บทที่ 4 ตัวแทน (2)
หลังจากได้รับข้อความนั้นปรีดิทาขบเนื้อปากด้านล่างไม่รู้กี่หน ความอึดอัดเคลื่อนย้ายเข้าสู่หัวใจมากขึ้น ดวงตาอมโศกหันมองยัยตัวเล็กที่หลับไปอีกครั้ง จนเวลาล่วงผ่านมาถึงตอนเย็น เสียงที่ทำให้เธอรู้สึกว่ามวลอากาศลดน้อยลงก็แว่วดัง
เสียงของรถแอสตันมาร์ตินที่เคลื่อนมาจอด เขาคงกลับมาแล้ว ตามมาด้วยเสียงที่ทำให้เธอสะดุ้งนิดๆ
ก๊อก ก๊อก
ปรีดิทาไม่ได้ถ่วงเวลาที่จะก้าวเดินไปเปิดประตู รู้ดีว่าอย่างไรก็ต้องเกิดขึ้น จึงเปล่าประโยชน์หากจะชักช้า แต่ในตอนที่ประตูค่อยๆ ถูกเปิดก็มีลมหายใจสะดุดอยู่เหมือนกัน ทว่าคนที่ยืนอยู่หน้าห้องนั้นไม่ใช่ทิวัตถ์
“คุณโปรดคะ คุณไท่ให้เนมมาบอกว่า ให้คุณโปรดอาบน้ำแล้วรีบขึ้นไปหาบนห้องค่ะ”
คำบอกกล่าวนั้นปรีดิทาหน้าจืดลงไปแม้จะเตรียมใจไว้แล้ว ความกังวลวนเวียนกลับเข้ามาเมื่อหันไปมองปราณปรียา
“โปรดฝากเนมดูยัยหนูสักพักได้ไหม”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวเนมกับรำจะช่วยดูแลคุณหนูเองค่ะ”
ปรีดิทายิ้มขอบคุณ สองเท้าก้าวกลับเข้าด้านใน แต่ไม่ได้ไปอาบน้ำ เธอไปหอมแก้มขาวนุ่มให้ชื่นใจ ก่อนที่หัวใจจะไม่ต่างจากถูกน้ำร้อนราดรด จนเหี่ยวเฉาแน่นอน
จากนั้นเดินไวๆ ขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน ตรงไปยังห้องนอนของทิวัตถ์ที่เธอเคยคุ้นเคย
ก๊อก ก๊อก
มือเรียวสวยยกขึ้นเคาะห้อง เมื่อได้รับคำอนุญาตก็ผลักประตูเข้าไปด้านใน
“ขัดคำสั่ง”
แค่ปลายเท้าก้าวไปหยุดอยู่ตรงหน้าของร่างกำยำ เสียงเค้นผ่านลำคอก็ดังโดยพลัน ปรีดิทาแค่ผ่อนลมหายใจเล็กน้อยแล้วโต้ตอบกลับไปเสียงหนัก
“ทำให้มันจบๆ ไปเถอะค่ะ โปรดจะรีบลงกลับไปหาลูก โปรดไม่อยากทิ้งลูกไว้กับคนอื่นนาน”
“คนอื่นที่ไหน นั่นคนของลลิษ”
ทิวัตถ์รู้ดีว่าคนอื่นที่ว่าไม่พ้นรำนำจึงอยากแจกแจงให้ปรีดิทาได้เข้าใจ มือล้วงเข้าไปด้านในกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทางสบายๆ พร้อมปรายตามองคนที่ยังสวมใส่ชุดที่ใส่อยู่ตั้งแต่เช้า
“คุณลลิษไม่ใช่คนสนิทของโปรด โปรดขอนับว่าเป็นคนอื่นค่ะ” หญิงสาวก็ขออธิบายกลับเช่นกัน
ทิวัตถ์เบะปากในคำตอบที่สวนมา แล้วถอยตัวไปนั่งลงบนเตียง มือค้ำไปด้านหลัง สายตาเสมองไปทางห้องน้ำเล็กน้อย
“เข้าไปอาบน้ำ แล้วใส่ชุดที่แขวนไว้ออกมา”
“ชุดอะไรคะ”
คุณหมอสาวเอ่ยถาม แล้วรู้สึกอึดอัดยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้ฟังคำตอบ
“ชุดของลลิษ”
“ค่ะ”
ตัวของหญิงสาวแข็งทื่อไปชั่วนาทีก่อนจะยกยิ้มไปพร้อมคำตอบ แล้วแต่เขาจะบัญชา แค่สวมเสื้อผ้าของคนในใจเขาไม่ถึงขั้นทำให้เธอตายได้หรอก
ขนาดต้องเป็นตัวแทน เธอยังยิ้มได้เลย
สองเท้าเรียวเล็กก้าวไวๆ เข้าไปในห้องน้ำ สายตามองตรงไปยังชุดที่เขาเตรียมไว้ให้ หัวคิ้วเลิกขึ้นสูง เพราะหลงคิดไปว่าจะเป็นพวกชุดนอน ชุดตัวโปรดของลลิษา แต่เป็นชุดเดรสสีขาวละมุนที่คงมีไว้ร่วมงานสังคม
เหมือนเธอจะตีความผิดไปบางส่วน เรื่องที่ต้องเป็นเธอคนนั้นถูกต้อง แค่ไม่ใช่ในสิ่งที่จะทำให้ปวดใจไปมากกว่าเดิม
ปรีดิทารีบจัดการอาบน้ำและแต่งตัวให้เรียบร้อย ราวสิบห้านาทีก็ออกไปยืนอยู่กลางห้องแล้วเห็นเขาส่งสัญญาณไปทางโต๊ะเครื่องแป้ง
มีเครื่องสำอางสำหรับผู้หญิงวางอยู่ เหมือนเขาจะซื้อมาให้ แต่ไม่ใช่ยี่ห้อที่เธอเคยใช้ คงจะเป็นของที่เธอคนนั้นชื่นชอบกระมัง ปรีดิทายังไม่ได้เคลื่อนย้ายตัวไปนั่ง สายตาของเธอมองไปยังเนกไทที่เขาผูกแล้วอดนึกถึงเส้นที่เธอให้ไม่ได้ เพราะมันมีลักษณะคล้ายกัน
“เผาทิ้งไปแล้ว เส้นนี้ลลิษซื้อให้” ทิวัตถ์ก้มต่ำลงเล็กน้อย คิดว่าอีกฝ่ายคงมองเนกไทที่เขาผูกอยู่แล้วนึกถึงเส้นที่เจ้าตัวซื้อให้ในวันที่หัวใจของเขาด้านชา
ปรีดิทาขบเม้มปาก ก่อนหน้านี้เธอเคยซื้อเนกไทให้เขาเป็นของขวัญ เพราะคิดว่ามันเหมาะกับเขา จำได้ว่าเป็นช่วงเวลาก่อนที่บิดาของเธอจะประสบอุบัติเหตุไม่กี่ชั่วโมง และมันเป็นวันเดียวกับที่สายตาของเขาเริ่มมองเธอเปลี่ยนไป ก่อนจะต้องสะบัดไล่ความอาวรณ์ออกจากอก แล้วพาตัวเองไปแต่งหน้าง่ายๆ แต่ก็ไม่ลืมเอ่ยหนึ่งคำถาม
“งานที่ต้องไปใช้เวลานานแค่ไหนคะ”
คำตอบที่ได้ไม่ต่างจากเดิม เขาเงียบ เธอจึงบอกเหตุผล
“โปรดห่วงลูก”
“ไม่นาน”
หนนี้ทิวัตถ์บอกด้วยเสียงเรียบๆ แล้วขยับลุกจากเตียงเดินออกจากห้องไป ปรีดิทาแค่มองตามเล็กน้อย แล้วกลับมาจัดการแต่งหน้าให้เสร็จโดยไว
ภายในอกมีความสงสัยใคร่รู้ แต่ก่อนเขาไม่ได้ให้ความสนใจพวกงานสังคมสักเท่าไร หรือว่าการก้าวเดินกลับเข้าไปในชีวิตของหยางจินผลักดันให้เขาต้องทำ และเหตุผลอะไรที่เขานำชีวิตไปวนเวียนกับคนที่เมื่อก่อนไม่อยากเห็นหน้า
“ช่างเถอะ ห่วงแค่ลูกก็พอโปรด”
ปรีดิทาบอกตัวเองให้เลิกคิดห่วงคนใจร้าย ไม่กี่นาทีต่อมาหญิงสาวก็ลุกออกจากเก้าอี้เดินตรงไปยังชั้นล่างหลังแต่งหน้าและเกล้าผมง่ายๆ เสร็จ
“โปรดขอไปหาลูกก่อนค่ะ”
“อย่าชักช้า” ทิวัตถ์บอกเสียงเข้ม แล้วเดินไวๆ ไปหน้าบ้านยังรถของตัวเอง
ปรีดิทารีบก้าวไวๆ ไปหาลูกสาวภายในห้อง เห็นจารวีนั่งเฝ้าอยู่ข้างที่นอนของแก มีรำนำยืนอยู่ห่างไปเล็กน้อย
“คุณหนูยังหลับอยู่เลยค่ะ”
“โปรดฝากดูแลลูกอีกหน่อยนะ แล้วโปรดจะรีบกลับมา”
จารวีพยักหน้ารับ ปรีดิทาจึงถอยหลังตามชายหนุ่มไปขึ้นรถ โชคดีที่รองเท้าที่เขาเตรียมไว้ให้เป็นคัดชูที่เธอชอบสวม
ในวันนี้ทิวัตถ์ให้สรพัศเป็นสารถีนำพาไปยังงาน ข้อมือหนายกขึ้นมองนาฬิกา กว่าจะไปถึงงานคงต้องใช้เวลาราวๆ หนึ่งชั่วโมงเศษ เพราะโรงแรมที่จัดงานอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ
บรรยากาศภายในรถมีแต่ความเงียบ เขาไม่พูด ปรีดิทาก็ไม่ปริปาก ทำตัวคล้ายต่างฝ่ายต่างเป็นอากาศของกันและกัน
หญิงสาวเลือกจะนั่งนิ่ง เพราะไม่อยากปะทะกันด้วยคำพูด ทุกครั้งนั้นมีคนเจ็บ ก็เธออย่างไรกัน แผ่นหลังพิงกับเบาะเมื่อรถเคลื่อนที่ไปได้อย่างเชื่องช้า
เธอไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหน ลืมตาขึ้นมารถนั้นก็จอดอยู่ในลานจอดรถแต่เครื่องยนต์ยังทำงานอยู่ ปรีดิทามีอาการตกใจไม่น้อย จนต้องกระเด้งตัวขึ้นไปเอ่ยถามคนที่ยังนั่งอยู่
“ถึงงานแล้วหรือคะพี่สร”
“ครับคุณโปรด คุณไท่เข้างานไปได้สิบห้านาทีแล้วครับ”
ปรีดิทาขบเนื้อปากเพราะทำหน้าที่เป็นเธอคนนั้นครั้งแรก เธอก็ทำได้ไม่ดีเสียแล้ว สองเท้ารีบก้าวลงจากรถเดินไวๆ เข้าไปด้านในงาน คงเพราะเธอพักผ่อนน้อยจึงทำให้ร่างกายนั้นเหนื่อยล้า แม้ยัยหนูน้อยจะไม่ได้งอแงมาก แต่เธอก็ยังต้องตระเตรียมการสอนให้เรียบร้อย ไหนจะเรื่องของสองพ่อลูก เรื่องที่จะตีปีกบินไปให้ไกลอีก
เมื่อเดินไปถึงหน้าทางเข้างานปรีดิทาก็กวาดตามองหาสามีที่ร้างรัก ไม่นานเท้าเล็กก็ก้าวไวๆ ตรงไปยังเขาที่ยืนอยู่ห่างจากประตูไม่มาก
“โปรดมาแล้วค่ะ”
“ทำหน้าที่ครั้งแรกก็บกพร่องเสียแล้ว”
“ถ้ารู้ว่าโปรดจะทำพลาดก็บอกโปรดสิคะ” แค่เธอก้าวเท้าไปหาเขา คำต่อว่าก็ดังแว่วมา การที่เขาปลุกเธอไม่น่าใช่เรื่องยากเย็นอะไร
“ไม่ใช่หน้าที่ฉัน”
“เชิญ” ทิวัตถ์ผายมือเชิญแล้วเห็นปรีดิทาเดินไวๆ ไปหน้าทางเข้างาน ส่วนตัวเขาวางตาไปที่เดิม ปรีดิทาเดินไวๆ ไปหามุมที่ผู้คนไม่มาก กระนั้นกลับต้องหันมองด้านหลัง เพราะผู้ชายคนนั้นเดินตามเธอมาจึงรู้สึกกังวล ก่อนจะโล่งใจเมื่ออีกฝ่ายแค่มาหามุมสูบบุหรี่ เธอรีบเดินห่างออกไปแล้วหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาแนบหูพูดคุยกับจารวี “ยังไงโปรดฝากดูแลยัยหนูด้วยนะ” เธอได้เอ่ยปากให้จารวีช่วยดูแลต่อไปอีกนิด โชคดีที่ยัยหนูไม่งอแง คิดว่างานคงจะจบลงอีกไม่เกินสองชั่วโมง ไม่ทันจะได้ขยับตัวกลับเข้างาน ผู้หญิงคนหนึ่งก็เดินตรงปรี่เข้ามาหา “ไงคุณหมอโปรด” คนที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยนิดๆ อย่างออมสินแต้มยิ้มไม่จริงใจบนดวงหน้
“ไม่ใช่หน้าที่ฉัน” ทิวัตถ์บอกเสียงหนักและสะบัด หน้าที่ของใครก็ต้องรับผิดชอบให้ได้ ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องมานั่งบอก ส่วนคนที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างปรีดิทาแสยะยิ้มใส่ความร้ายของผู้ชายที่เธอตกหลุมรัก ไม่ทันได้หายใจหายคอได้สะดวกเสียงหนึ่งก็แว่วดังจากด้านหลังให้รู้สึกอึดอัด “ฉันนึกว่าแกจะไม่ยอมมา” ทิวัตถ์พลิกตัวไปมองไม่ได้ตอบโต้ แค่เอียงคอรับ สายตามองนิ่งๆ อย่างไร้ความหมาย ก่อนจะวูบไหวในประโยคถัดมาของผู้ให้กำเนิด “ลลิษกำลังมา” หยางจินบอกด้วยท่าทางนิ่งๆ สีหน้าแสดงอาการโล่งใจนิดๆ เมื่อเห็นลูกชายมาร่วมงานนี้ หลังเขาทำอะไรล้ำเส้น ล้ำข้อตกลงระหว่างกัน จากนั้นปล่อยประโยคสำคัญออกไป ลูกชายคนเล็กของเขาสมควรรู้ไว้&nbs
บทที่ 4 ตัวแทน (2) หลังจากได้รับข้อความนั้นปรีดิทาขบเนื้อปากด้านล่างไม่รู้กี่หน ความอึดอัดเคลื่อนย้ายเข้าสู่หัวใจมากขึ้น ดวงตาอมโศกหันมองยัยตัวเล็กที่หลับไปอีกครั้ง จนเวลาล่วงผ่านมาถึงตอนเย็น เสียงที่ทำให้เธอรู้สึกว่ามวลอากาศลดน้อยลงก็แว่วดัง เสียงของรถแอสตันมาร์ตินที่เคลื่อนมาจอด เขาคงกลับมาแล้ว ตามมาด้วยเสียงที่ทำให้เธอสะดุ้งนิดๆ ก๊อก ก๊อก ปรีดิทาไม่ได้ถ่วงเวลาที่จะก้าวเดินไปเปิดประตู รู้ดีว่าอย่างไรก็ต้องเกิดขึ้น จึงเปล่าประโยชน์หากจะชักช้า แต่ในตอนที่ประตูค่อยๆ ถูกเปิดก็มีลมหายใจสะดุดอยู่เหมือนกัน ทว่าคนที่ยืนอยู่หน้าห้องนั้นไม่ใช่ทิวัตถ์ “คุณโปรดคะ คุณไท่ให้เนมมาบอกว่า ให้คุณโปรดอาบน้ำแล้วรีบขึ้นไปหาบนห้องค่ะ” คำบอกกล่าวนั้นปรีดิทาหน้าจืดลงไปแม้จะเตรียมใจไว้แล้ว ความกังวลวนเวียนกลับเข้ามาเมื่อหันไปมองปราณปรียา “โปรดฝากเนมดูยัยหนูสักพักได้ไหม” “ได้ค่ะ เดี๋ยวเนมกับรำจะช่วยดูแลคุณหนูเองค่ะ” ปรีดิทายิ้มขอบคุณ สองเท้าก้าวกลับเข้าด้านใน แต่ไม่ได้ไปอาบน้
“ถ้ามีอะไรอยากให้เนมช่วยบอกเนมได้เลยนะคะ เนมก็เคยเลี้ยงเด็กอยู่บ้างค่ะ” จารวีขันอาสา ฝ่ายคุณแม่มือใหม่พยักหน้ารับ แต่หากเธอยังไหวก็อยากจะเลี้ยงยัยหนูด้วยตัวเอง สองเท้าก้าวไวๆ กลับไปหาลูกสาวแสนรัก “หลับสบายเลยนะคะคนเก่ง” ปราณปรียายังหลับด้วยท่าทางน่าเอ็นดู รอยยิ้มกระจายเต็มดวงหน้าของคนเป็นแม่ แม้จะรู้สึกง่วงแต่ปรีดิทากลับเดินไปหยิบหนังสือที่นงลักษณ์เก็บใส่กระเป๋ามาด้วยออกมาเปิด เธอต้องเตรียมข้อมูลสำหรับการสอน โน้ตบุ๊กก็ถูกเปิดขึ้นด้วย พอเวลาผ่านไปสักพัก ปรีดิทาก็หยิบสมาร์ตโฟนขึ้นต่อสายหาคนสำคัญ “ป้าอยู่ได้ใช่ไหมคะ” นงลักษณ์เป็นอีกคนที่หญิงสาวห่วงใยไม่น้อย เมื่อได้ฟังคำตอบก็เบาใจไปได้บ้าง และเมื่อจัดการหลายอย่างเสร็จก็ก้าวเท้าขึ้นเตียงไปนอนกับลูกสาว แง้งง ปรีดิทาสะดุ้งตัวตื่นขึ้นในหนึ่งชั่วโมงต่อมา เพราะเสียงร้องของลูก “หิวนมหรือจ๊ะคนดี” หญิงสาวรีบเอาลูกเข้าอก เฝ้ามองแกกินนมด้วยความหิว หลังจากอิ่มแกก็กลับมาตาแป๋วอีกครั้ง “เร
“ไม่กี่อาทิตย์คงหนีได้แล้ว” ทิวัตถ์รู้ดีว่าเขาจะเป็นที่พักพิงของปรีดิทาไม่นานหรอก หลังจากนี้เจ้าตัวคงคิดหาทางจะจากไป หญิงสาวกดหน้าแล้วตบท้ายด้วยรอยยิ้ม เธอไม่ปฏิเสธ เธอจะหนีไปอย่างแน่นอน โดยเงินส่วนหนึ่งจากเขาก็จะช่วยสนับสนุน คนที่ไม่มีอะไรจะเสียไปมากกว่านี้อีกแล้วอย่างเธอก็ไม่ต่างจากหมาจนตรอก เธอทำและยอมได้ทุกอย่าง เพื่อลูก เพื่อในวันหนึ่งจะได้กลับมามีความสุขอีกครั้ง “เอาที่ที่หยางจินหาไม่เจอด้วยละกัน ขี้เกียจฟังคำอ้อนวอนอีก” “ไม่ต้องห่วงค่ะ แม้แต่คุณก็จะหาโปรดไม่เจอ และโปรดจะไม่มีวันเป็นหมาจนตรอกแบบนี้อีก” เธอขอสัญญาว่าจะทำอย่างที่เอ่ยแน่นอน พลางหันไปมองจารวีที่กำลังเดินผ่านหน้าห้องรับแขก “เนม” “คะคุณโปรด” “ช่วยหยิบอุปกรณ์ทำแผลให้โปรดหน่อยสิ” ปรีดิทาบอกเสียงเรียบ สายตาเบนไปมองคนที่สมควรได้รับการทำแผล จารวีล่าถอยไปหยิบอุปกรณ์ ไม่นานก็กลับมายื่นให้แก่เจ้านาย “ขอบคุณจ้ะ” หญิงสาวยิ้มขอบคุณ แล้วหันไปสบตากับคนที่นั่งเงียบที่กำลังคล้ายจะอ้าปา
บทที่ 3 ตัวแทน ปรีดิทาถึงกับปากสั่นในความเลือดเย็นของทิวัตถ์ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาจะเป็นคนเดียวกันกับคนที่เธอตกหลุมรัก จนได้แต่งงานกัน ความหวานปะแล่มๆ ไม่ได้โดดเด่นตามสไตล์คนพูดน้อยอย่างเขาทำให้หัวใจของเธอชุ่มฉ่ำได้ เธอไม่ได้ต้องการการเอาอกเอาใจ ขอแค่เขารักก็เพียงพอ ก่อนดึงตัวเองกลับมามองนงลักษณ์อย่างลำบากใจ ฝ่ายคนที่ไม่เป็นที่ต้อนรับวางหน้าเครียด เพราะไม่อยากปล่อยให้คุณหนูอยู่ที่นี่ตามลำพัง ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากัน กระทั่งปรีดิทาเปิดตาขึ้นหลังหลับลงเพื่อตัดสินใจ “ตอนนี้โปรดจำเป็นต้องพึ่งเขาค่ะป้า” นอกจากทิวัตถ์จะเลือดเย็นแล้ว เขายังสอนให้เธอเป็นเช่นนั้นด้วยเช่นกัน ในเวลานี้ทางเลือกของเธอแทบไม่มี การทำให้ลูกปลอดภัยจากห