ท้องฟ้ายามเย็นค่อย ๆ กลืนแสงแดดจนกลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม
เสียงวินมอเตอร์ไซค์ดังสลับกับเสียงรถยนต์บนถนนที่เริ่มแน่นขึ้นในเวลาเลิกงาน นิรินยืนอยู่หน้าหอในมือถือกระเป๋าผ้าใบเล็ก เสื้อผ้าและของใช้ที่เธอเตรียมไว้สำหรับ “นัด” คืนนี้ วันนี้เธอมีแขกอีกคนเวลาทุ่มตรงสถานที่...โรงแรมเดิมพี่บอยขี่วินมาจอดตรงหน้าโดยไม่ถาม ไม่ทัก เขาแค่ยื่นหมวกกันน็อกให้เธอเหมือนทุกครั้ง “ไปเลยไหม” น้ำเสียงเขาราบเรียบเหมือนเคยแต่แววตา...กลับดูอ่อนกว่าเมื่อคืนบนรถ ไม่มีเสียงเพลง ไม่มีบทสนทนา มีแค่ลมหายใจของทั้งสองคนที่พัดผ่านกลางอากาศเย็น ๆเธอกอดเอวเขาแน่นกว่าทุกครั้ง แต่เขาไม่พูดสักคำเมื่อถึงหน้าโรงแรมพี่บอยจอดรถตรงจุดเดิม เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา นิรินลงจากรถช้า ๆ แล้วคืนหมวกกันน็อกให้เขา “ขอบคุณนะคะ...”เธอพูดเบา ๆ เหมือนกลัวเขาจะได้ยินแต่พี่บอยแค่พยักหน้า ไม่ยิ้ม ไม่ถาม ไม่มีคำว่า “ใคร”ไม่มีคำว่า “กี่โมงจะกลับ”เขาแค่มองเธอแล้วพูดเพียงคำเดียว... “ฝนจะตก...อย่าลืมพกร่ม” นิรินยืนมองรถวินของเขาขี่ห่างออกไปจากลานหน้าโรงแรมใจเธอกลับหนักกว่าเดิม ไม่ใช่เพราะงานคืนนี้ แต่เพราะผู้ชายคนนั้นไม่พูดอะไรเลยทั้งที่เธอรู้ว่าเขารู้เขารู้...ว่าเธอกำลังจะไปเป็นของคนอื่นอีกครั้ง แต่ก็ยังเลือกจะไปส่งและไม่ซัก ไม่ถามเพราะกลัวเธอจะลำบากใจ เพราะความเงียบแบบนี้แหละ...มันดังจนเธอไม่กล้าพูดอะไรเลย ห้องพักโรงแรมเดิมกลิ่นแอร์แบบเดิมเตียงผ้าขาวเดิม…ที่นิรินไม่รู้สึกสะอาดอีกต่อไป เธอนั่งแต่งหน้าเบา ๆ หน้ากระจกลูกค้ายังไม่ขึ้นมา แต่ส่งข้อความมาแล้วว่า “ถึงแล้ว อยู่ล็อบบี้ กำลังขึ้น” เธอถอนหายใจ…ไม่ได้เพราะไม่อยากทำแต่เพราะ ใจเธออยู่ที่อื่นแล้ว ร่างกายเธอเหมือนทำงานอัตโนมัติคำพูดแบบเดิมสีหน้าแบบเดิม แม้กระทั่งจังหวะบนเตียง...ก็ยังเป็นจังหวะเดิมที่เธอเคยชิน แต่มันไม่เหมือนเดิมเลยเพราะทุกครั้งที่หลับตา...เธอกลับนึกถึงเสียงลมหายใจของ พี่บอย สองชั่วโมงผ่านไปลูกค้ากลับเธอล้างหน้าแต่งตัวใหม่ เช็ดริมฝีปากเบา ๆ พร้อมเสียงถอนใจอีกครั้ง แล้วก็เดินออกจากห้อง เหมือนคนที่วิญญาณยังไม่กลับเข้าร่าง ประตูโรงแรมเปิดออกอากาศข้างนอกเย็นสลับฝนเธอยืนลังเลว่าจะโบกวินกลับดีไหม แต่ยังไม่ทันยกมือถือขึ้นเสียงเครื่องยนต์ที่คุ้นเคยก็ดังเบา ๆ จากด้านข้าง พี่บอยจอดวินอยู่ข้างฟุตบาทไม่พูดไม่ยิ้มไม่ก้มหน้า ไม่หลบตาเขาแค่ยื่นหมวกกันน็อกมาให้เธอเหมือนเคย “หนู...นึกว่าพี่กลับแล้ว” “ไม่ได้ไปไหน” เสียงเขาสั้นแต่นุ่มกว่าเคยนิรินขึ้นซ้อนท้ายอย่างเงียบ ๆเธอกอดเอวเขาแน่น แน่นกว่าทุกครั้ง เหมือนกำลังร้องขอให้เขาพาเธอออกจากชีวิตนี้เสียที แม้จะยังไม่มีคำพูดไหนพูดออกมาจริง ๆตลอดทางกลับไม่มีคำถามว่า "ลูกค้าเป็นใคร" ไม่มีคำพูดว่า "เหนื่อยมั้ย"ไม่มีแม้แต่คำว่า "อยู่ต่อมั้ย"แต่พี่บอยก็ไม่ขี่เร็วเหมือนเคย เขาขี่ช้าลง ช้าพอให้เธอกอดเขาได้นานที่สุด เมื่อถึงหน้าหอ นิรินลงจากรถช้า ๆ แล้วหันมามองเขาเธอพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง...แต่พูดไม่ออก มือของเขาขยับมาลูบหัวเธอเบา ๆ แล้วปล่อยลงเงียบ ๆ “ถ้าหนูเหนื่อยเมื่อไหร่...ก็มองมา” “พี่จะยังอยู่ตรงนี้” แล้วเขาก็ขี่รถออกไป โดยไม่หันหลังกลับแต่นิรินกลับยืนอยู่หน้าหออีกนาน นานจนฝนเริ่มตกเธอยังไม่ขยับเพราะหัวใจ...มันขยับไปหาเขาเร็วกว่าร่างกายเสียแล้ว ฝนเริ่มโปรยเม็ดเล็ก ๆ ลงมาจากฟ้านิรินยังยืนอยู่ตรงหน้าหอพัก โดยไม่รู้ว่าตัวเองยืนนานแค่ไหน เธอไม่ได้ร้องไห้ แต่หัวใจกลับแน่นเหมือนคนที่เพิ่งเสียอะไรไปบางอย่าง...ทั้งที่เธอก็กลับมาเหมือนทุกวัน เสียงฝนตกใส่กระจกห้องข้างบนไฟถนนสลัวเธอยืนกอดแขนตัวเอง…ไม่ใช่เพราะหนาว แต่เพราะรู้สึกเหมือนไม่มีใครเหลืออยู่ตรงนี้จนกระทั่งเสียงเครื่องวินก็ดังขึ้นอีกครั้ง รถคันเดิมคนเดิมกลับมาจอดที่เดิมพี่บอยกลับมา… เขาไม่พูดอะไร ไม่ขอเหตุผลเขาแค่ดับเครื่อง แล้วเดินมาหาเธอร่มก็ไม่มี เสื้อก็ยังเปียกฝน แต่เขาก็ยังคงเงียบแบบเดิมนิรินเงยหน้ามองเขา ดวงตาเธอสั่น “หนู...ยืนอยู่ตรงนี้นานมั้ย?” เธอถามเบา ๆ เหมือนเด็กหลงทางพี่บอยไม่ตอบ เขาแค่ยื่นมือมากุมมือเธอไว้ ก่อนจะพาเธอเดินขึ้นบันไดทีละขั้น...กลับสู่ห้องเดิมเมื่อเข้าห้อง เขาไม่ได้เปิดไฟแรง เปิดแค่โคมข้างเตียงสลัว ๆนิรินยืนนิ่งกลางห้อง เธอยังเปียกอยู่เล็กน้อย มือของพี่บอยเอื้อมมาแตะแขนเธอเบา ๆ แล้วค่อย ๆ ดึงเธอเข้าไปใกล้เขาไม่ได้ถามว่า “งานเป็นไง” ไม่ได้ถามว่า “มีใครแตะตัวเธอมั้ย”ไม่แม้แต่จะบอกให้เธอไปอาบน้ำ เขาแค่ กดจมูกลงบนหน้าผากเธอ...เบา ๆสัมผัสนั้นอุ่น อ่อนโยน และแน่นกว่าคำพูดใด ๆ นิรินหลับตาลงน้ำตาไหลออกมาช้า ๆ ไม่ใช่เพราะเสียใจแต่เพราะเธอไม่คิดว่าจะมีใคร…ไม่ถามอะไรเลย แต่ กลับเข้าใจเธอทั้งหมดเขากอดเธอแน่นขึ้น ไม่พูดปล่อยให้เธอร้องไห้แบบไม่มีเสียงในอ้อมแขนเขา เขาเพียงแค่โอบกอดเธอไว้แน่น ปล่อยให้เธอซบหน้าลงกับอกของเขา นิรินหลับตาลง สูดดมกลิ่นกายของเขาที่ผสมผสานกับกลิ่นฝน มันเป็นกลิ่นที่คุ้นเคยและให้ความรู้สึกปลอดภัยอย่างประหลาด จากนั้น พี่บอยก็ค่อยๆ กดจมูกลงบนหน้าผากเธอ...เบาๆ สัมผัสนั้นอบอุ่น อ่อนโยน และแน่นกว่าคำพูดใดๆ ราวกับจะผนึกทุกบาดแผลในหัวใจของเธอไว้ น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของนิรินช้าๆ ไม่ใช่เพราะความเสียใจ แต่เป็นเพราะเธอไม่คิดว่าจะมีใครสักคน...ที่ไม่ถามอะไรเลย แต่กลับเข้าใจเธอทั้งหมดได้มากขนาดนี้ เขากอดเธอแน่นขึ้น ปล่อยให้เธอร้องไห้แบบไม่มีเสียงในอ้อมแขนเขา ความเงียบในคืนนั้นไม่ใช่ความเงียบที่อึดอัดอีกต่อไป แต่มันเป็นความเงียบที่เต็มไปด้วยความเข้าใจ ความห่วงใยรถยนต์เคลื่อนตัวออกจากลานจอดรถ ท้องฟ้ายามเย็นเปลี่ยนสีอ่อนลงเล็กน้อยนิรินนั่งข้าง ๆ คนขับมือยังวางบนตัก รู้สึกเก้อเขินจากบรรยากาศมื้อบ่ายที่เหมือนเดตครั้งแรก แต่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกพี่บอยขับไปเงียบ ๆ อยู่พักหนึ่ง ก่อนที่มุมปากจะยกขึ้นเป็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม ต่างจากใบหน้าขรึมที่เธอคุ้นเคยนิรินหันไปมอง เห็นรอยยิ้มชัดก็รีบเบือนหน้าหนี“พี่…บอยยิ้มอะไรคะ” เสียงเธอสั่นเล็กน้อย“ยิ้มเฉย ๆ” เขาตอบสั้น ๆ สายตายังคงจับจ้องที่ถนนลาดยาง“เฉย ๆ ที่ไหนกันเล่า…” เธอบ่นพึมพำในลำคอ กัดริมฝีปากแน่น หัวใจกลับเต้นแรงไม่หยุดเขาเหลือบตามามองเพียงแวบเดียว แววตาคมวูบหนึ่งนั้นเหมือนจะบอกทุกอย่างที่เขาไม่พูดออกมา“เมื่อกี้…หนูกินสเต๊กเลอะปาก”“พี่!” นิรินเผลอตีแขนเขาเบา ๆ ด้วยความเขิน แก้มแดงจัดเสียงหัวเราเบาๆ ดังจากลำคอเขา เป็นเสียงหัวเราะที่ไม่ได้ยินบ่อยนัก แต่กลับทำให้รถทั้งคันเต็มไปด้วยความอบอุ่นมีชีวิตชีวามือใหญ่เลื่อนไปกุมมือเล็กๆที่วางอยู่ข้างเบาะโดยไม่พูดอะไรอีกนิรินเม้มปากแน่น แต่ยอมปล่อยให้เขาจับไว้ หัวใจที่พองโตเหมือนจะล้นอกถนนสายเล็กทอดยาวไปข้างหน้า พี่บอยขับรถเงียบ ๆ ตามสไตล์ของเขา แต่เมื่อใกล้
แสงอรุณสาดลอดช่องไม้เข้ามาในห้อง เสียงไก่ขันดังไกลๆ ปลุกให้บ้านสวนค่อยๆ ตื่นขึ้นพี่บอยลืมตา ตั้งใจฟังเสียงรอบตัว ก่อนจะค่อย ๆ ดันแขนออกจากร่างเล็กที่ยังนอนซุกหลับอยู่ข้างกายเขาลุกออกที่นอน เดินออกมาสูดอากาศยามเช้าที่ชื้นจากน้ำค้าง กลิ่นดินผสมกลิ่นหญ้าสดใหม่ชัดเจนจนใจเขาสงบนิ่งสายตาคมทอดมองไปยังเพิงไม้หลังใหม่ที่อยู่ไม่ไกล คาเฟ่ใหม่ ที่เพิ่งสร้างเสร็จวันสองวันโดยเขาและช่างมานพส่วนลูกมือก็คือน้องกันต์พี่บอยเดินไปเปิดประตูไม้ บานพับส่งเสียงเอี๊ยดเบา ๆ ภายในห้องกว้างยังหอมกลิ่นไม้ใหม่ โต๊ะไม้สี่เหลี่ยมวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เก้าอี้หวายถักใหม่เอี่ยมเครื่องชงกาแฟวางเด่นบนเคาน์เตอร์หลังงจากที่นิรินได้ลองชงไปแล้วเมื่อวาน ข้าง ๆ ยังมีถุงเมล็ดกาแฟ กับโถแก้วใส่คุกกี้ที่แม่เพิ่งอบเมื่อคืนเขาเดินดูช้าๆ วนรอบร้าน ลองเปิดไฟดูทีละดวง จนหลอดไฟสีเหลืองสว่างนวลไปทั่วเสียงเครื่องปั่นไฟเล็กๆ ดังเบาๆ แต่ทุกอย่างทำงานปกติเรียบร้อยดีเขายืนมองผ่านกระจกหน้าร้าน และรั้วไม้เก่า ๆ ที่เอียงไปข้างหนึ่งยังอยู่ที่เดิม มันคือที่มาของชื่อร้านริมรั้วนั้นเอง น้องกันต์เพิ่งปลูกต้นพริกกับมะเขือไว้ แม
มือใหญ่กดมือเล็กกลับไปกอบกุมแท่งเนื้อที่แข็งปนร้อนเสียงของเขากระซิบข้างหู “อย่าหยุด…ทำต่อสิครับเมียรัก”“พี่…พี่บอย” นิรินเสียงสั่นพร่า แก้มแดงจัด ร่างบางนอนสั่นสะท้านอยู่ใต้ร่างของเขาพี่บอยโน้มตัวลง ริมฝีปากหนาจุ้บข้างแก้ม ไล้ผ่านลงมาที่ซอกคอ หยอกเย้าด้วยการดูดอย่างแผ่วเบาจนเธอครางหลุด“อื้อ…พี่...”มือใหญ่ปลดกระดุมชุดนอนช้า ๆ เผยผิวนวลเนียนและอกอิ่มที่สั่นไหวกับลมหายใจปลายนิ้วหยาบคลึงวน ขยี้ยอดอกจนร่างเล็กสั่นเกร็ง ความเสียวแล่นขึ้นสันหลังบรรยากาศห้องในไม้ที่เงียบสงบ มีเพียงเสียงจิ้งหรีดเรไรข้างนอก กับเสียงลมหายใจที่หนักของทั้งคู่ และแสงจันทร์ที่ลอดช่องหน้าต่างมาตกบนเรือนกายสองร่างพี่บอยไล้ริมฝีปากต่ำลง จนถึงกลีบเนื้อที่ซ่อนความหวานเขาแหวกช่อบุปผาออกช้า ๆ ก่อนก้มลงละเลียดราวกับจะจดจำรสชาติของกลีบเนื้อนั้นให้ขึ้นใจ“พี่…อย่าทรมานหนู” เสียงเธอพร่ำสั่น มือเล็กจิกเสื่อจนยับ น้ำหวานเอ่อคลอจากความชุ่มฉ่ำในช่องแคบบอยเงยหน้าขึ้น ดวงตาคมเต็มไปด้วยแรงข่มอารมณ์ เขาขยับกายขึ้น ค่อย ๆ ดันแท่งเนื้อที่แข็งปนร้อนเข้าครอบครองทีละช่วงความคับแน่นทิ่มแทงเบา ๆ ทำให้คนตัวเล็กสะท้านเฮือก “อ๊ะ…พี่บ
รถยนต์คันใหญ่แล่นกลับเข้าสู่ถนนลูกรัง ข้าวของที่ซื้อมาเต็มท้ายรถ ทั้งถุงเสื้อผ้า รองเท้าใหม่ของแม่และกันต์ วางซ้อนเรียงเป็นกองเล็ก ๆ มุมหนึ่งยังมีหมวกกันน็อกใหม่วางเคียงกับเอกสารจองมอเตอร์ไซค์คันเล็ก ที่ร้านรับปากว่าจะส่งมาถึงบ้านพรุ่งนี้เช้ากันต์นั่งเบาะหลัง ใบหน้าเปื้อนยิ้มไม่หยุด มือยังคอยจับเชือกรองเท้าผ้าใบคู่ใหม่ไม่วาง“พี่บอย…ขอบคุณครับ ผมจะตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด”พี่บอยเหลือบมองผ่านกระจกหลัง สายตาขรึมแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น“ไม่ต้องรีบโตนักหรอกกันต์ แค่ดูแลแม่กับพี่สาวให้ดี ก็พอ”แม่ที่นั่งข้าง ๆ น้ำตาคลออีกครั้ง พยายามเอ่ยเสียงเบา“แม่ซาบซึ้งจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้วลูก”นิรินก็กอดถุงเสื้อผ้าไว้แน่น ใบหน้าแดงเรื่ออย่างห้ามไม่อยู่“พี่…บอยขอบคุณจริง ๆ นะ” เสียงเธอสั่นพร่า แต่เต็มไปด้วยความหมายที่เกินกว่าคำพูดพี่บอยไม่ได้ตอบ เพียงยกมือขึ้นลูบหัวเธอเบา ๆ ระหว่างรถโยกไปตามทางลูกรังเมื่อถึงบ้านสวน เสียงสุนัขเห่าไล่รถดังรับเหมือนทักทาย ข้าวของถูกขนเข้าบ้านกันวุ่นวาย แต่เต็มไปด้วยรอยยิ้มกันต์ลองสวมเสื้อใหม่วิ่งออกไปให้แม่ดู แม่หัวเราะเสียงใสเหมือนกลับไปเป็นสาวอีกครั้งเย็นนั้น ทั้ง
บ่ายวันนั้น แดดแรงจัด แต่ลมจากทุ่งนาก็ยังพัดเอื่อย ๆ คลายความร้อนเสียงเครื่องยนต์คันใหญ่แล่นมาตามถนนลูกรัง ฝุ่นคลุ้งตามแรงล้อ ก่อนจะเลี้ยวเข้าอำเภอเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยบ้านไม้สองชั้นเก่าแก่ ร้านขายของปะปนอยู่ไม่ไกลจากตลาดสดนิรินนั่งเบาะข้างคนขับ มือเล็กกำเอกสารในตักแน่น ดวงตาตื่นเต้นปนกังวลเบาะหลัง แม่กับกันต์แต่งตัวเรียบร้อยที่สุดเท่าที่จะหาได้ เสื้อเชิ้ตสีจางกับรองเท้าคู่เก่า กลายเป็นชุดพิธีสำคัญของวันนี้เสียงเครื่องยนต์ดับลง พี่บอยหันมาบอกสั้น ๆ น้ำเสียงขรึมแต่หนักแน่น“ไม่ต้องกังวลนะ เดี๋ยวอ้นจัดการให้เอง”ไม่นานนัก ชายหนุ่มในชุดข้าราชการก็เดินลงมาจากบันไดอาคารอำเภออนุชาเพื่อนเก่าสมัยเรียนของพี่บอย รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าคมชวนให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น เขาตบไหล่เพื่อนเสียงดัง ปุ“โห ไอ้บอย! กี่ปีแล้ววะไม่ได้เจอกัน เอ็งโทรมานี่แทบไม่เชื่อหู”“นัดไว้แล้วนี่อ้น เรื่องนี้ช่วยหน่อยนะ” พี่บอยตอบเสียงเรียบ แต่แฝงความขอบคุณในแววตาอนุชาหันไปยกมือไหว้แม่ แล้วยิ้มให้กับนิรินกับกันต์“ไม่ต้องห่วงนะครับ เรื่องเอกสารโอนที่ดิน ผมดูเองทุกขั้นตอน”บรรยากาศในห้องโถงอำเภอเงียบสงบ มีเพียงเสียงพัดลมตั้
ญาติคนนั้นเม้มปากแน่น พยายามสวนกลับเสียงแข็ง“แต่หนี้มันก็ยังอยู่นะโว้ย ดอกก็ติด โฉนดก็ยังค้ำไว้อยู่ดี จะทำเป็นลืมไม่ได้หรอก!”พี่บอยที่นั่งนิ่งมานาน ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ร่างใหญ่บังสายตาญาติคนนั้นจนเงาสะท้อนคลุมทั้งตัว เขาเดินไปหยิบเอกสารหนา ๆ ในบ้านเอาวางลงบนโต๊ะไม้เสียง ปั้ก“ไม่ต้องมาทวงอะไรอีกแล้ว” เสียงทุ้มต่ำแต่หนักแน่นดังขึ้นทั่วห้อง “เพราะผมปิดบัญชีหนี้ก้อนนั้นไปหมดแล้ว”ญาติคนนั้นตาเบิกกว้าง รีบก้าวเข้ามาดูใกล้ ๆ เมื่อเห็นตัวอักษรชัดเจนว่าเป็นใบปิดบัญชีจากธนาคารจริง ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นซีดขาวในทันที“มะ…ไม่จริง! นี่เอ็ง…” เสียงสั่นเครือ“จริง” พี่บอยพูดสวนทันที ดวงตาคมกริบจ้องเขม็ง “ต่อให้คิดจะเล่นแผนอะไรอีก ก็ไม่มีสิทธิ์มาแตะต้องโฉนดบ้านสวนนี้อีกแล้ว”มานพหัวเราะลั่น “ฮ่า ๆ ๆ หงายเงิบแล้วไง! อยากจะเอามาแซะให้ขายที่ง่าย ๆ แต่สุดท้ายก็หน้าแตกยับ”กันต์ถึงกับยิ้มกว้าง สะใจที่ได้เห็นคนที่เคยทำร้ายครอบครัวพี่สาวต้องเจอแบบนี้นิรินยกมือขึ้นปิดปาก น้ำตาเอ่อเต็มขอบตา เธอหันมองพี่บอยด้วยหัวใจสั่นไหวชายที่ไม่เพียงปกป้องเธอ แต่ยังลุกขึ้นสู้แทนสิ่งที่เธอไม่เคยทำได้มาก่อนญาติค