หยูหงลี่บุตรีขุนนางขัั้นสามที่อยู่ๆ ก็เกิดได้เข้าถวายตัวเป็นสนมของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ที่เพิ่งได้รับการสถาปนา และนางก็พบว่าฮ่องเต้พระองค์นั้นคืออดีตชายคนรักที่นางสลัดเขาทิ้งก็เพราะนางจำต้องเลือกครอบครัว
แม้นางจะรักเขามาก แต่ก็มิอาจจะหนีตามเขาไปได้ เพราะครอบครัวของนางที่บิดาเป็นขุนนางขั้นสาม แต่เมื่ออยู่ในเมืองเล็กๆ อย่างหนิงโจว ก็ย่อมจะดูสูงส่งกว่าชาวบ้านโดยทั่วไป และบิดาไม่มีทางยอมรับเขยที่เป็นเพียงช่างไม้จนๆได้
อดีตชายคนรักที่มีนามเดิมว่า ซ่งหลี่หมิง เขาเป็นบุตรชายของสตรีหม้ายนางหนึ่งที่ไม่มีผู้ใดในหมู่บ้านหรือตำบลท่ี่นางย้ายมาอยู่รู้ว่าสองแม่ลูกมาจากที่ใด พวกเขาทราบเพียงว่าท่านป้าซ่งผู้นั้นหอบบุตรชายที่ยังเป็นเพียงเด็กชายตัวน้อยๆ มาตั้งหลักปักฐานที่หมู่บ้านเล็กๆ ที่นอกเมืองหนิงโจว
นางบอกกับใครๆ ว่านางเป็นหญิงหม้ายเพราะสามีเสียชีวิตไปแล้ว และนางเองก็ไร้ญาติขาดมิตร มีเงินทองติดตัวมาเพียงเล็กน้อยจึงได้ขอซื้อที่ดินของหัวหน้าหมู่บ้านที่ยอมแบ่งขายให้ผืนหนึ่ง
ซึ่งนางก็จ้างชาวบ้านที่นั่นช่วยกันปลูกบ้านหลังเล็กๆ และล้อมรั้วให้แน่นหนาให้พอเป็นที่พำนักของหญิงหม้ายเช่นนางกับบุตรชายได้ และที่ดินผืนเล็กที่นางขอซื้อมานั้นก็มีบ่อน้ำเล็กๆติดมาด้วย ทำให้นางกับบุตรชายไม่ต้องลำบากไปหาบน้ำมาจากที่อื่น ทำให้พอใช้ชีวิตกันไปได้
ไม่มีใครรู้ว่าท่านป้าซ่งนั้นสามารถดำรงชีวิตโดยมีอาชีพแค่เพียงรับจ้างเย็บปักถักร้อยนั้นได้อย่างไร นางรับงานที่ร้านอาภรณ์ที่ตลาดในเมืองหนิงโจวมาเย็บที่บ้าน เป็นอาชีพที่นางใช้เลี้ยงดูบุตรชายมาจนเติบใหญ่ พร้อมกับปลูกผักที่แปลงหลังบ้าน พร้อมกับเลี้ยงไก่เล้าเล็กๆ เพื่อเอาไว้เก็บกินไข่ ส่วนข้าวสารก็หาซื้อมาหุงหากันกิน เพราะมีเพียงแค่สองปากสองท้อง
พอบุตรชายเติบใหญ่ขึ้นเขาก็ออกไปรับจ้างทำงานช่วยมารดาอีกแรงหนึี่ง ด้วยอาชีพช่างไม้รับจ้าง และเขาก็ได้พบกับคุณหนูหยูหงลี่ที่เขาไปรับจ้างสร้างเรือนหลังเล็กๆในจวนของนาง โดยที่เขาเองก็เป็นเพียงลูกจ้างของช่างไม้ที่รับเหมาสร้างบ้านนั้นอีกที เพียงทั้งสองได้สบตากัน ก็รู้สึกพึงใจกันและกัน
ซ่งหลี่หมิงหาทางที่จะพูดจากับสาวเจ้าจนได้ ในยามเย็นย่ำวันหนึ่งหลังจากที่เขาเลิกงานแล้ว กำลังเตรียมเก็บข้าวของจะกลับบ้าน แต่บังเอิญเหลือบไปเห็นคุณหนูบุตรีสาวเจ้าของจวนเดินเข้าไปในสวนเหมือนนางกำลังเดินเล่นอยู่เพียงลำพัง
แม้ในใจของหลี่หมิงชายที่เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาหาเช้ากินค่ำ ไม่ได้มีสมบัติพัสถานใด ไม่ได้ร่ำรวยเงินทองและเกิดในตระกูลใหญ่ แต่เขาก็หลงรักสตรีน้อยนางนี้ที่เป็นบุตรสาวคนเล็กในจวนขุนนางบิดาของนางที่รับราชการที่อำเภอ
แม้จะเป็นเพียงอำเภอเล็กๆ แต่ขุนนางในอำเภอก็ดูจะสูงส่งกว่าชาวบ้านเช่นเดียวกับเขา จนมิอาจเทียบกันได้ แต่หลี่หมิงไม่สามารถหักห้ามใจในรักครั้งแรกนี้ได้ หัวใจมันโบยบินไปกับสตรีนางนั้นตั้งแต่แรกสบตากันแล้ว
และขาของเขามันก็ไม่รักดี มันไม่ฟังเสียงห้ามปรามของตนเองสักนิด มันออกก้าวเดินมุ่งตรงไปหาสตรีในดวงใจที่กำลังเดินเล่นอยู่ในสวนดอกไม้ไม่ไกลจากหมู่เรือนที่เขากำลังก่อสร้างอยู่ “ ดอกไม้ดอกนี้หอมนัก เจ้าพอจะรับมันไว้เป็นที่ระลึกในการทำความรู้จักกันครั้งแรกของเราได้หรือไม่ ”
หลี่หมิงตัดสินใจเอ่ยคำทักทายออกไปทันที ที่เดินไปถึงตัวของสตรีน้อยนางนั้น พร้อมกับยื่นดอกไม้ดอกเล็กๆ นั่นให้กับนาง ดวงตาคู่คมของเขาส่งประกายวิบวับเมื่อยามจับจ้องสตรีในดวงใจ
แก้มของหยูหงลี่แดงก่ำ นางเห็นเขาตั้งแต่เขาเดินดุ่มมาทางนางแล้ว แต่นางแสร้งทำเป็นไม่รู้ บุรุษหนุ่มหล่อเหลาที่เป็นเพียงช่างก่อสร้างบ้านที่บิดาว่าจ้างมาก่อสร้างหมู่เรือนรับรองหลายหลังในจวนนี้ เพื่อเอาไว้รับรองแขกที่มาเยือน เพราะเรือนหลังเดิมนั้นเก่าแก่และไม่เพียงพอ เวลามีขุนนางหรือญาติมิตรมาเยือนที่จวนของบิดา ขุนนางหยูจึงได้ไปว่าจ้างช่างรับเหมามาสร้างหมู่เรือนหลังเล็กหลายๆหลังในจวนของเขา
หงลี่ค่อยหันหลังกลับมา เพื่อเผชิญหน้ากับชายหนุ่มที่นางเองก็แอบพึงใจเขาตั้งแต่แรกพบหน้าเช่นกัน ทั้งสองหนุ่มสาวสบตากันด้วยความเขินอาย หงลี่ยื่นมือไปรับดอกไม้ที่ชายตรงหน้ายื่นให้ เพื่อแสดงว่านางรับไมตรีจากเขา ทั้งสองสบตากันด้วยประกายตาหวานฉ่ำแล้วกลับหลบเลี่ยงที่จะไม่สบตากันตาตรงๆ เพราะความเขินอายซึ่งกันและกัน
หลังจากนั้นก็พากันออกเดินเล่นไปที่ลำธารที่ห่างออกไปจากหมู่เรือน เพราะเกรงจะมีผู้มาพบเห็นเข้า และเมื่อได้สนทนากันอย่างใกล้ชิด สองหนุ่มสาวยิ่งพึงใจกันมายิ่งขึ้น ในอกของพวกเขาพองฟูเบ่งบานไปด้วยความสุขสมหวังเมื่อต่างก็รับรู้ว่าคนที่ตนเองพึงใจนั้นก็มีใจให้แก่ตนเองเช่นกัน
และต่อๆมายามเย็นหลังเลิกงาน ช่างก่อสร้างหนุ่มก็มักจะลอบไปพบปะกับคุณหนูสาวบุตรีคนรองของท่านขุนนางอยู่บ่อยๆครั้ง นางเองก็จงใจจะออกมาเดินเล่นเมื่อใกล้กับเวลาเลิกงานของคนรักหนุ่ม พวกเขาตกลงคบหากันเป็นคนรัก แอบลอบพบปะกัน และแอบพากันไปเที่ยวเล่นที่น้ำตกนอกเมืองด้วยกันในวันหยุดงานของช่างก่อสร้างหนุ่ม ความรักของพวกเขาเบ่งบานและมีความสุขยิ่งนัก
และในที่สุดในวันหยุดวันหนึ่งที่ทั้งสองต่างก็นัดพบกันอีกครั้ง เวลาหลังอาหารเที่ยง หยูหงลี่คุณหนูรองแห่งจวนขุนนางหยูก็ลอบมาพบกับคนรักที่ริมทางที่จะสามารถลัดเลาะไปที่น้ำตกที่พวกเขามักจะพากันไปพลอดรักกันท่ามกลางธรรมชาติที่งดงามกันตามลำพัง โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ที่กำลังงอกงามของพวกเขา
สองหนุ่มสาวพากันลงว่ายน้ำเล่น น้ำจากลำธารสายนี้ไหลเอื่อยๆมาจากธารน้ำตกที่หลั่งไหลส่งเสียงดังสนั่นอยู่ไม่ไกลจากจุดที่พวกเขากำลังแหวกว่ายไปมาอยู่นั้น หงลี่ว่ายน้ำหนีชายคนรักที่ว่ายตามติดไล่ล่านางเหมือนพวกเขาเป็นเด็กๆก็มิปาน จนกระทั่งหงลี่จนมุมนางว่ายน้ำหนีเขามาจนถึงสายธารน้ำตกที่กำลังหลั่งไหลลงมาเสียงดังสนั่นและกระเด็นเป็นสายกระเซ็นไปจนทั่วบริเวณแห่งนั้น
นางหัวเราะเสียงดังเพราะบัดนี้เอวคอดของนางถูกแขนล่ำสันของคนรักในความลับรัดเอาไว้แน่น เขายกยิ้มอย่างสมใจที่ในที่สุดก็จับตัวของกวางสาวเนื้อหวานของเขาเอาไว้ได้แล้ว
เขาค่อยๆ แหวกว่ายแล้วลากร่างบางที่อวบอัดขาวผ่องของคนรัก ให้ตามไปที่ด้านหลังม่านน้ำตกที่กำลังไหลริน พวกเขาอ้อมม่านน้ำตกนั้นไปจนเข้าไปในโพลงหินขนาดใหญ่ที่ด้านหลังม่านน้ำนั้น
ชายหนุ่มที่ร่างกายเปลือยเปล่าเช่นกัน โอบกอดนางเอาไว้ และหัวเราะกันอย่างสนุกสนานที่เขาจับนางเอาไว้ได้
" เห็นไหมเล่า เจ้าจะหนีไปที่ใด ข้าก็ตามเจ้ากลับมาได้ " คนรักหนุ่มเอ่ยขึ้น ทั้งสองต่างก็ยืนแนบชิดกันในซอกหินแคบ ๆ เพียงแค่ให้สองร่างยืนอยู่ในนั้นได้ไม่อึดอัดมากนัก
ทำให้ระหว่างซอกหินในโพลงหินที่คล้ายถ้ำที่ซ่อนตัวอยู่หลังม่านน้ำตกแห่งนี้เหมือนเป็นห้องน้อยที่เป็นส่วนตัว ไม่มีใครสามารถมองเข้ามาเห็นด้านในได้ แม้ว่าจะไม่มีผู้คนอยู่ในบริเวณนี้ก็ตาม
เวลาผ่านไปหลายวัน ฮ่องเต้เอาแต่เก็บตัวอยู่ในตำหนักกับสนมที่แสนจะต่ำต้อยนางนั้น ข่าวในวังหลังเล่าลือกันว่าทรงหลงไหลสนมนางนั้นอย่างมากมาย แม้นางจะไม่ได้มาจากครอบครัวที่มีอำนาจใด ไม่มีครอบครัวหนุนหลัง ซ้ำครอบครัวเดิมที่มีบิดาเป็นเพียงขุนนางขั้นสามก็ถูกเนรเทศให้ออกจากแคว้นไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ฮ่องเต้กลับหลงไหลนาง ข่าวเล่าลือนี้แพร่สะพัดไปจนทั่ววังหลังและเหล่าชายาและสนมที่มีครอบครัวเดิมที่มีอำนาจหนุนหลังพวกนางก็ต่างร้อนอกร้อนใจมาก ต่างให้คนไปสืบข่าวว่าจริงหรือไม่ที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ที่เป็นสวามีของพวกนางเช่นกัน เอาแต่เก็บตัวอยู่ในตำหนักกับสตรีต่ำต้อยที่มาจากบ้านนอกนั่น และเมื่อข่าวที่ส่งคนไปสืบมาและทราบว่าเป็นเรื่องจริง ต่างพากันประชุมลับเพื่อถกถึงปัญหาเรื่องนี้และพระชายาเหลียนหรูอี้ตัวตั้งตัวตีที่มีบิดาเป็นเสนาบดีใหญ่ที่มีอำนาจมากที่สุดในยุคนี้ ก็เอ่ยขึ้นว่า“ ทุกคนให้ใจเย็นๆ ก่อนเพราะนี่เพิ่งผ่านมาเพียงไม่กี่วัน สตรีต่ำต้อยที่เป็นเพียงสนมปลายแถวนั่น อาจจะถูกเขี่ยทิ้งเพราะเบื่อหน่ายนางก็เป็นได้ สนมใหม่ๆที่งดงามมากมายก็เพิ่งเข้ามาถวายตัวกันอีกหลายนาง ขอให้ทุกคนใจเย็นๆ ไว้ก่อน
“ หลี่หมิง ท่านปล่อยเขาได้หรือไม่ เขาไม่ใช่ชายชู้นะ ข้ากับเขาไม่ได้มีอะไรกัน ท่านทำอย่างนี้โหดร้ายมากเกินไปหรือไม่ ” นางพร่ำพูดกับเขาระหว่างที่ถูกลากข้อมือให้้กลับขึ้นไปด้านบนฮ่องเต้หนุ่มหยุดการก้าวเดินแล้วก็หันกลับมาผลักร่างงามของสนมรักที่เขาทั้งรักทั้งหวงทั้งแค้น ปนเปกันจนแยกไม่ออกแต่ที่แน่ๆ ไม่มีทางที่จะยอมปล่อยให้นางไปมีชายใดทั้งสิ้น นอกจากเขา เพราะนางคือของๆเขา และต้องเป็นของเขาไปทั้งชีวิตของนาง ไม่มีทางจะมีชายอื่นใดได้ทั้งนั้น เขาดันร่างงามของนางแนบชิดกำแพงด้านหลัง แล้วก็เข้าไปแนบชิด ใบหน้าหล่อคมคายเลื่อนลงมาจนแนบใบหน้างามของนางแม้หงลี่จะพยายามเบือนหน้าหนี แต่เขาก็กระซิบว่า“ เจ้าควรรู้ตัว ว่าเจ้าคือเมียของเข้า และข้าคือผัวของเจ้า อย่าคิดมองชายใด ให้ความหวังชายใดอีก หาไม่แล้วข้าจะทำให้มันมีสภาพเช่นเจ้าองครักษ์นั่น หากเจ้าไม่อยากเห็นใครเป็นเช่นนั้นก็อย่าคิดทอดสะพานให้ชายใดอีก เพราะที่ของเจ้าคือบนเตียงของข้า เป็นของๆ ข้าเท่านั้น ” แล้วริมฝีปากหยักหน้าก็เข้าประกบปากอวบอิ่มที่แสนนุ่มนิ่มของนาง แม้หงลี่จะพยายามเบือนหน้าหนีไป ไม่ยอมให้เขาสอดลิ้นสากของเขาเข้าไปในปากอิ
เรื่องฮ่องเต้ไปเยือนเหล่าชายาและสนมหลายตำหนักล้วนเป็นที่เล่าลือกันไปทั่ววังหลัง และแน่นอนมันย่อมจะไปเข้าหูของหงลี่บ้าง เพราะฟางเอ๋อนั้นอดไม่ได้ที่จะนำเรื่องเหล่านี้มาบอกแก่นายหญิงของตนอยู่แล้ว หงลี่นั้นทำใจได้บ้างแล้ว เขาไม่ใช่สามีของนาง เขาคือฮ่องเต้ที่มีสนมนับร้อย เรื่องอันใดเขาจะมาใส่ใจนาง ช่างเขาเถอะ นางบอกตนเองเช่นนั้น เขาไม่ใช่หลี่หมิงอีกต่อไป เขาคือเฟยหลงฮ่องเต้ ไม่ใช่คนที่นางเคยรู้จักและรักใคร่อีกแล้ว เรื่องของเขาย่อมไม่เกี่ยวกับนาง หงลี่พร่ำบอกตนเองเช่นนั้นหลายวันผ่านไปองครักษ์ที่แฝงกายอยู่ที่ตำหนักพระสนมหยูเพื่อสอดส่องว่านางทำสิ่งใด และมีอะไรเกิดขึ้นทีี่ตำหนักของนางบ้าง แล้วนำไปรายงานฮ่องเต้อยู่เสมอ และหลายวันต่อมา องครักษ์ตงเหวินก็หอบหิ้วเป็ดย่างและผลไม้ลูกโตมาฝากพระสนมหยูอีกครั้ง เขาบอกว่าที่หายไปก็เพราะไปราชการนอกวังหลวงเพิ่งจะได้กลับมา จึงได้หอบหิ้วของมาฝากแทนคำขอบคุณสำหรับรองเท้าที่พระสนมเย็บให้กับมือ มันสวมสบายเหลือเกิน หงลี่พยายามยัดเยียดเงินให้แก่เขาเป็นค่าของฝาก แต่องครักษ์หนุ่มไม่ยอมรับเอาไว้ เขายืนยันจะให้นางรับของฝากเอาไว้เพื่อตอบแทนน้ำใจ
ด้านฮ่องเต้หนุ่มที่จำต้องไปตำหนักอื่นๆ เวียนกันไปเพราะไทเฮาทั้งอ้อนวอนและขอร้องเพราะนางต้องการมีทายาทสืบทอดราชสกุล ต้องการอุ้มหลาน ต้องการมีองค์ชายและองค์หญิงน้อยๆ เต็มทีจึงเฝ้าขอร้องบุตรชายให้ไปหาเหล่าชายาและสนมที่มีนับไม่ถ้วนของเขาเสียบ้าง อย่ามัวหมกมุ่นกับราชกิจที่มากมาย เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องอักษรเพื่อทรงงานเช่นนี้อีกเลยฮ่องเต้หนุ่มจึงจำต้องทำตามหน้าที่ โดยที่เขาเองก็ไม่ได้มีความสุขสมเลย เพียงทำตามหน้าที่ให้เสร็จสิ้นไป และเมื่อความคิดคำนึงถึงสตรีแพศยานางนั้นก่อเกิดจนทนไม่ไหว เขาจึงทำทีไปหาสนมคนใหม่ที่่อยู่ตำหนักติดกับสตรีแพศยาที่เอาแต่เก็บตัวอยู่ในตำหนักนั่น เขาสั่งไม่ให้นางมาให้เห็นหน้า นางก็ไม่มา และไม่ปรากฎตัวที่ใดเพื่อจะได้พบเขาเลยสักครั้ง นางทำตัวดุจล่องหนหายไปเลย แต่ด้วยทิฐิเขาเองก็ไม่เรียกนางหา แต่ทำทีไปหาสนมที่อยู่ตำหนักรั้วติดกันแทน แต่ค่ำคืนนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาบอกว่าไม่สบาย แล้วไล่สนมนางนั้นไปนอนที่ห้องอื่นส่วนตัวเองแอบย่องเข้าไปที่ในตำหนักข้างๆ เพื่อไปสอดส่องสตรีนางนั้นว่ามีความเป็นอยู่อย่างไรบ้าง และก็แอบไปจ้องมองนางที่นอนหลับอุตุอย่างแส
ด้านฮ่องเต้หนุ่มที่จำต้องไปตำหนักอื่นๆ เวียนกันไปเพราะไทเฮาทั้งอ้อนวอนและขอร้องเพราะนางต้องการมีทายาทสืบทอดราชสกุล ต้องการอุ้มหลาน ต้องการมีองค์ชายและองค์หญิงน้อยๆ เต็มทีจึงเฝ้าขอร้องบุตรชายให้ไปหาเหล่าชายาและสนมที่มีนับไม่ถ้วนของเขาเสียบ้าง อย่ามัวหมกมุ่นกับราชกิจที่มากมาย เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องอักษรเพื่อทรงงานเช่นนี้อีกเลยฮ่องเต้หนุ่มจึงจำต้องทำตามหน้าที่ โดยที่เขาเองก็ไม่ได้มีความสุขสมเลย เพียงทำตามหน้าที่ให้เสร็จสิ้นไป และเมื่อความคิดคำนึีงถึงสตรีแพศยานางนั้นก่อเกิดจนทนไม่ไหว เขาจึงทำทีไปหาสนมคนใหม่ที่่อยู่ตำหนักติดกับสตรีแพศยาที่เอาแต่เก็บตัวอยู่ในตำหนักนั่น เขาสั่งไม่ให้นางมาให้เห็นหน้า นางก็ไม่มา และไม่ปรากฎตัวที่ใดเพื่อจะได้พบเขาเลยสักครั้ง นางทำตัวดุจล่องหนหายไปเลย แต่ด้วยทิฐิเขาเองก็ไม่เรียกนางหา แต่ทำทีไปหาสนมที่อยู่ตำหนักรั้วติดกันแทน แต่ค่ำคืนนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาบอกว่าไม่สบาย แล้วไล่สนมนางนั้นไปนอนที่ห้องอื่นส่วนตัวเองแอบย่องเข้าไปที่ในตำหนักข้างๆ เพื่อไปสอดส่องสตรีนางนั้นว่ามีความเป็นอยู่อย่างไรบ้าง และก็แอบไปจ้องมองนางที่นอนหลับอุตุอย่างแส
“ หากท่านอยากจะเดินไปส่งก็ขอบใจมากนะ ”แล้วนางก็ออกเดินนำหน้าองครักษ์หนุ่มที่ก้าวตามหลังนางมาเงียบ ๆ จนหงลี่เดินมาถึงหน้าตำหนักของตนเอง นางหันไปยิ้มให้เขา“ ขอบใจท่านมากนะ ข้าเข้าไปก่อนล่ะ ”แล้วหงลี่ก็ก้าวเข้าไปในตำหนักของนาง แล้วปิดประตูหน้าลงทันที โดยที่ร่างหนาขององครักษ์หนุ่มยังไม่เคลือนกายไปจากหน้าตำหนักของพระสนมน้อย องครักษ์ตงหยางยังคงยืนมองไปที่ประตูที่สนมนางน้อยเพิ่งจะลับกายไปในใจของเขาแสนจะเสียดายยิ่งนักที่พบนางช้าไป เขาพอจะมองออกว่าตำหนักที่นางอยู่นี้อยู่เกือบจะสุดท้ายของแถวและอยู่ลึกเข้าไปจนเกือบจะถึงรั้วของวังหลังแล้ว แสดงว่านางคือสนมชั้นเฟย ที่รู้กันว่าเป็นสนมขั้นต่ำสุดในวังหลังแห่งนี้ และสนมขั้นเฟยบางคนก็ไม่มีโอกาสได้รับใช้ฮ่องเต้เลยด้วยซ้ำ เพียงอยู่กันไปวันๆ ในตำหนัก หาอะไรทำกันไปวันๆ เพื่อให้วันเวลาผ่านพ้นไปเพียงเท่านั้น เพราะสนมในวังหลังนี้มีมากมายนัก และเขาเพิ่งจะรู้มาว่าฮ่องเต้รับสนมเข้ามาใหม่อีกชุดแล้วหลังจากที่เพิ่งจะครองราชย์ได้เพียงไม่นานนับจากวันนั้นฮ่องเต้ก็ไม่ย่างกรายไปหาหงลี่หรือไม่ได้เรียกนางมาปรนนิบัติอีกเลย หงลี่คิดว่าสิ่งที่เขาพูดในวันนั้นก็