ธรณีทางเข้าวัดเฉินหลิงสูงตระหง่านตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาเงียบสงัด เพราะอากาศชื้นอยู่ตลอด อีกทั้งยังผ่านร้อนผ่านลมฝนมาหลายร้อยปี เสาและขอบธรณีจึงเกิดตะไคร้สีเขียวขุ่นเกาะอยู่ บริเวณโดยรอบโอบล้อมด้วยไม้ยืนต้นทั้งใหญ่และเล็กงอกเงยรวมกันประหนึ่งกำแพงพรางตา
วัดเฉินหลิงแต่เดิมก็เป็นวัดที่ปลีกวิเวกตัดขาดจากโลกภายนอก สภาพโดยรอบจึงดูทรุดโทรมลงไปมาก แม้จะเก่าคร่ำคร่าทว่ากลับเปี่ยมด้วยกลิ่นอายแห่งความสงบและอ่อนโยนดุจดั่งธารานิ่งไร้ระลอกคลื่น ผู้ที่บังเอิญพบเห็นอาจคิดว่าน่าหวาดกลัว แต่สำหรับไป๋เฉินเซียงแล้ว นางรู้สึกว่าที่แห่งนี้เปี่ยมล้นไปด้วยความอบอุ่น
ไป๋เฉินเซียงแหงนหน้ามองป้ายชื่อวัดซึ่งสลักอยู่บนแผ่นศิลาผุพังพลางทรุดตัวนั่งด้วยความอ่อนระโหยโรยแรง เสียงหอบหายใจหนักหน่วงสะท้อนก้องไร้จังหวะ ริมฝีปากบางเฉียบยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ส่งไปจนถึงดวงตา
วัดเฉินหลิง ข้ามาถึงแล้วสินะ
ไป๋เฉินเซียงไร้ซึ่งกำลังขาให้ก้าวต่อ นางจึงพักเอาแรงอยู่หน้าประตูชั่วครู่ เพราะเมื่อหลายชั่วยามก่อนต้องวิ่งเท้าเป็นระวิง ทั้งที่กระโดดลงจากรถม้าซึ่งวิ่งเร็วปานลมกรดจนร่างสะบักสะบอม ไป๋เฉินเซียงเร่งเดินทางจนลืมไปว่ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องตลอดทั้งวัน นัยน์ตาทั้งสองฝั่งพร่าเบลอลงไปมาก ไป๋เฉินเซียงสลัดศีรษะเพื่อเรียกสติ กระนั้นบรรยากาศโดยรอบก็ยังกลับด้านสลับหมุนจนสับสนอลหม่าน
นางกำลังจะหมดสติเพราะสิ้นเรี่ยวแรง!
หิวจัง...
เสียงฝีเท้าของใครบางคนเยื้องย่างดังสวบสาบใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ทว่ายามนี้นางมองเห็นเพียงปลายเท้าอีกฝ่ายเท่านั้น
“คุณชาย ท่านเป็นอะไรหรือไม่”
เสียงทุ้มดังขึ้นเหนือศีรษะ ไป๋เฉินเซียงประคองสติ พยายามแหงนหน้าขึ้นเนิบนาบ แม้มองอีกฝ่ายไม่ชัดแจ้ง ทว่าเงาเลือนรางของเขาบ่งบอกว่าต้องเป็นนักพรตของที่นี่อย่างแน่นอน
“ทะ...ท่านนัก...”
ไม่ทันจบประโยค สัมปชัญญะของไป๋เฉินเซียงก็พลันปลิดปลิวไปดั่งสายลมกระแสหนึ่ง…
.
.
ณ จวนสกุลไป๋
“ท่านพี่จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ นางหนีไปแล้ว นี่ท่านสั่งคนให้ออกค้นหานางจริงหรือไม่ คงมิใช่ว่าท่านพี่เองก็ช่วยนางปิดบังหรอกนะเจ้าคะ” หยางปิ่งอี้กระสับกระส่ายดั่งพายุกำลังคืบคลานเข้ามา อ้อมแขนโอบศีรษะบุตรสาวปลอบประโลมอยู่ไม่ห่าง
เสียงร่ำไห้ของไป๋อีถิงดังขึ้นเป็นระยะ บุรุษวัยกลางคนผู้มีใบหน้าภูมิฐานปรากฏเค้าอึมครึมขึ้น เขาถอนหายใจนับหลายสิบครั้ง ยิ่งได้ยินเสียงร่ำร้องกระจองอแงของบุตรสาวคนโตก็ยิ่งหงุดหงิด
“ถิงเอ๋อร์ เจ้าสงบใจก่อนได้หรือไม่ ข้ายังไม่บอกสักคำว่าจะส่งเจ้าไปแทนนาง เจ้าก็เช่นกัน…” ไป๋จื่อเหิงหันไปสบตาฮูหยินของตนอย่างนึกคาดโทษ เขาเอ่ยเสียงเย็น “ให้ท้ายลูกจนเสียคน ควรช่วยกันคิดแก้ปัญหา ใช่เอาแต่ร้องห่มร้องไห้เช่นนี้ น้ำตาไม่ได้ช่วยอะไร”
“ฮื่อ…”
ไป๋อีถิงได้ยินเสียงบิดาต่อว่าก็ยิ่งแผดเสียงร้องลั่น หยางปิ่งอี้ลูบศีรษะปลอบใจบุตรสาว สายตาจับจ้องสามีพลางส่งค้อนวงใหญ่ “ท่านพี่ พูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก หากตามตัวลูกสาวตัวดีของท่านกลับมาไม่ได้ ท่านเองย่อมรู้ดีว่า คนที่ต้องแต่งเข้าไปเป็นอนุย่อมหลีกไม่พ้นถิงเอ๋อร์!”
ไป๋จื่อเหิงถอนหายใจ เขายกมือคลึงขมับ “แล้วจะให้ทำอย่างไร เหลือเวลาหนึ่งเดือน อีกเดี๋ยวก็ตามตัวเซียงเซียงเจอแล้ว นางแค่ความจำเสื่อมอาจจะเผลอออกไปเที่ยวเล่นแล้วจำทางกลับเรือนไม่ได้ก็เท่านั้น”
หยางปิ่งอี้อ้าปากค้าง ไม่ทันพ้นวาจาใดออกมา ก็มีเสียงบ่าวชายดังเอะอะขึ้นเสียก่อน
“นายท่านขอรับ”
“เข้ามา” ไป๋จื่อเหิงผินหน้าไปทางต้นเสียง
บ่าวรับใช้นายนั้นสาวเท้าเข้ามาด้านใน สายตากลอกมองหยางปิ่งอี้ด้วยความประหวั่น กระทั่งเหลือบมองไป๋อีถิงในอ้อมกอดมารดา ความรู้สึกไม่ค่อยดีก็ถาโถมเข้ามาอีกระลอก
“คือ…นายท่านขอรับ เรื่องคุณหนูรอง…”
“อึกอักอะไรของเจ้า เร่งพูดมาให้ไว เจอนางแล้วใช่หรือไม่ ไยไม่ลากนางมาพบพวกเรา!” หยางปิ่งอี้ตะเบ็งเสียงลั่น ยิ่งบ่าวนายนั้นแสดงท่าทีงก ๆ เงิ่น ๆ นางก็ยิ่งหงุดหงิด
“ว่าอย่างไร” ไป๋จื่อเหิงสำทับ
บ่าวรับใช้เข่าอ่อน พลันทรุดกายลงด้วยขาอันสั่นเทา “เรียนนายท่าน พวกเราตามหาคุณหนูรองมาครึ่งค่อนวันแล้ว รถม้าทุกคัน ผู้คนทุกคนที่มุ่งหน้าออกจากเมืองก็ได้รับการตรวจค้นทั้งหมด ทว่ายังไม่พบตัวคุณหนูรองขอรับ”
ดั่งถูกกระแสอสนีบาตฟาดลงกลางกระหม่อม เส้นเลือดตรงขมับหยางปิ่งอี้เต้นเร้า ตุบ ตุบ “บัดซบ พวกเจ้าทำงานอย่างไร เลี้ยงเสียข้าวสุก!”
เคร้ง!
แจกันกระเบื้องเนื้อดีถูกขว้างลงบนพื้นจนแตกกระจาย บ่าวนายนั้นหวาดกลัวเสียจนหัวหด ร่างของเขาสั่นสะท้าน “ฮูหยินใหญ่ นายท่าน บ่าวสมควรตาย”
“สมควรตาย พวกเจ้ามันสมควรตายจริง ๆ หากวันนี้หานางไม่พบ ก็อย่าโผล่หัวกลับมา!” หยางปิ่งอี้บันดาลโทสะ
“พอแล้ว!” ไป๋จื่อเหิงตวาด
สรรพเสียงรอบด้านสงบลงชั่วพริบตา เขากระแทกกายลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ขัดเสียงดังสนั่น จากนั้นเอนหลังพิงพนักด้วยสีหน้าสับสน
“ฮูหยิน เจ้าพาลูกไปพักเถิด เรื่องนี้ข้าจัดการเอง”
หยางปิ่งอี้ขบฟันแน่น “ก็ได้ ข้าจะรอดูว่าท่านจะจัดการเช่นไร ท่านเองก็คงรู้ดีหากหาตัวนางไม่พบ กรรมจะมาตกที่ใคร”
“เจ้าเอาแต่ใจมากไปหน่อยแล้ว เซียงเซียงก็เป็นลูกของข้าเช่นกัน อีกอย่างคนที่อยากส่งลูกสาวเข้าไปไม่ใช่ความคิดเจ้าหรอกหรือ เพียงเพื่ออยากให้สกุลหลานหนุนหลัง เจ้ากลับต้องทำให้ข้าขายลูกสาวกิน”
หยางปิ่งอี้สวน “หากท่านมีปัญญามากพอหาใช่เพียงขุนนางขั้นหก มีหรือสกุลไป๋ต้องทำเช่นนี้ ท่านมันไม่ได้เรื่อง!”
หยางปิ่งอี้สะบัดกายด้วยความเดือดดาล สองแม่ลูกประคองกันเดินจากไปอย่างไร้เรี่ยวแรง ไป๋จื่อเหิงมองตามแผ่นหลังพวกนางก็ทำได้เพียงถอนหายใจอย่างนึกปลดปลง
เป็นจริงเช่นนางว่า หากสกุลไป๋มียศขุนนางสูงขึ้นอีกหน่อย ไหนเลยจะต้องพึ่งบารมีผู้อื่นเช่นนี้กันเล่า
เซียงเซียงเจ้าหายไปไหนกัน เจ้าไม่เคยหัวรั้นเช่นนี้มาก่อน เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่
.
.
หุบเขาท้ายวัดเฉินหลิง บุรุษร่างสูงตระหง่านยืนเด่นสง่าท่ามกลางพงไพรสีเขียวขจี นัยน์ตาคมเข้มสงบนิ่งทว่ากลับมองตรงอย่างไร้จุดหมาย เท้าอันเปลือยเปล่าเหยียบอยู่บนขอบหินของบ่อน้ำพุร้อน ควันจาง ๆ จากไอระอุพวยพุ่งขึ้นกลางอากาศพร้อมไอน้ำตีปะทะเข้าร่างดุจยืนท่ามกลางแดนหิมพานต์เมืองเซียน
“ท่านพร้อมแล้วหรือไม่”
ชายหนุ่มตอบกลับเสียงเรียบเรื่อย “ท่านนักพรตเริ่มกันเลยเถิด”
นักพรตชราหันมององครักษ์ข้างกายอีกฝ่าย จากนั้นพยักหน้าส่งสัญญาณ
หลีซงค้อมศีรษะตอบกลับ เขาช่วยประคองร่างสูงให้ลงไปยังบ่อน้ำพุร้อนด้วยความระมัดระวัง “ท่านแม่ทัพไหวแน่หรือขอรับ”
“วางใจเถิด เจ้าอย่าลืมว่าศึกทางน้ำเราล้วนผ่านมาแล้ว แค่ต้องอยู่ใต้น้ำเพียงหนึ่งถ้วยชา [1] เท่านั้น ต่อให้ครึ่ง [2] ก้านธูปข้าก็แน่ใจว่าข้าทำได้”
แค่เพียงคิดว่านายของตนต้องกลั้นหายใจอยู่ใต้บ่อน้ำพุร้อนเป็นเวลายาวนาน อวัยวะภายในของหลีซงก็บิดเกร็งขึ้นโดยไร้สาเหตุ
นักพรตกล่าว “ไม่ต้องกังวล การรักษาเช่นนี้ไม่ถึงแก่ชีวิต แม้ไม่อาจช่วยให้ท่านแม่ทัพมองเห็นได้ในพริบตา ทว่าหากดวงตาไม่ได้บอดสนิทแล้วจริง ๆ ย่อมต้องมีโอกาสหายขาดอย่างแน่นอน”
หลีซงได้ยินนักพรตชราที่เชี่ยวชาญเรื่องการรักษาผู้เป็นดั่งหมอเทวดาหัตถ์เทวดาอันดับหนึ่งเขาก็เบาใจ
เสียงทุ้มจากบุรุษที่ยืนท่ามกลางบ่อน้ำดังขึ้น “เช่นนั้นรอช้าอยู่ไย”
“ท่านอาจารย์เกิดเรื่องแล้วขอรับ!”
แต่แล้วนักพรตน้อยก็ปรากฏกาย ทุกคนต่างหันไปสนใจเขาเป็นตาเดียว
เพราะบ่อน้ำพุร้อนหลังหุบเขาตั้งอยู่ในพื้นที่ซับซ้อน กว่าจะเดินทางมาถึงจึงกินเวลาเกือบครึ่งชั่วยาม เป็นเหตุให้ผู้มาเยือนหอบหายใจเหนื่อยอ่อน
“เกิดเรื่องใด ไยเร่งร้อนปานนี้”
ครั้นรวบรวมสติและหายใจคล่องขึ้นมาหน่อย นักพรตน้อยก็ตอบกลับ “มีคนผู้หนึ่งหมดสติที่หน้าวัดขอรับ
นักพรตน้อยไม่กล้าตัดสินใจพาคนข้ามประตูเข้ามาโดยพลการ แต่เดิมการที่คนผู้หนึ่งจะดั้นด้นหาวัดเฉินหลิงพบมิใช่เรื่องง่าย หรือแทบเรียกว่าเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ วัดเฉินหลิงมีการตั้งค่ายกลเอาไว้อย่างแน่นหนา หากไม่ได้รับอนุญาตมีหรือจะริอ่านทลายค่ายกลพรางตามานอนพังพาบที่หน้าประตูทางเข้าได้
นักพรตชราถาม “เป็นบุรุษหรือสตรี”
นักพรตน้อยเกาปลายคางขบคิด “เอ่อ…น่าจะบุรุษนะขอรับ จากเครื่องแต่งกาย ศิษย์ว่าเขาน่าจะเป็นบุรุษ”
ชายหนุ่มที่อยู่กลางบ่อน้ำพุเลิกคิ้วหนึ่งฝั่ง
นักต้มตุ๋นน้อยคนนี้ไม่ธรรมดาจริงสินะ
เชิงอรรถ
[marker-1-1] เวลาหนึ่งถ้วยชา ประมาณ 15 นาทีสำหรับฤดูร้อน และไม่ถึง 10 นาทีสำหรับฤดูหนาว
[marker-2-1] 1 ก้านธูป 一炷香 = ครึ่งชั่วยาม = 4 ถ้วยชา = 1 ชั่วโมง
“เจ้า…นี่เป็นเจ้าเองหรือ” หลีซงประหลาดใจคิ้วทรงกระบี่ปลายหนาเลิกขึ้น ไป๋เฉินเซียงพบความฉงนปรากฏบนใบหน้าของชายหนุ่มตรงหน้า มิใช่หลีซงที่ช่วยนางไว้ แต่กลับเป็นนายของเขาต่างหากที่รั้งแขนนางเมื่อครู่ ทั้งที่ดวงตาอีกฝ่ายมองไม่เห็นกระนั้นเขายังสามารถคว้าแขนของไป๋เฉินเซียงไว้ได้อย่างแม่นยำไป๋เฉินเซียงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ทะ…ที่แท้เป็นพวกท่าน ดูเหมือนว่าเรามีวาสนาต่อกันจริง”นักพรตน้อยเกาจวิ้นสาวเท้าเข้ามา “พวกท่านรู้จักกันหรือ”ไป๋เฉินเซียงหลุบเปลือกตามองมือหยาบกร้านที่ยังกุมข้อมือของนางไว้แน่น จึงค่อย ๆ ขยับออกอย่างแนบเนียนริมฝีปากได้รูปกระตุกแผ่ว “อ่า…น้องชายผู้นั้นสินะ”นักพรตเกาจวิ้น “น้องชาย?” เขาเหลียวมองไป๋เฉินเซียงไป๋เฉินเซียงยิ้มแหย “ศิษย์พี่ ไว้ข้าอธิบายให้ท่านฟังทีหลังนะเจ้าคะ” ไป๋เฉินเซียงย้ายสายตากลับไปยังบุรุษตรงหน้า“ไม่คิดเลยว่าพวกท่านจะมารับการรักษาที่นี่ตอนนี้พวกเราถือว่าลงเรือลำเดียวกันแล้ว เช่นนั้นข้าน้อยขอเสียมารยาทถาม คุณชายทั้งสองมาจากที่ใดกันจึงได้เกียรติรับการ
ไป๋เฉินเซียงเพิ่งได้ทราบเดี๋ยวนี้เองว่าแท้จริง ที่นางเดินทางมายังวัดเฉินหลิงได้โดยง่ายเป็นเพราะกำไลข้อมือที่มารดาทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า อีกทั้งมารดาของนางยังฝากฝังไป๋เฉินเซียงไว้กับนักพรตติงรุ่ยฉีตั้งแต่สิบปีก่อนแล้วในกำไลมีส่วนผสมของไม้กฤษณาหายาก ซึ่งสามารถใช้ทลายค่ายกลพรางตาและนำทางมาจนถึงที่นี่ได้ คาดไม่ถึงว่าชาติก่อนไป๋เฉินเซียงไม่เคยคิดโผล่มายังวัดแห่งนี้เลยสักครั้ง ล่าสุดที่เคยเข้ามาก็ช่วงที่ตนอายุเพียงห้าหนาว ก้าวเท้ามาหนแรกก็ฝันถึงภาพของตนกับพี่ชายปริศนาในวัยเด็กเสียอย่างนั้นจะว่าไปแล้วคงเป็นเพราะสถานะของไป๋เฉินเซียงที่เกิดมาต่ำต้อยด้อยกำลัง ชาติก่อนนั้นจึงยินยอมก้มหัวให้ผู้อื่นรังแกและเหยียบย้ำดั่งเศษธุลี ในเมื่อสวรรค์มอบชะตาชีวิตใหม่ให้แก่นาง เช่นนั้นไป๋เฉินเซียงจึงมาดมั่นจะใช้มันแก้ไขอดีตและทวงคืนความเป็นธรรมให้จงได้ในที่สุดไป๋เฉินเซียงก็ได้กราบไหว้นักพรตติงรุ่ยฉีเป็นอาจารย์ ไป๋เฉินเซียงนับเป็นศิษย์หญิงคนที่สองของเขา แน่นอนว่าศิษย์หญิงคนแรกก็คือมารดาของไป๋เฉินเซียงนั่นเองนักพรตน้อยผู้นั้นแม้อายุน้อยกว่าไป๋เฉินเซียงหนึ่
ฤดูฝนสิบปีก่อน หยาดน้ำฝนกำลังตั้งท่าจะร่วงหล่นจากฟากฟ้า เป็นเหตุให้อากาศร้อนอบอ้าว ที่หน้าศาลาของวัดร้างบนหุบเขาปรากฏร่างเด็กหญิงกำลังยืนตัวสั่นระริก ริมฝีปากบางซีดขาวไร้เลือดฝาดเพราะความหนาวเหน็บ ตอนนี้เวลาล่วงเข้าใกล้ยามโหย่ว [1] เสียงหรีดหริ่งเรไรกังวานก้องทั่วทั้งบริเวณ พริบตาผืนฟ้าที่ย้อมสีหม่นก็เทกระหน่ำหยาดพิรุณให้ร่วงหล่นลงมาอย่างบ้าคลั่งซ่า…ละอองฝนซะสาดเข้าใบหน้าจนรู้สึกไม่สบายตัว นัยน์ตากลมกลอกมองไปยังทางเข้าโถงกราบไหว้ที่ห่างออกไปอย่างนึกลังเล เพราะเพียงก้าวเท้าออกจากที่กำบัง ก็สามารถทำให้เปียกชุ่มไปทั้งร่างเด็กหญิงอายุห้าหนาวจดจ้องเป้าหมายไม่วางตา ก่อนถอนหายใจออกมาอย่างนึกปลดปลง หากเปียกโชกไปทั้งตัวจะต้องถูกมารดาดุเป็นแน่ ทั้งที่ถูกกำชับแล้วว่าอย่าออกมาเล่นนอกโถงกราบไหว้ ทว่าเด็กน้อยกลับไม่เชื่อฟัง ความรั้นเป็นเหตุเด็กตัวเล็กทรุดกายลงเกาะเข่าหน้าสลด มือเล็กเขี่ย ๆ ใบไม้ที่ปลิวเข้ามาเพื่อฆ่าเวลา ริมฝีปากบางขยับแผ่วบ่นให้ตัวเองขมุบขมิบ “ช่างเถิด ทนอีกหน่อยแล้วกัน เดี๋ยวฝนก็
ธรณีทางเข้าวัดเฉินหลิงสูงตระหง่านตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาเงียบสงัด เพราะอากาศชื้นอยู่ตลอด อีกทั้งยังผ่านร้อนผ่านลมฝนมาหลายร้อยปี เสาและขอบธรณีจึงเกิดตะไคร้สีเขียวขุ่นเกาะอยู่ บริเวณโดยรอบโอบล้อมด้วยไม้ยืนต้นทั้งใหญ่และเล็กงอกเงยรวมกันประหนึ่งกำแพงพรางตาวัดเฉินหลิงแต่เดิมก็เป็นวัดที่ปลีกวิเวกตัดขาดจากโลกภายนอก สภาพโดยรอบจึงดูทรุดโทรมลงไปมาก แม้จะเก่าคร่ำคร่าทว่ากลับเปี่ยมด้วยกลิ่นอายแห่งความสงบและอ่อนโยนดุจดั่งธารานิ่งไร้ระลอกคลื่น ผู้ที่บังเอิญพบเห็นอาจคิดว่าน่าหวาดกลัว แต่สำหรับไป๋เฉินเซียงแล้ว นางรู้สึกว่าที่แห่งนี้เปี่ยมล้นไปด้วยความอบอุ่นไป๋เฉินเซียงแหงนหน้ามองป้ายชื่อวัดซึ่งสลักอยู่บนแผ่นศิลาผุพังพลางทรุดตัวนั่งด้วยความอ่อนระโหยโรยแรง เสียงหอบหายใจหนักหน่วงสะท้อนก้องไร้จังหวะ ริมฝีปากบางเฉียบยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ส่งไปจนถึงดวงตาวัดเฉินหลิง ข้ามาถึงแล้วสินะไป๋เฉินเซียงไร้ซึ่งกำลังขาให้ก้าวต่อ นางจึงพักเอาแรงอยู่หน้าประตูชั่วครู่ เพราะเมื่อหลายชั่วยามก่อนต้องวิ่งเท้าเป็นระวิง ทั้งที่กระโดดลงจากรถม้าซึ่งวิ่งเร็วปานลมก
ไป๋เฉินเซียงกระชับห่อผ้าแน่นเมื่อถูกหลีซงไต่สวน นางคว้าเอาข้อแก้ต่างที่คิดได้ออกมาจนหมด “พี่ชายทั้งสอง เช่นนั้นบอกตามตรงว่าข้าน้อยไม่มีเงิน ฐานะบ้านข้าน้อยยากจนข้นแค้นยิ่งนัก เพราะข้าน้อยต้องเร่งเดินทางระยะไกลมากหากให้เช่ารถม้าเองเงินก็ไม่พอ ดังนั้นข้าน้อยเห็นรถม้าของพวกท่านทั้งวิ่งเร็วและน่าค้นหา ซ้ำยังออกจากเมืองเป็นคันแรก ก็เลยคิดว่าอยากลองขอความช่วยเหลือดูสักหน่อย บางที่พวกท่านอาจมีน้ำใจให้ข้าน้อยติดรถไปสักครึ่งทางเผื่อได้ทุ่นแรง แต่หากพวกท่านไม่สะดวก...เช่นนั้นข้าน้อยจะไม่รบกวนพวกท่านแล้ว ข้าน้อยจะเร่งลงไปบัดเดี๋ยวนี้”ไป๋เฉินเซียงโกหกหน้าไม่เปลี่ยนสี พลางขยับร่างเพื่อออกจากความอึดอัด แต่แล้วเมื่อแหงนหน้าก็ถึงกับตาถลนเพราะกระบี่ดันพาดใกล้ลำคอเข้ามามากกว่าเก่า“เจ้าคิดอยากมาก็มา คิดอยากไปก็ไปง่ายดายเพียงนี้เชียวรึ” หลีซงขบฟันแน่นแสงสะท้อนจากกระบี่สาดประกายวาววับปะทะเข้าดวงตาจนเกือบมืดบอด“หลีซง อย่าเสียมารยาท” บุรุษผู้น่าเกรงขามยังสาดน้ำเสียงใจเย็นประหนึ่งหุบเขาน้ำแข็งออกมา“แต่หากคนผู้นี้มีปัญหาขึ้นมาจะทำอย่างไรขอรับ”“จากที่เขาพูด เขา
ไป๋เฉินเซียงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ กะพริบเปลือกตาสองสามหน พลางกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ กระทั่งสำรวจใบหน้าของอีกฝ่ายก็ยิ่งสร้างความประหลาดใจขึ้นไม่น้อยบุรุษผู้นี้หล่อเหลาเป็นอย่างมาก โครงหน้าของเขาช่างคลับคล้ายว่านางเคยพานพบมาก่อน นัยน์ตาสีนิลแข็งกร้าวดุดันกระนั้นยังคล้ายกับท้องฟ้าในคืนไร้ดาว ไป๋เฉินเซียงจ้องมองเขาไม่ขยับ จมูกโด่งเป็นสันรับกับโครงหน้าคมเข้ม รูปปากหยักระบายสีแดงระเรื่อ ทว่าเส้นผมของเขากลับมีสีเงินยวงแซมประปรายหน้ายังดูเด็กทำไมผมหงอกแล้ว“มองพอหรือยัง ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร หากไม่พูดข้าจะปิดปากเจ้าเสียตอนนี้” เสียงทุ้มถามย้ำไป๋เฉินเซียงได้สติมือทั้งสองฝั่งชูขึ้นแช่มช้าเพื่อส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายรับรู้ว่านางมาดี ไป๋เฉินเซียงกระแอมปรับน้ำเสียงให้ทุ้มกว่ายามปกติ“ขออภัยคุณชายท่านนี้ ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว ข้าน้อยแค่บังเอิญขึ้นรถม้าผิดเพราะเห็นว่ารถม้าของท่านคล้ายกับรถม้าลูกพี่ลูกน้องข้าน้อยที่นัดกันไว้ ข้าน้อยไม่ได้ตั้งใจรบกวนท่านจริง ๆ นะขอรับ”คิ้วเข้มเลิกขึ้นหนึ่งฝั่ง “ขึ้นผิด...เช่นนั้นเจ้าก็ลงไป”ม