในสภาพไร้เรี่ยวแรง ดึงความสนใจของคาริสาออกมาจากคำถามเรื่องจูบไปโดยปริยาย
“ยัยคริส”
“อะไร”
“แกอ่อยเหรอ ทำไมเขามองแกอย่างนั้น” ข้าวปั้นเดินเลียบๆ เคียงๆ มากระซิบถาม
ใครเดินมาถึงก็ทัก ใครเห็นใครก็บอกจนคาริสาเริ่มจะอึดอัด ผู้ชายอะไรมองได้ไร้มารยาทที่สุด
“นั่นมันคุณภากรนี่หว่า”
“นายรู้จักเหรอไอ้กันต์”
แก้มหอมชิงถามก่อนคาริสาอีกตามเคย
“เขาเป็นบอสฉันเอง”
“บอส?”
“เออ โคตรเนี้ยบ วันไหนเขาเข้าบริษัทนะ ขนหัวลุกกันทั้งแผนก”
“ตกลงเขาเป็นคนหรือผี” คาริสาแสร้งว่า ทั้งที่เธอเองก็เริ่มรู้สึกขนลุก เหมือนจะสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างตอนที่นึกถึงใบหน้าหล่อฉิบหายของเขาคนนั้นขึ้นมา
“คนโว้ย หล่อมาก รวยมาก และที่สำคัญ”
“มีเมียสี่ ลูกอีกหก โอ๊ย!” แก้มหอมถูกข้าวปั้นกระตุกผมจนหน้าหงาย
คาริสามองออกว่าข้าวปั้นเหมือนจะหลงเสน่ห์ของคนหล่อเข้าแล้ว สายตาดูเชียร์ให้เขาโสดอย่างออกหน้าออกตา
“โสดสนิท” กันตพงษ์บอกอย่างมั่นใจ
“จริงอะ”
“โกหกแกแล้วฉันจะรวยมั้ง”
“ก็มันแปลกนี่ คุณสมบัติพร้อมเป็นผัวแห่งชาติขนาดนั้น เอาอะไรมาโสด เขาซุกเมียไว้แต่แกไม่รู้หรือเปล่าไอ้กันต์”
“ก็เพราะคุณสมบัติพร้อมเป็นผัวแห่งชาติขนาดนั้นไงล่ะ ความโสดของเขาถึงได้รับการการันตีโดยสาวๆ ทั้งบริษัท รับรองว่าถ้าเขามีผู้หญิงคนไหนในหัวใจล่ะก็ พนักงานสาวๆ อย่างน้อยก็ในแผนกฉันทั้งแผนกคงพากันลางานเพราะอกหัก”
คาริสานั่งฟังไปส่ายหัวไป ลึกๆ แล้วเธอยอมรับในความหล่อของเขา แต่คนที่หล่อ รวย และเพียบพร้อมทุกอย่างแต่ยังครองตัวเป็นโสด อาจเพราะเขามีความสุขกับชีวิตของเขาอยู่แล้วก็ได้
สำหรับเธอ หากสามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเองอย่างมีความสุข การจะเปิดใจรับใครสักคนเข้าไปแบ่งปันความสุขนั้นด้วยกันเป็นเรื่องยาก ครั้งหนึ่งเธอเองก็เคยคิดและเป็นคนแบบนั้น
แต่เหตุผลที่เธอยอมเปิดใจให้ปัตถ์พงษ์ก็เพราะพ่อกับแม่ของเธอแนะนำให้รู้จัก การแต่งงานระหว่างเธอกับเขาเป็นเรื่องของความเหมาะสม
เธอกับเขามีโอกาสได้ทำความรู้จักกันไม่นาน แต่ก็ไม่ได้รวดเร็วจนน่าตกใจ และในเมื่อได้ลองทำความรู้จักกัน พูดคุยกันตามคำแนะนำของผู้ใหญ่แล้วต่างฝ่ายต่างรู้สึกดีต่อกัน ไม่มีอะไรที่คิดว่าเข้ากันไม่ได้ ทุกอย่างจึงเกิดขึ้นภายใต้การยินยอมพร้อมใจของทั้งสองฝ่าย
“หรือว่าเขาเป็นเกย์”
ข้อสงสัยของแก้มหอมดึงสติของคาริสากลับมาที่ปัจจุบัน
“เออว่ะ มีเหตุผล”
“ไม่เกย์ ที่แผนกฉันมีคนสกรีนแล้ว ชายแท้แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์”
ดูท่าว่าเสน่ห์ของเขาจะสามารถมัดใจได้ทุกเพศทุกวัยจริงๆ
“ถ้าเขายิ้มสักนิด ฉันอาจจะกล้าเดินไปทัก”
“ช่วงนี้เขาเครียดเรื่องน้องสาวน่ะ”
“มีน้องสาวเสียด้วย”
“เออ ชื่อคุณภากานต์ ตอนนี้เข้าโรงพยาบาลเพราะเธอพยายามฆ่าตัวตาย”
“อ้าว ไหงเป็นงั้น”
“แว่วๆ ว่าอกหักน่ะนะ แต่ฉันเองก็ไม่แน่ใจหรอก รู้แต่ว่าไม่เห็นคุณภากานต์ที่บริษัทมาสักพักแล้ว”
“อะไรนักหนาวะ ทำไมผู้หญิงต้องตกเป็นเหยื่อของผู้ชายเลวๆ ตลอดเลย ต่อให้จะสวย รวย หรือว่าเก่งแค่ไหน สุดท้ายก็หนีไม่พ้นผู้ชายเหี้ยๆ ไม่รู้จักพอ” แก้มหอมเหมือนจะอินเป็นพิเศษ คำพูดใส่อารมณ์ของเธอ ดึงสายตาของทุกคนกลับมาที่คาริสา
“พวกแกไม่มีเรื่องอื่นจะคุยกันแล้วเหรอ ไอ้กันต์ เดี๋ยวก็ตกงานหรอก นินทาเขาระยะเผาขนแบบนี้ ไม่ห่วงอนาคตตัวเองเลยหรือไง” คาริสาโบ้ยไปเรื่องอื่นๆ
“ฉันกับเขามันคนละชั้น” กันตพงษ์แสร้งว่าพลางยกมือขึ้นมาปัดไหล่ ก่อนจะถูกต้นปาล์มผลักหัวทิ่มมาทีหนึ่ง
“มึงชั้นล่าง เขาชั้นบน”
“เออสิ เขาประชุมแต่กับผู้บริหาร อย่าว่าแต่หน้าเลย เขารู้ไหมว่าบริษัทมีพนักงานชื่อกันตพงษ์”
ทุกคนพากันหัวเราะครืน คาริสาส่ายหัวก่อนจะเบะปากแล้วเมินหน้าหนีออกมาจากวงสนทนา แต่กลับกลายเป็นหันมาเจอสายตาของภากรที่ยังเอาแต่นั่งมองเธออยู่เหมือนเคย
“ฉันว่าเขาสนใจแกจริงๆ วะยัยคริส ไม่ละสายตาเลย” แก้มหอม ยังแซวไม่เลิก
“เท่าที่ฟังข้อมูลจากไอ้กันต์ ฉันว่าคุณสมบัติเขาก็ดูไม่เลวนะอาจจะเข้าถึงยากหน่อย แต่ก็ดีกว่าเขาง่ายจนกลายเป็นผัวสาธารณะอย่างคนก่อน แล้วนี่มันกลับไปแล้วเหรอ”
พูดถึงปัตถ์พงษ์แล้วข้าวปั้นของขึ้นทุกที
คาริสามองไปรอบๆ ซึ่งก็ไม่เห็นปัตถ์พงษ์แล้วจริงๆ
แม้การแต่งงานจะยกเลิกไปแล้ว แต่เขาก็ยังตามตื๊อเธออยู่ คืนนี้ไม่รู้ง่วงหรือว่าถอดใจถึงได้กลับไปก่อน แต่จะเพราะอะไรเธอก็ไม่คิดจะใส่ใจอยู่ดี
“ฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนแล้วกัน”
“อ้าว แกก็จะกลับแล้วเหรอวะ”
“ตีสองแล้วไหมไอ้ปั้น”
“พรุ่งนี้วันหยุด ไปต่อห้องไอ้ปาล์มกัน”
“แกตกลงกับเจ้าของห้องให้ได้ก่อนแล้วกัน ฉันปวดเยี่ยว” คาริสา บอกปัดก่อนจะรีบลุกออกมา
แม้จะมากันตั้งแต่ช่วงหัวค่ำจนร้านใกล้ปิด แต่คาริสาดื่มไปเพียงไม่กี่แก้ว เธอใช้เวลาทั้งหมดไปกับการดื่มบรรยากาศ ฟังเพลง ฟังเพื่อนเล่าปัญหาชีวิต บ่นเรื่องงาน สุดท้ายคืนนี้จบที่การนินทาเจ้านาย
“อย่ายุ่งกับเมียกู”
คาริสาหยุดเดินทันที เพราะเธอจำได้ว่าเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่เป็นเสียงปัตถ์พงษ์
“ปล่อยกูสิวะ”
เสียงโวยวายของอีกฝ่ายทำให้เธอต้องค่อยๆ ยื่นหน้ามองออกไป
สองตาเบิกโพลงเมื่อเห็นปัตถ์พงษ์ถูกผู้ชายสองคนล็อกตัวเอาไว้ แต่ที่ทำให้เธอตกใจยิ่งกว่าเห็นปัตถ์พงษ์กำลังจะถูกซ้อม ก็คือคนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับปัตถ์พงษ์ตอนนี้คือภากร เมื่อครู่ตอนเดินออกมาเธอไม่ทันสังเกตว่าเขาเองก็ลุกออกมาเหมือนกัน
“ใคร”[ต้นปาล์มครับ เพื่อนคาริสา]คาริสาเป็นอีกคนที่แค่ได้ยินชื่อ เขาก็รู้สึกไมเกรนจะขึ้น “เมา?”[ใช้คำว่าเละเทะจะเหมาะกว่าครับ]“แชร์โลเคชันมาก็แล้วกัน” สั่งเสียงเข้มแล้ววางสายด้วยความหงุดหงิด สมุทรเหลือบมองแวบหนึ่งเพราะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ไม่ค่อยจะสู้ดี“มองอะไร”[วุฒิรายงานว่าตอนนี้ปัตถ์พงษ์อยู่ที่ร้านคาราโอเกะแถวๆ ผับที่เราเจอกับคุณคริสครั้งแรกครับ]“ครั้งแรกที่โรงแรม”[ผับที่เจอครั้งแรกครับ] ภากรมองตาขวางใส่เมื่อถูกย้อน แต่เมื่อครู่เขาหัวร้อนจนไม่ทันฟังให้ดีเอง เห็นคนสนิทยิ้มแห้งแล้วได้แต่ถอนหายใจ ไม่รู้ทำไมเขาเป็นคนจ่ายเงินเดือน แต่คนของเขากลับดูเข้าข้างคนอื่นมากกว่า“ยังไม่รีบไปอีก!”[ครับๆ] สมุทรรับคำสั่งแล้วเร่งความเร็วของรถขึ้นทันทีภากรกำหมัดแน่น เขาสั่งให้คนจับตาดูปัตถ์พงษ์อยู่ตลอด แต่ทุกครั้งที่คนของเขารายงาน มักพบว่าสถานที่ที่มันอยู่ คือที่เดียวกันกับที่คาริสาอยู่เสมอ ครั้งนี้ก็เหมือนกันตอนนี้แม้จะยังไม่มั่นใจว่าเงินที่มันได้ไปจากภากานต์ทั้งหมดเป็นจำนวนเท่าไร แต่หลังจากนี้ไปมันจะไม่ได้อีกแม้แต่บาทเดียวสมุทรรู้จุดหมายปลายทางอยู่แล้ว แต่ภากรเพิ่งได้รับข้อความเป็นกา
โรงพยาบาล“นายลองดูนี่แล้วกัน” ขนมผิงยื่นโทรศัพท์มือถือที่ค้นเจอจากใต้หมอนของภากานต์ให้เขาก่อนหน้านี้หนึ่งชั่วโมง พยาบาลเข้ามาทำความสะอาดห้องและเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้กับภากานต์ตามปกติ แต่พบว่ามีโทรศัพท์ซุกอยู่ใต้หมอนหนึ่งเครื่องจึงรีบโทรบอกเธอ เธอโทรบอกภากรในทันที แต่ภากานต์ได้ยินเข้าจึงไม่พอใจ อาละวาดพังข้าวของในห้อง สุดท้ายจึงต้องฉีดยาคลายเครียดเพื่อทำให้เธอหลับ เหตุการณ์จึงสงบลงได้“ขอบใจ ผิงไปพักเถอะ เราอยู่กับกานต์เอง”“วันนี้เราอยู่เวรต่อน่ะ มีอะไรก็เรียกแล้วกัน”“ไม่ต้องพักเหรอ ไม่มีเวลานอนบ้างหรือไง”“ร้อนเงินน่ะสิ ไปนะ น้องกานต์เพิ่งได้ยาไป น่าจะตื่นอีกทีพรุ่งนี้ บอกเผื่อกรอยากกลับไปพัก ท่าทางกรดูง่วงกว่าเราเสียอีก” ขนมผิงพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกไปภากรถอนหายใจหลังจากได้ยินเสียงปิดประตูห้อง ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงที่โซฟาแล้วเริ่มเปิดเช็กโทรศัพท์มือถือที่เขาเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมาอยู่ใต้หมอนของภากานต์ได้อย่างไรรหัสปลดล็อกโทรศัพท์ของภากานต์คือสิ่งที่เขาไม่ต้องคาดเดา เพราะตัวเลขหกตัวที่เป็นแทบจะทั้งหมดของเธอคือวันเดือนปีเกิด เคยบอกให้เปลี่ยนแล้ว แต่เธอเคยชื่ออะ
ตื๊ด~ยกโทรศัพท์ขึ้นมองหน้าจอแล้วรีบปาดน้ำตา“ฮัลโหล”[คืนนี้แกว่างไหม วันเกิดยัยปั้น มันชวนไปกินหมูกระทะ] แก้มหอมทำเสียงกระซิบกระซาบ น่าจะเพราะยังทำงานอยู่“ฉันไม่ค่อยสบายน่ะ”[อ้าว แกเป็นอะไรไหม หรือเมื่อคืน...]“เปล่า ไม่มีอะไร แค่นี้ก่อนนะแก ฝากเบิร์ดเดย์ยัยปั้นด้วย บอกมันว่าโอกาสหน้าฉันเลี้ยงเอง แต่วันนี้ปวดหัวว่ะ”[เออๆ หายไวๆ นะแก บาย]โชคดีที่แก้มหอมไม่ใช่คนเร้าหรืออะไรจึงยอมวางสายไปง่ายๆคาริสาปิดเครื่องทันที ดีดตัวเองขึ้นจากที่นอนแล้วเดินไปเปิดแมคบุ๊คทิ้งไว้ ก่อนจะเดินกลับมาเปิดตู้แขวน หยิบมาม่าคัพออกมาแกะฝาแล้วกดน้ำร้อนใส่ลงไปเพราะตั้งแต่เช้าที่กลับมาจากคอนโดของภากร เธอยังไม่ได้กินอะไร ตอนนั่งกินข้าวที่บ้านก็ได้แค่นั่งเขี่ย ตักใส่ปากไปคำหนึ่งก็กลืนแทบไม่ลง จนตอนนี้เริ่มรู้สึกแสบท้องแล้วมาม่าในถ้วยยังไม่ทันสุก อยู่ๆ ประตูห้องของเธอก็ถูกเปิดเข้ามาโดยภากร คาริสาช้อนตามมองเขาด้วยความตกใจ แต่พอเห็นคีย์การ์ดในมือเขาแล้วจะโทษใครได้นอกจากตัวเอง ผิดที่อ่อยเขาวันนั้น แต่พอเขาเล่นด้วยแล้วตัวเองดันคิดจริงจัง ลืมไปว่าเขาแค่เล่นด้วย“มาทำไมคะ” ภากรหยุดยืนอยู่ที่ฝั่งตรงกันข้ามกับที่เธ
“ไอ้ตุลย์”ภากรเดินมาเจอพอดี แต่คาริสาก็ไม่ได้คิดจะหลบหน้าเขาตั้งแต่แรก ที่ดึงตุลามาหลบอยู่ตรงนี้เพราะต้องการได้ยินอะไรที่น่าจะช่วยให้เธอหาบทสรุปความสัมพันธ์ครั้งนี้ได้เร็วมากขึ้นเท่านั้นเองคาริสายิ้มให้ทั้งคู่ด้วยรอยยิ้มที่ดูเป็นปกติ และกำลังพยายามทำตัวให้เป็นปกติทั้งที่ใจสั่นระรัว ยิ้มให้ตุลาที่เหลือบมองเพราะอยากให้เขาทำตัวปกติเหมือนกัน“กูกำลังจะขึ้นไปพอดี”“ตุลย์ ตุลาเหรอ”“อืม ฉันเอง”ไหงกลายเป็นตุลากับเธอคนนั้นรู้จักกันเสียได้คาริสามองหางตาใส่ ตุลารีบฉีกยิ้มพร้อมกับยกมือขึ้นโอบไหล่เธอไว้อย่างคนร้อนตัว“กลับมาตั้งแต่เมื่อไร”“เพิ่งกลับมาได้ไม่กี่วันหรอก แล้วนี่เธอกับไอ้กร...”“เปล่าๆ เราแค่มาช่วยดูแลน้องกานต์น่ะ” เธอรีบปฏิเสธแล้วเว้นระยะห่างจากภากรในทันที“คิดว่ามีข่าวดีเสียอีก”“มึงมานานหรือยัง” ภากรถามแทรก น้ำเสียงแข็งกระด้างผิดไปจากที่พูดคุยกับพยาบาลพิเศษก่อนหน้านี้จนคาริสารู้สึกได้เทียบกันแล้ว ไม่ว่าจะน้ำเสียงหรือสายตา หากเป็นผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาคนนั้น เขาก็ดูอ่อนโยนกับเธอมากกว่าจริงๆ“เพิ่งถึง”“แล้วนี่...”“นี่น้องคริส แฟนฉันเอง น้องคริสครับ นี่พี่ขนมผิง เพื่อนพี่”
“บอกพี่ได้ไหมเผื่อพี่ช่วยได้”“คริส...”“ถ้าไม่สบายใจจะเล่าก็ไม่เป็นไร แต่พี่อยู่ข้างเราเสมอนะ” ตุลารีบพูดแทรกเพราะไม่อยากให้เธอเล่าเพียงเพราะรู้สึกกดดัน คาริสาได้แต่ยิ้มขอบคุณเขาจากใจ“น้องสาวของคุณกร เคยคบกับปัตถ์ค่ะ”“ไอ้ปัตถ์เนี่ยนะ”“ค่ะ เหตุผลที่เธอฆ่าตัวตาย เป็นเพราะคุณกรเขาสั่งห้ามไม่ให้เธอพบกับปัตถ์อีก เพราะเขารู้ว่าปัตถ์กำลังจะแต่งงานกับคริส”“เดี๋ยวๆ นี่เราหมายความว่าน้องกานต์ก็ถูกไอ้ปัตถ์หลอกงั้นเหรอ”เธอพยักหน้ายืนยันคำตอบ เพราะไม่ว่าจะเธอหรือภากานต์ ต่างก็ถูกมันหลอกทั้งนั้น“ก่อนหน้านี้คริสรู้จักกับคุณกรเพราะเราต่างคนต่างมีความแค้นกับไอ้สารเลวปัตถ์ ก็เลยทำความจักกัน”“แต่เท่าที่พี่เห็นเมื่อวาน ก็เหมือนว่ามันกับเราจะใจตรงกันไม่ใช่เหรอ”คาริสายิ้มขื่นเพราะไม่ค่อยแน่ใจในคำตอบ หากถามเธอ เธอคิดว่าตัวเองรู้สึกดีกับเขา ส่วนหนึ่งเพราะทุกอย่างที่เขาทำให้ ทั้งคอยช่วยเหลือ คอยเตือนสติ ทำให้เธอผ่านช่วงเวลาแย่ๆ นั้นมาได้จริงๆ แต่เรื่องความรู้สึกของเขา เธอไม่แน่ใจเธอเคยบอกกับเขาว่าเธอไม่มีหัวใจจะรักเขา นั่นเพราะเธอไม่อยากให้ตัวเองหวั่นไหวไปกับเขาและสิ่งที่ตัดสินใจทำ จำได้ว่าเขาตอบเธ
“คริส”“คะแม่”“อาหารไม่อร่อยเหรอลูก” แม่ถามยิ้มๆ เพราะเห็นเธอเอาแต่นั่งเขี่ยกับข้าวในจาน แต่ไม่ตักเข้าปากสักคำ“อร่อยค่ะ” ยิ้มแห้งแล้วตักข้าวใส่ปากคำแรกให้แม่สบายใจ กวาดสายตามองไปที่ทุกคนแล้วได้แต่ลอบถอนหายใจ บรรยากาศมื้อกลางวันวันนี้น่าอึดอัดตั้งแต่เห็นหน้าปัตถ์พงษ์แล้ว “ถ้าไม่อร่อยก็ไม่ต้องฝืน เดี๋ยวเสร็จเรื่องแล้วพี่พาไปหาอะไรอร่อยๆ กิน” ตุลาที่นั่งอยู่ข้างๆ กระซิบบอก เห็นเขาแล้วเธอก็จำต้องฝืนยิ้มอีกรอบ วันนี้นัดกันเอาไว้สามคน เธอ เขาและภากร แต่ภากรเพิ่งจะโทรมาบอกตุลาว่าเขามาไม่ได้ เหตุผลเพราะต้องรีบไปดูแลน้องสาวที่โรงพยาบาลส่วนเหตุผลที่เขาโทรบอกตุลา ไม่ได้บอกเธอตรงๆ ก็เพราะเธอไม่รับสายเขาวันนี้เธอออกจากคอนโดของเขาตั้งแต่เช้าตรู่ อาศัยช่วงเวลาที่เขาน่าจะเพิ่งนอนไปได้ไม่นานเพราะมั่นใจว่าเขาจะไม่ตื่นมารั้งหรือตั้งคำถามใส่เธอ หรือแม้แต่สั่งให้สมุทรขับรถมาส่งเธอเพราะเธอไม่อยากเสียเวลาและจะไม่ให้โอกาสเขาอีกแล้วเมื่อคืนนี้เป็นอีกครั้งที่เขาปล่อยให้เธอรอเก้อ ต่อให้เขาจะนั่งทำงานอยู่ข้างนอก ส่วนเธอนอนอยู่ในห้องนอน แต่จะต่างอะไรกับการปล่อยเธอทิ้งไว้ในห้องเพียงลำพังอย่างคืนแรก สุดท้าย







