บัดนี้ในป่าแถบนี้แทบจะร้างผู้คน ซ่งหลี่หมิงสำรวจทั้งหมดแล้ว จึงได้ปลอดโปร่งโล่งใจ เพราะเขาเป็นห่วงความปลอดภัยของคนรักของเขา ทั้งสองสบตากันนิ่ง ในดวงใจทั้งสองดวงเปี่ยมไปด้วยความรักที่แทบจะล้นปรี่ออกมา
ดวงตาของทั้งคู่ต่างก็มีไฟปรารถที่ลุกโชนไม่ต่่างกัน และแล้วใบหน้าก็ค่อยๆเลื่อนเข้าหากัน และในที่สุดลิ้นร้ายที่ร้อนรุ่มนั่นก็สอดเข้ามาในปากอวบอิ่มที่อ้าออกน้อยอย่างเต็มใจ แขนเรียวของหงลี่ยกขึ้นโอบต้นคอชายตรงหน้าของนางเอาไว้ และแล้วจูบที่ดูดดื่มและเร่าร้อนก็เกิดขึ้น และดำเนินต่อไปจนคุณหนูสาวแทบจะขาดอากาศหายใจ
นางยกมือทุบไปที่ไหล่หนาของคนตรงหน้า คนรักหนุ่มจึงยอมปล่อยปากอิ่มของนางเป็นอิสระ และเข้าซุกไซร้พรมจูบสองแก้มนวลของนาง แล้วละเรื่อยมาที่ซอกคอขาวผ่อง เขาขบเม้มทำรอยรักเอาไว้ประปรายอย่างหวงแหน เพราะเขาถือว่าหยูหงลี่คือคนรัก ที่เขาจะต้องได้นางมาครอบครอง
แม้ฐานะของพวกเขาจะแตกต่าง แต่เขาจะมุมานะสร้างตัวเพื่อให้คู่ควรกับนาง เพื่อจะได้ไปสู่ขอนางมาร่วมชีวิตกับเขาให้ได้เร็วที่สุด ที่อยู่ของนางคือข้างกายเขาเพียงเท่านั้น ชาตินี้เขากับนางจะต้องได้ครองคู่กัน เขาจะไม่ยอมให้มีสิ่งใดมาพรากเขากับหงลี่ให้แยกออกจากกันอย่างเด็ดขาด เขาสัญญากับตนเอง
เขาไล้เลียนางอย่างถือตัวว่าเขาคือเจ้าของ แม้จะยังไม่เป็นทางการ แต่ในใจของเขาก็ถือว่านางคือของๆเขา จนกระทั่งมาที่เนินอกอวบใหญ่ที่สั่นไหวแนบทรวงอกของเขาอยู่เมื่อครู่
คนรักหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากเนินอกที่เขากำลังจู่โจมอยู่ แล้วสบตาที่กำลังจะหรี่ปรือของสตรีในอ้อมกอด “ ลี่เอ๋อ พี่อยากจะดื่มนม ” เขากระซิบบอกนางด้วยเสียงกระเส่า
ดวงตาคมกริบที่สบตากับนางเต็มไปด้วยไฟปรารถนาที่มากมาย จนหงลี่ไม่กล้าสบตา นางหลบตาคนรักด้วยความขวยเขิน แก้มสองข้างแดงปลั่ง นางหลบสายตาคมกริบที่เอาแต่จ้องมองนาง ด้วยความสะเทิ้นอายนัก “ หากข้าไม่ยอมล่ะเจ้าคะ….”
ช่างไม้หนุ่มหัวเราะหึหึ “ จริงหรือที่เจ้าไม่ยอม…ถ้าเช่นนั้นพี่จะพิสูจน์ให้เจ้าได้เห็นว่าเจ้าไม่ยินยอมจริงหรือไม่ ” เขาเอียงหน้าไปกระซิบที่ข้างใบหน้านางพร้อมกับเป่าลมหายใจที่ร้อนผ่าวอย่างจงใจ กายของหงลี่สะท้านไปหมด นางช้อนตามองเขาหวานฉ่ำ “ ท่านพี่….อ๊ะ…” แล้วทุบไหล่หนาของเขาเบาๆ
มือหนาของคนรักหนุ่มยกเอวคอดของนางขึ้นด้วยสองมือ แล่้วยกวางพาดบนก้อนหินใหญ่ตรงหน้าของเขา เรือนร่างขาวผ่องของสตรีคนรักเกยอยู่บนก้อนหินก้อนใหญ่นั้นเพียงครึ่งร่าง และแล้วใบหน้าหล่อคมนั้นก็ก้มลงจนชิดสองเต้างามที่กำลังกระเพื่อมด้วยจังหวะหอบหายใจของคุณหนูสาวที่รุนแรงขึ้นด้วยอารมณ์ปรารถนาของนางเอง
ที่เพิ่งจะรู้ว่าตนเองเป็นสตรีที่ร่านร้อนเช่นนี้ เพียงถูกเขาเปิดเปลือยตัวตนของนางเพียงครั้งแรก แต่นางก็รู้อยู่แก่ใจเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะบุรุษผู้นี้คือคนที่นางรัก ที่นางรักมากเหลือเกิน จนพร้อมมอบทุกสิ่งให้แก่เขา
จากที่พยายามเบี่ยงกายหนีเพราะนางเองก็ยังไม่เคยกับเรื่องเช่นนี้ แม้จะรักเขา แต่ก็อดที่จะกระดากและอับอายไม่ได้ แต่บัดนี้กลับกลายเป็นว่านางกำลังร้องครวญครางปานจะขาดใจ และโยกเข้าหาร่างหนาของที่กำลังจะกลายเป็นสามีของนางแล้วอย่างเร่าร้อน เพราะหงลี่รู้ว่านางรักชายผู้นี้ไปจนเต็มหัวใจ นางยอมเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ชีวิตนี้นางไม่คิดจะมีชายอื่นใดทั้งสิ้นนอกจากเขา นางทอดร่างให้เขาอย่างเต็มใจ
บัดนี้ปากหยักหนาของเขาก็ครอบอยู่ที่เต้าอวบใหญ่ข้างหนึ่งของนาง เขาทั้งดูดเต้าอวบใหญ่ของนางด้วยจังหวะรุนแรง เหมือนเขาหิวกระหายมันเหลือเกิน ดังเช่นที่เขากระซิบบอกนาง ส่วนมืออีกข้างก็เข้าฟอนเฟ้นอกอวบใหญ่อีกข้างของนางไม่ให้น้อยหน้า
“ เมียจ๋า เจ้าพร้อมรับพี่หรือยัง…” เขาเงยหน้าขึ้นสบตานางด้วยดวงตาวาววับ ขณะที่นางแอ่นอกอวบใหญ่ขึ้นหาเขาด้วยความเสียวซ่าน นางบิดเร่าๆ อยู่บนก้อนหินตรงหน้าเขา ส่วนสองขาของนางเข้าเกี่ยวรั้งเอวสอบของเขาเข้าแนบชิด นางตอบเขาด้วยภาษากายที่นางกับเขาต่างก็รับรู้มันอย่างเข้าใจ
และแล้วเจ้าลูกชายตัวร้ายที่ขยายใหญ่เต็มที่แล้ว ก็สอดเข้าไปในร่องรักของสตรีตรงหน้าในทันที มันค่อยๆ ขยับเข้าไป โดยที่นางเองก็เกี่ยวกระหวัดรัดเอวของเขาแน่นเข้า และในที่สุด มันก็มุดเข้าไปในร่องรักของนางจนมิดลำกาย กระทุ้งปลายทางอย่างแรง
“ โอ้ย…..ท่านพี่ ข้าเจ็บ เจ็บเหลือเกิน ” หงลี่ตกใจจากความเจ็บแสบแทบจะขาดใจ หลังจากที่เสียวซ่านจนเคลิบเคลิ้มไปหมด อยู่ๆ นางก็ร้องขึ้นอย่างตกใจเพราะความเจ็บแสบที่คาดไม่ถึง
“ ทนอีกนิด แล้วเจ้าจะดีขึ้นเชื่อพี่ ” หลี่หมิงกระซิบเบาๆ เพื่อปลอบโยนคนรัก เขารู้ว่าตัวตนของตนใหญ่นั้นใหญ่มากเพียงใด และยิ่งนางไม่เคยชาย แต่ในเมื่อหัวใจของเขามันมีเพียงนางก็ยิ่งทำให้อารมณ์รักที่มีต่อนางนั้นมันมากมาย จนกระทั่งลำกายขยายใหญ่เต็มที่ ทำให้ร่องรักของสตรีคนรักนั้นฉีกขาดและเจ็บปวดมากมายเพียงถึงนี้
เขายอมทนแช่ตัวตนเอาไว้เพราะไม่ต้องการให้นางได้รับประสบการณ์ที่เลวร้าย เขากัดฟันทน เพราะเขาเองก็เจ็บปวดลำกายเหลือเกิน ด้วยเพราะถูกบีบรัดไปทุกด้านจนแน่นไปหมด และแล้วก็ตัดสินใจก้มลงจูบสตรีใต้ร่างอีกครั้ง จูบแล้วจูบอีก จูบอย่างหิวกระกายจนกระทั่งสตรีใต้ร่างเคลิบเคลิ้มไปกับเขาอีกครั้ง
แล้วบทรักที่เร่าร้อน รุนแรง และถี่ยิบ กระแทกๆๆๆๆ ไม่ยั้ง จึงได้เริ่มต้นขึ้น บั้นเอวสอบโยกไหวรัวเร็วไม่พัก ขณะที่สตรีใต้ร่างนั้นบัดนี้ความเจ็บแสบได้จางหายไปหมดแล้ว เหลือเพียงความเสียวซ่านจนแทบจะกรีดร้อง นางแอ่นร่างส่ายไปมา บิดกายเร่าๆ ปากก็ร้องครวญครางปานจะขาดใจ
และแล้วจังหวะรักที่มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่รู้ ก็ดำเนินต่อไป หลี่หมิงที่บัดนี้ถือว่าตนเองคือสามีของนางอย่างเต็มตัวแล้ว เพราะเขาก็ยอมรับกับตนเองเขาทั้งรักทั้งหลงไหลนาง จนตอนนี้ก็แทบจะหลงจนโงหัวไม่ขึ้น
เขายอมรับ นางร่าน ร่านถูกใจเขามาก บั้นเอวสอบโยกไหวถี่รัว กระแทกๆๆๆๆๆ เขาหาร่องรักของสตรีตรงหน้าอย่างรุนแรง เขายกสะโพกนางให้ขึ้นมาวางบนก้อนหินให้ได้ระดับเดียวกับเขา เพื่อการกระแทกกระทั้นที่ได้จังหวะรับกันอย่างพอดี
“ โอ้วววว โอ้วววว ลี่เอ๋อ โอ้้วววว โอ้ววววว ” เขาร้องครวญครางปานจะขาดใจ ร้องเรียกชื่อของนางไม่ขาดปาก นางถูกใจเขายิ่งนัก เขาดีใจที่ตัดสินใจรวบรัดนางให้ตกเป็นของเขาเสีย อย่างไรชาตินี้เขาตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะต้องได้นางเป็นภรรยา ในไม่ช้าก็เร็ว
จนในที่สุดพวกเขาสองคนก็กลายเป็นสามีภรรยาอย่างเต็มตัว ที่เมื่อกลับไปแล้ว เขาจะไปสู่ขอนางทันที นางคือเมียของเขา และเขาจะไม่มีทางให้นางหนีเขาไปได้พ้นอย่างแน่นอน
เขาจะสัญญากับว่าที่พ่อตาว่าเขาจะตั้งใจทำงานสร้างเนื้อสร้างตัวเพื่อให้คู่ควรกับนาง แม้ตอนนี้เขาจะฐานะยากจน แต่เขาก็จะตั้งใจสร้างฐานะอย่างขยันขันแข็งที่สุด เพื่อที่ลี่เอ๋อของเขาจะไม่ต้องอับอายผู้ใดในอนาคต
เวลาผ่านไปหลายวัน ฮ่องเต้เอาแต่เก็บตัวอยู่ในตำหนักกับสนมที่แสนจะต่ำต้อยนางนั้น ข่าวในวังหลังเล่าลือกันว่าทรงหลงไหลสนมนางนั้นอย่างมากมาย แม้นางจะไม่ได้มาจากครอบครัวที่มีอำนาจใด ไม่มีครอบครัวหนุนหลัง ซ้ำครอบครัวเดิมที่มีบิดาเป็นเพียงขุนนางขั้นสามก็ถูกเนรเทศให้ออกจากแคว้นไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ฮ่องเต้กลับหลงไหลนาง ข่าวเล่าลือนี้แพร่สะพัดไปจนทั่ววังหลังและเหล่าชายาและสนมที่มีครอบครัวเดิมที่มีอำนาจหนุนหลังพวกนางก็ต่างร้อนอกร้อนใจมาก ต่างให้คนไปสืบข่าวว่าจริงหรือไม่ที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ที่เป็นสวามีของพวกนางเช่นกัน เอาแต่เก็บตัวอยู่ในตำหนักกับสตรีต่ำต้อยที่มาจากบ้านนอกนั่น และเมื่อข่าวที่ส่งคนไปสืบมาและทราบว่าเป็นเรื่องจริง ต่างพากันประชุมลับเพื่อถกถึงปัญหาเรื่องนี้และพระชายาเหลียนหรูอี้ตัวตั้งตัวตีที่มีบิดาเป็นเสนาบดีใหญ่ที่มีอำนาจมากที่สุดในยุคนี้ ก็เอ่ยขึ้นว่า“ ทุกคนให้ใจเย็นๆ ก่อนเพราะนี่เพิ่งผ่านมาเพียงไม่กี่วัน สตรีต่ำต้อยที่เป็นเพียงสนมปลายแถวนั่น อาจจะถูกเขี่ยทิ้งเพราะเบื่อหน่ายนางก็เป็นได้ สนมใหม่ๆที่งดงามมากมายก็เพิ่งเข้ามาถวายตัวกันอีกหลายนาง ขอให้ทุกคนใจเย็นๆ ไว้ก่อน
“ หลี่หมิง ท่านปล่อยเขาได้หรือไม่ เขาไม่ใช่ชายชู้นะ ข้ากับเขาไม่ได้มีอะไรกัน ท่านทำอย่างนี้โหดร้ายมากเกินไปหรือไม่ ” นางพร่ำพูดกับเขาระหว่างที่ถูกลากข้อมือให้้กลับขึ้นไปด้านบนฮ่องเต้หนุ่มหยุดการก้าวเดินแล้วก็หันกลับมาผลักร่างงามของสนมรักที่เขาทั้งรักทั้งหวงทั้งแค้น ปนเปกันจนแยกไม่ออกแต่ที่แน่ๆ ไม่มีทางที่จะยอมปล่อยให้นางไปมีชายใดทั้งสิ้น นอกจากเขา เพราะนางคือของๆเขา และต้องเป็นของเขาไปทั้งชีวิตของนาง ไม่มีทางจะมีชายอื่นใดได้ทั้งนั้น เขาดันร่างงามของนางแนบชิดกำแพงด้านหลัง แล้วก็เข้าไปแนบชิด ใบหน้าหล่อคมคายเลื่อนลงมาจนแนบใบหน้างามของนางแม้หงลี่จะพยายามเบือนหน้าหนี แต่เขาก็กระซิบว่า“ เจ้าควรรู้ตัว ว่าเจ้าคือเมียของเข้า และข้าคือผัวของเจ้า อย่าคิดมองชายใด ให้ความหวังชายใดอีก หาไม่แล้วข้าจะทำให้มันมีสภาพเช่นเจ้าองครักษ์นั่น หากเจ้าไม่อยากเห็นใครเป็นเช่นนั้นก็อย่าคิดทอดสะพานให้ชายใดอีก เพราะที่ของเจ้าคือบนเตียงของข้า เป็นของๆ ข้าเท่านั้น ” แล้วริมฝีปากหยักหน้าก็เข้าประกบปากอวบอิ่มที่แสนนุ่มนิ่มของนาง แม้หงลี่จะพยายามเบือนหน้าหนีไป ไม่ยอมให้เขาสอดลิ้นสากของเขาเข้าไปในปากอิ
เรื่องฮ่องเต้ไปเยือนเหล่าชายาและสนมหลายตำหนักล้วนเป็นที่เล่าลือกันไปทั่ววังหลัง และแน่นอนมันย่อมจะไปเข้าหูของหงลี่บ้าง เพราะฟางเอ๋อนั้นอดไม่ได้ที่จะนำเรื่องเหล่านี้มาบอกแก่นายหญิงของตนอยู่แล้ว หงลี่นั้นทำใจได้บ้างแล้ว เขาไม่ใช่สามีของนาง เขาคือฮ่องเต้ที่มีสนมนับร้อย เรื่องอันใดเขาจะมาใส่ใจนาง ช่างเขาเถอะ นางบอกตนเองเช่นนั้น เขาไม่ใช่หลี่หมิงอีกต่อไป เขาคือเฟยหลงฮ่องเต้ ไม่ใช่คนที่นางเคยรู้จักและรักใคร่อีกแล้ว เรื่องของเขาย่อมไม่เกี่ยวกับนาง หงลี่พร่ำบอกตนเองเช่นนั้นหลายวันผ่านไปองครักษ์ที่แฝงกายอยู่ที่ตำหนักพระสนมหยูเพื่อสอดส่องว่านางทำสิ่งใด และมีอะไรเกิดขึ้นทีี่ตำหนักของนางบ้าง แล้วนำไปรายงานฮ่องเต้อยู่เสมอ และหลายวันต่อมา องครักษ์ตงเหวินก็หอบหิ้วเป็ดย่างและผลไม้ลูกโตมาฝากพระสนมหยูอีกครั้ง เขาบอกว่าที่หายไปก็เพราะไปราชการนอกวังหลวงเพิ่งจะได้กลับมา จึงได้หอบหิ้วของมาฝากแทนคำขอบคุณสำหรับรองเท้าที่พระสนมเย็บให้กับมือ มันสวมสบายเหลือเกิน หงลี่พยายามยัดเยียดเงินให้แก่เขาเป็นค่าของฝาก แต่องครักษ์หนุ่มไม่ยอมรับเอาไว้ เขายืนยันจะให้นางรับของฝากเอาไว้เพื่อตอบแทนน้ำใจ
ด้านฮ่องเต้หนุ่มที่จำต้องไปตำหนักอื่นๆ เวียนกันไปเพราะไทเฮาทั้งอ้อนวอนและขอร้องเพราะนางต้องการมีทายาทสืบทอดราชสกุล ต้องการอุ้มหลาน ต้องการมีองค์ชายและองค์หญิงน้อยๆ เต็มทีจึงเฝ้าขอร้องบุตรชายให้ไปหาเหล่าชายาและสนมที่มีนับไม่ถ้วนของเขาเสียบ้าง อย่ามัวหมกมุ่นกับราชกิจที่มากมาย เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องอักษรเพื่อทรงงานเช่นนี้อีกเลยฮ่องเต้หนุ่มจึงจำต้องทำตามหน้าที่ โดยที่เขาเองก็ไม่ได้มีความสุขสมเลย เพียงทำตามหน้าที่ให้เสร็จสิ้นไป และเมื่อความคิดคำนึงถึงสตรีแพศยานางนั้นก่อเกิดจนทนไม่ไหว เขาจึงทำทีไปหาสนมคนใหม่ที่่อยู่ตำหนักติดกับสตรีแพศยาที่เอาแต่เก็บตัวอยู่ในตำหนักนั่น เขาสั่งไม่ให้นางมาให้เห็นหน้า นางก็ไม่มา และไม่ปรากฎตัวที่ใดเพื่อจะได้พบเขาเลยสักครั้ง นางทำตัวดุจล่องหนหายไปเลย แต่ด้วยทิฐิเขาเองก็ไม่เรียกนางหา แต่ทำทีไปหาสนมที่อยู่ตำหนักรั้วติดกันแทน แต่ค่ำคืนนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาบอกว่าไม่สบาย แล้วไล่สนมนางนั้นไปนอนที่ห้องอื่นส่วนตัวเองแอบย่องเข้าไปที่ในตำหนักข้างๆ เพื่อไปสอดส่องสตรีนางนั้นว่ามีความเป็นอยู่อย่างไรบ้าง และก็แอบไปจ้องมองนางที่นอนหลับอุตุอย่างแส
ด้านฮ่องเต้หนุ่มที่จำต้องไปตำหนักอื่นๆ เวียนกันไปเพราะไทเฮาทั้งอ้อนวอนและขอร้องเพราะนางต้องการมีทายาทสืบทอดราชสกุล ต้องการอุ้มหลาน ต้องการมีองค์ชายและองค์หญิงน้อยๆ เต็มทีจึงเฝ้าขอร้องบุตรชายให้ไปหาเหล่าชายาและสนมที่มีนับไม่ถ้วนของเขาเสียบ้าง อย่ามัวหมกมุ่นกับราชกิจที่มากมาย เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องอักษรเพื่อทรงงานเช่นนี้อีกเลยฮ่องเต้หนุ่มจึงจำต้องทำตามหน้าที่ โดยที่เขาเองก็ไม่ได้มีความสุขสมเลย เพียงทำตามหน้าที่ให้เสร็จสิ้นไป และเมื่อความคิดคำนึีงถึงสตรีแพศยานางนั้นก่อเกิดจนทนไม่ไหว เขาจึงทำทีไปหาสนมคนใหม่ที่่อยู่ตำหนักติดกับสตรีแพศยาที่เอาแต่เก็บตัวอยู่ในตำหนักนั่น เขาสั่งไม่ให้นางมาให้เห็นหน้า นางก็ไม่มา และไม่ปรากฎตัวที่ใดเพื่อจะได้พบเขาเลยสักครั้ง นางทำตัวดุจล่องหนหายไปเลย แต่ด้วยทิฐิเขาเองก็ไม่เรียกนางหา แต่ทำทีไปหาสนมที่อยู่ตำหนักรั้วติดกันแทน แต่ค่ำคืนนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาบอกว่าไม่สบาย แล้วไล่สนมนางนั้นไปนอนที่ห้องอื่นส่วนตัวเองแอบย่องเข้าไปที่ในตำหนักข้างๆ เพื่อไปสอดส่องสตรีนางนั้นว่ามีความเป็นอยู่อย่างไรบ้าง และก็แอบไปจ้องมองนางที่นอนหลับอุตุอย่างแส
“ หากท่านอยากจะเดินไปส่งก็ขอบใจมากนะ ”แล้วนางก็ออกเดินนำหน้าองครักษ์หนุ่มที่ก้าวตามหลังนางมาเงียบ ๆ จนหงลี่เดินมาถึงหน้าตำหนักของตนเอง นางหันไปยิ้มให้เขา“ ขอบใจท่านมากนะ ข้าเข้าไปก่อนล่ะ ”แล้วหงลี่ก็ก้าวเข้าไปในตำหนักของนาง แล้วปิดประตูหน้าลงทันที โดยที่ร่างหนาขององครักษ์หนุ่มยังไม่เคลือนกายไปจากหน้าตำหนักของพระสนมน้อย องครักษ์ตงหยางยังคงยืนมองไปที่ประตูที่สนมนางน้อยเพิ่งจะลับกายไปในใจของเขาแสนจะเสียดายยิ่งนักที่พบนางช้าไป เขาพอจะมองออกว่าตำหนักที่นางอยู่นี้อยู่เกือบจะสุดท้ายของแถวและอยู่ลึกเข้าไปจนเกือบจะถึงรั้วของวังหลังแล้ว แสดงว่านางคือสนมชั้นเฟย ที่รู้กันว่าเป็นสนมขั้นต่ำสุดในวังหลังแห่งนี้ และสนมขั้นเฟยบางคนก็ไม่มีโอกาสได้รับใช้ฮ่องเต้เลยด้วยซ้ำ เพียงอยู่กันไปวันๆ ในตำหนัก หาอะไรทำกันไปวันๆ เพื่อให้วันเวลาผ่านพ้นไปเพียงเท่านั้น เพราะสนมในวังหลังนี้มีมากมายนัก และเขาเพิ่งจะรู้มาว่าฮ่องเต้รับสนมเข้ามาใหม่อีกชุดแล้วหลังจากที่เพิ่งจะครองราชย์ได้เพียงไม่นานนับจากวันนั้นฮ่องเต้ก็ไม่ย่างกรายไปหาหงลี่หรือไม่ได้เรียกนางมาปรนนิบัติอีกเลย หงลี่คิดว่าสิ่งที่เขาพูดในวันนั้นก็