แสงแรกแห่งอรุณรุ่งสาดส่องลงมายังค่ายพักแรม หลังจากการต่อสู้กับโจรป่าจบลง บรรยากาศภายในค่ายยังคงอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและความเหนื่อยล้า ซูหนิงหนิงยังคงวุ่นอยู่กับการดูแลทหารที่บาดเจ็บจนกระทั่งใกล้สว่าง แม้ร่างกายจะอ่อนล้าเพียงใด แต่นางก็มิได้หยุดพัก
หลี่เหวินเจี๋ย เดินออกมาจากกระโจมของตน ดวงตาคู่คมกริบมองไปยังซูหนิงหนิงที่กำลังปฐมพยาบาลทหารนายหนึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ภาพของนางเมื่อคืนที่วิ่งฝ่าคมดาบเข้าไปช่วยเหลือทหารยังคงติดตาเขา ภาพที่นางทำแผลให้เขาอย่างตั้งใจ และรอยแผลที่แขนซ้ายของเขายังคงเป็นเครื่องเตือนใจถึงความกล้าหาญของนาง
“ท่านแม่ทัพ แผลของท่านเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?” หลิวหรง เดินเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรมาก” หลี่เหวินเจี๋ยตอบเสียงเรียบ แต่สายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่ซูหนิงหนิง “นางผู้นั้น... ทำไมถึงกล้าหาญได้ถึงเพียงนี้?”
“ท่านแม่ทัพเองก็เห็นแล้วมิใช่หรือขอรับ” หลิวหรงยิ้ม “นางมิได้สนใจความปลอดภัยของตนเองเลยแม้แต่น้อย”
“นั่นคือสิ่งที่ข้ายังสงสัย” หลี่เหวินเจี๋ยกล่าว “ความกล้าหาญเช่นนี้... อาจเป็นความจริงใจ หรืออาจเป็นเพียงการแสดงที่แนบเนียน”
“ท่านแม่ทัพยังคงไม่ไว้ใจนางหรือขอรับ?” หลิวหรงถามอย่างไม่เข้าใจ “หลังจากสิ่งที่นางทำเมื่อคืน ท่านยังสงสัยนางอยู่อีกหรือ?”
หลี่เหวินเจี๋ยเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ในยามศึกสงคราม ทุกสิ่งล้วนเป็นไปได้ ความไว้ใจที่ผิดที่ผิดทางอาจนำมาซึ่งความหายนะต่อแผ่นดินได้”
ภายหลังจากการปราบโจรป่าสำเร็จ กองทัพของหลี่เหวินเจี๋ยได้รับคำสั่งให้ประจำการอยู่ยังเมืองชายแดนแห่งหนึ่ง เพื่อรักษาความสงบและสืบหาเบาะแสของขุนนางกบฏที่เชื่อว่าอยู่เบื้องหลังการก่อความไม่สงบทั้งหมด
เมื่อเดินทางมาถึงเมือง หลี่เหวินเจี๋ย มีคำสั่งประหลาด... “จงจัดที่พักให้คุณหนูซูอย่างดีที่สุด และจงเฝ้าระวังนางอย่างใกล้ชิด ห้ามให้นางออกไปไหนโดยพลการ”
คำสั่งนี้สร้างความประหลาดใจให้แก่ทุกคน ซูหนิงหนิง เองก็รู้สึกตกใจไม่แพ้กัน นางเพิ่งจะพิสูจน์ความกล้าหาญและความจริงใจของตนเองในสมรภูมิ แต่กลับถูกปฏิบัติราวกับเป็นนักโทษ
“ท่านแม่ทัพ... เหตุใดท่านจึงทำเช่นนี้กับข้า!” ซูหนิงหนิงบุกเข้าไปในกระโจมบัญชาการของหลี่เหวินเจี๋ยด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด แต่ดวงตากลับฉายแววโกรธเคือง
หลี่เหวินเจี๋ยเงยหน้าขึ้นมองนาง ดวงตาคู่คมยังคงสงบนิ่ง “นี่คือคำสั่ง”
“คำสั่งอันใดกัน! ข้าทำคุณงามความดีให้กองทัพมากมาย เหตุใดท่านจึงปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้!” เสียงของซูหนิงหนิงสั่นเครือด้วยความคับแค้นใจ
“เจ้าคือบุตรีของหมอหลวงซูอัน ผู้ซึ่งยังคงเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีกบฏ” หลี่เหวินเจี๋ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “จนกว่าความจริงจะปรากฏ ข้าจำเป็นต้องระมัดระวัง”
“ท่านกำลังขังข้า! ท่านกำลังสงสัยข้าว่าเป็นสายลับ!” ซูหนิงหนิงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“ข้ามิได้ขังเจ้า เพียงแต่ขอให้เจ้าพักอยู่ในจวนที่จัดเตรียมไว้ให้เพื่อความปลอดภัย” หลี่เหวินเจี๋ยตอบ “และเฝ้าระวังมิให้เจ้าถูกศัตรูใช้เป็นเครื่องมือ”
“ท่านโกหก! ท่านกำลังไม่ไว้ใจข้า!” ซูหนิงหนิงรู้สึกเหมือนถูกมีดกรีดแทงหัวใจ นางทุ่มเทกายใจช่วยชีวิตทหารของเขา แต่เขากลับยังคงมองนางเป็นภัยคุกคาม
หลี่เหวินเจี๋ยจ้องมองนางนิ่งๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก ซูหนิงหนิงรู้สึกเจ็บปวดเกินกว่าจะกล่าวสิ่งใดต่อ นางหันหลังเดินออกจากกระโจมไปอย่างรวดเร็ว
มู่หลัน ซึ่งยืนรออยู่ด้านนอกกระโจม เมื่อเห็นซูหนิงหนิงเดินออกมาด้วยสีหน้าปวดร้าว ก็รีบเข้าไปประคอง “หนิงหนิง เจ้าเป็นอะไรไป?”
ซูหนิงหนิงน้ำตาคลอเบ้า “เขาขังข้า... เขาไม่เชื่อใจข้าเลยแม้แต่น้อย”
นับตั้งแต่วันนั้น ซูหนิงหนิงต้องใช้ชีวิตอยู่ในจวนที่ถูกจัดเตรียมไว้ นางมิอาจออกไปไหนได้ตามลำพัง ทุกฝีก้าวของนางล้วนอยู่ในสายตาของทหารที่เฝ้าระวังอยู่รอบจวน ราวกับนางเป็นนักโทษที่อันตรายที่สุด
แต่สิ่งที่น่าแปลกใจคือ หลี่เหวินเจี๋ย มักจะมาปรากฏตัวที่จวนของนางอยู่เสมอ ไม่ว่าจะในยามค่ำคืนที่เขายืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในสวน มองเข้ามายังห้องของนาง หรือในยามกลางวันที่เขาเดินตรวจตราความเรียบร้อยรอบจวน
เขาขังนางไว้... แต่เขากลับเฝ้านางเอง
หลิวหรง สังเกตเห็นพฤติกรรมแปลกๆ ของท่านแม่ทัพ “ท่านแม่ทัพขอรับ ท่านดูเหมือนจะสนใจคุณหนูซูมากเป็นพิเศษนะขอรับ” หลิวหรงเอ่ยขึ้นขณะที่ทั้งสองกำลังเดินตรวจตราเมือง
หลี่เหวินเจี๋ยไม่ตอบ เพียงแต่เดินต่อไปเงียบๆ
“ท่านแม่ทัพสงสัยนางอยู่ แต่ท่านก็ยังคงเฝ้าดูนางด้วยตัวเอง มิให้ผู้อื่นเข้าใกล้” หลิวหรงกล่าวต่อ “นี่มิได้แสดงว่าท่านกำลัง... เป็นห่วงนางดอกหรือขอรับ?”
หลี่เหวินเจี๋ยหยุดเดิน เขาหันมามองหลิวหรง ดวงตาของเขาแฝงไว้ด้วยความรู้สึกที่อ่านไม่ออก “ข้าเพียงต้องการให้แน่ใจว่านางมิได้เป็นภัยต่อกองทัพ”
“แต่ท่านก็ดูแลนางอย่างดีมิใช่หรือขอรับ” หลิวหรงยิ้มอย่างมีเลศนัย “จัดจวนให้พักอย่างดี มีคนคอยดูแลเรื่องอาหารการกินอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง”
หลี่เหวินเจี๋ยถอนหายใจ “นั่นคือสิ่งที่ราชสำนักบัญชามา” เขาพยายามพูดให้เป็นเรื่องปกติ แต่ในใจเขากลับยอมรับว่าสิ่งที่หลิวหรงพูดนั้นเป็นความจริง เขากำลังเฝ้าดูซูหนิงหนิงอย่างใกล้ชิด ไม่ใช่เพียงเพราะหน้าที่ แต่มีบางสิ่งบางอย่างที่ดึงดูดเขาให้นึกถึงนางอยู่เสมอ
วันหนึ่ง มีข่าวร้ายมาถึงเมืองชายแดน กองทัพของแคว้นอริเริ่มเคลื่อนไหวบริเวณชายแดนตะวันออก และกำลังจะเปิดศึกใหญ่
ข่าวนี้ทำให้หลี่เหวินเจี๋ยต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการศึกที่กำลังจะมาถึง เขาจมอยู่กับแผนที่ยุทธศาสตร์และเอกสารต่างๆ ไม่ได้ไปที่จวนของซูหนิงหนิงเป็นเวลาหลายวัน
ซูหนิงหนิงที่ถูกขังอยู่ในจวน ได้ยินข่าวลือเรื่องสงคราม นางรู้สึกกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก นางอยากออกไปช่วยรักษาทหาร อยากออกไปทำประโยชน์ให้แผ่นดิน แต่นางก็ถูกกักขังไว้
“หนิงหนิง เจ้าดูเป็นกังวลใจยิ่งนัก” มู่หลันกล่าวขึ้นเมื่อเห็นซูหนิงหนิงเดินวนไปวนมาอย่างไม่สบายใจ
“ข้าเป็นห่วงทหารมู่หลัน” ซูหนิงหนิงกล่าว “พวกเขาจะต้องบาดเจ็บล้มตายอีกมากมาย และข้าก็ทำอะไรไม่ได้เลย”
“แต่เจ้าออกไปไม่ได้นะหนิงหนิง” มู่หลันเอ่ยเตือน
ซูหนิงหนิงมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น นางตัดสินใจแล้วว่ามิอาจอยู่เฉยได้ในยามที่บ้านเมืองกำลังประสบภัย
ในคืนนั้น ซูหนิงหนิงพยายามหาทางออกจากจวนที่ถูกเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด นางใช้ความรู้เรื่องภูมิประเทศและจุดอับสายตาของทหารยามที่นางสังเกตมาตลอด
“หนิงหนิง เจ้าจะทำอะไร!” มู่หลันร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อเห็นซูหนิงหนิงกำลังปีนกำแพงจวน
“ข้าจะไปช่วยทหารมู่หลัน ข้าจะไปทำประโยชน์ให้แผ่นดิน!” ซูหนิงหนิงตอบอย่างมุ่งมั่น “เจ้าอยู่ที่นี่คอยดูแลตัวเองให้ดี”
มู่หลันแม้จะกังวลใจ แต่ก็รู้ว่ามิอาจห้ามซูหนิงหนิงได้ นางทำได้เพียงอวยพรให้สหายรักปลอดภัย
ซูหนิงหนิงแอบหลบหนีออกจากจวนได้สำเร็จ นางมุ่งหน้าไปยังค่ายทหารที่กำลังเตรียมพร้อมสำหรับการรบ เมื่อไปถึง นางพบว่าบรรยากาศภายในค่ายเต็มไปด้วยความตึงเครียด และทหารที่บาดเจ็บจากการปะทะเล็กๆ น้อยๆ ก็เริ่มมีมากขึ้น
“คุณหนูซู! ท่านมาได้อย่างไร!” นายทหารคนหนึ่งร้องออกมาด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นซูหนิงหนิง
ซูหนิงหนิงไม่ตอบคำถาม นางรีบรุดเข้าไปช่วยเหลือทหารที่บาดเจ็บทันที โดยไม่สนใจว่าใครจะมองอย่างไร หรือคำสั่งของหลี่เหวินเจี๋ยคืออะไร นางรู้เพียงว่าหน้าที่ของนางคือการช่วยเหลือผู้คน
ในขณะเดียวกัน กงซุนหมิง ผู้ซึ่งตามมาถึงเมืองชายแดนด้วยความเป็นห่วงมู่หลันและซูหนิงหนิง เมื่อได้ยินข่าวเรื่องการหลบหนีของซูหนิงหนิง เขาก็รีบรุดมาที่ค่ายทหารทันที
“มู่หลัน! คุณหนูซูอยู่ที่นี่หรือไม่!” กงซุนหมิงถามด้วยความเป็นห่วง
“ใช่เจ้าค่ะหมิงเอ๋อร์ นางกำลังช่วยเหลือทหารอยู่ข้างใน” มู่หลันตอบด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโล่งใจและกังวลใจในคราวเดียวกัน
กงซุนหมิงมองเข้าไปในค่ายทหาร เห็นซูหนิงหนิงกำลังวุ่นอยู่กับการทำแผลให้ทหาร เขาอดชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของนางไม่ได้
หลี่เหวินเจี๋ย กำลังอยู่ในกระโจมบัญชาการ เตรียมพร้อมรับมือกับการศึกใหญ่ที่กำลังจะมาถึง เมื่อนายทหารผู้หนึ่งรีบรุดเข้ามาแจ้งข่าว
“ท่านแม่ทัพขอรับ! คุณหนูซูหลบหนีออกจากจวน และบัดนี้กำลังอยู่ที่ค่ายทหารขอรับ!”
หลี่เหวินเจี๋ยเงยหน้าขึ้นจากแผนที่ ดวงตาของเขาฉายแววหลากหลายอารมณ์ ทั้งตกใจ โกรธ และ... คาดไม่ถึง
เขารีบรุดไปยังค่ายทหารทันที เมื่อไปถึง ภาพที่เห็นคือซูหนิงหนิงกำลังช่วยเหลือทหารที่บาดเจ็บอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ใบหน้าของนางเปื้อนไปด้วยคราบเลือดและเหงื่อ แต่ดวงตาของนางยังคงฉายแววแห่งความมุ่งมั่นและเมตตา
หลี่เหวินเจี๋ยเดินเข้าไปหานางช้าๆ “คุณหนูซู... เจ้าทำอะไรของเจ้า!” เสียงของเขาแม้จะเย็นชา แต่ก็แฝงไว้ด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน
ซูหนิงหนิงเงยหน้าขึ้นมองเขา ดวงตาของนางสบกับดวงตาของเขาอย่างไม่หวั่นเกรง “ข้ากำลังทำหน้าที่ของข้าเจ้าค่ะท่านแม่ทัพ”
“หน้าที่ของเจ้าคือการอยู่ในจวนที่ข้าจัดเตรียมไว้ให้!” หลี่เหวินเจี๋ยกล่าวเสียงเข้ม
“หน้าที่ของข้าคือการช่วยเหลือผู้คนในยามที่บ้านเมืองต้องการเจ้าค่ะ!” ซูหนิงหนิงตอบกลับอย่างไม่ลดละ “ข้ามิอาจทอดทิ้งพวกเขาในยามที่พวกเขาต้องการความช่วยเหลือได้”
หลี่เหวินเจี๋ยจ้องมองนางนิ่งนาน แววตาที่ดุดันของเขาค่อยๆ อ่อนลง ความมุ่งมั่นในแววตาของนาง ความกล้าหาญที่ปราศจากความหวาดกลัว และความเสียสละเพื่อผู้อื่น... สิ่งเหล่านี้กำลังทลายกำแพงน้ำแข็งในใจของเขาลงทีละน้อย
เขาขังเธอไว้... เพื่อพิสูจน์ใจ
แต่บัดนี้... ใจของเขาต่างหากที่กำลังถูกพิสูจน์...
เสียงห่าธนูที่ปลิวว่อนดุจฝนห่าใหญ่ยังคงดังสนั่น คมดาบกระทบกันดังแคว้งคว้างไม่ขาดสาย สมรภูมิรบระหว่างกองทัพของหลี่เหวินเจี๋ย และ เฉินกวง ได้ทวีความรุนแรงถึงขีดสุด กองทัพของต้าเหลียงกำลังเผชิญหน้ากับคลื่นมนุษย์ของข้าศึกที่โหมกระหน่ำเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง หลี่เหวินเจี๋ย นำทัพเข้าปะทะอย่างกล้าหาญ ดาบในมือของเขาสาดประกายฟาดฟันศัตรูอย่างไร้ความปราณี ใบหน้าคมคายของเขาเปื้อนคราบเขม่าดินและโลหิต แต่ดวงตาคู่คมกริบยังคงฉายแววความมุ่งมั่นและไม่หวั่นไหวซูหนิงหนิง ทำหน้าที่หมอศึกอยู่ที่แนวหลัง นางวิ่งไปมาระหว่างทหารที่บาดเจ็บ ปฐมพยาบาลอย่างรวดเร็วและแม่นยำ มือที่เคยบอบบางบัดนี้แข็งแกร่งและเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น เลือดสีแดงฉานเจิ่งนองพื้นดินในกระโจมพยาบาล เสียงร้องครวญครางของทหารดังระงมไปทั่ว เป็นดั่งเสียงเพลงแห่งความเจ็บปวดที่ไม่มีวันสิ้นสุด“คุณหนูซู! ทหารนายนี้ถูกระเบิดได้รับบาดเจ็บสาหัสขอรับ!” นายทหารนายหนึ่งร้องบอกด้วยน้ำเสียงร้อนรน เมื่อหามร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะเข้ามาซูหนิงหนิง
เสียงคำรามของปืนใหญ่ยังคงดังก้องผสานกับเสียงกรีดร้องของความตาย การต่อสู้ระหว่างกองทัพของ หลี่เหวินเจี๋ย และ เฉินกวง เข้าสู่ขั้นวิกฤต เมืองหลวงต้าเหลียงสั่นคลอนภายใต้เงาของสงคราม แต่ในใจกลางความโกลาหลนั้น...ความผูกพันระหว่างแม่ทัพใหญ่และหมอหญิงกลับเบ่งบานอย่างเงียบงันหลังจากเหตุการณ์ในป่าที่หลี่เหวินเจี๋ยยอมขัดราชโองการเพื่อช่วย ซูหนิงหนิง และคำสารภาพที่ว่า "สนามรบไม่ใหญ่เท่าใจข้า...และในใจของข้า...เจ้าสำคัญกว่าสิ่งใด" ก็ได้หลอมรวมสองหัวใจที่เคยห่างเหินเข้าไว้ด้วยกันอย่างสมบูรณ์กลางสมรภูมิที่เต็มไปด้วยเลือดและคมดาบ ซูหนิงหนิงยังคงทำหน้าที่หมอศึกอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มือเรียวสวยที่เคยบอบบางบัดนี้เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นจากการรักษาชีวิตผู้คน นางวิ่งไปมาระหว่างทหารที่บาดเจ็บ ปฐมพยาบาลอย่างรวดเร็วและแม่นยำ ทุกวินาทีคือการต่อสู้กับความตาย“หมอหญิง! ทหารนายนี้ถูกระเบิดได้รับบาดเจ็บสาหัสขอรับ!” นายทหารนายหนึ่งร้องบอกด้วยน้ำเสียงร้อนรน เมื่อหามร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะเข้ามาซูหนิงหนิงรีบเข้าไ
รุ่งอรุณของวันใหม่มาเยือนพร้อมกับกลิ่นคาวเลือดและควันไฟที่ยังคงอบอวลไปทั่วสมรภูมิ ค่ำคืนที่ผ่านมาเป็นดั่งฝันร้ายที่มิอาจลืมเลือน การโอบกอดของ หลี่เหวินเจี๋ย ในกระโจมพยาบาลยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของ ซูหนิงหนิง มันคือความอบอุ่นท่ามกลางความหนาวเหน็บของสงคราม เป็นดั่งคำสัญญาที่มิได้เอ่ย แต่กลับลึกซึ้งเกินกว่าถ้อยคำใดจะบรรยายแต่ความสงบสุขนั้นช่างสั้นนัก เสียงกลองศึกที่ดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง เป็นสัญญาณว่ากองทัพของ เฉินกวง กำลังจะระดมพลโจมตีครั้งใหญ่ที่สุด หลี่เหวินเจี๋ยยืนอยู่บนกำแพงค่าย สายตาคมกริบจับจ้องไปยังทัพศัตรูที่เคลื่อนเข้ามาดุจมังกรดำทะมึน ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมกว่าครั้งใดๆ เพราะเขารู้ดีว่านี่คือการตัดสินชะตา“ท่านแม่ทัพ! กองทัพเฉินกวงระดมพลเต็มอัตราศึกแล้วขอรับ!”หลิวหรง รองแม่ทัพคนสนิทรายงานด้วยน้ำเสียงร้อนรนหลี่เหวินเจี๋ยพยักหน้าช้าๆ “เตรียมพร้อมรับมือ! ให้ทหารทุกคนเข้าประจำตำแหน่ง! ค่ายกลห้าธาตุต้องแข็งแกร่งที่สุด!”เสียงแตรศึกดังก้องไปทั่วค่าย
สมรภูมิอันดุเดือดยังคงดำเนินไปอย่างไม่หยุดหย่อน กองทัพของหลี่เหวินเจี๋ย และ เฉินกวง ปะทะกันอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางเสียงแตรศึกและเสียงโหยหวนแห่งความตาย แต่ในหัวใจของแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ บัดนี้มิได้มีเพียงหน้าที่ หากแต่มีเงาของสตรีผู้หนึ่งทาบทับอยู่... ซูหนิงหนิง ผู้ที่เขายอมเอาตัวเข้าบังคมธนู เพื่อปกป้องนางจากอันตรายหลังจากการโจมตีระลอกล่าสุดซาลงไปชั่วขณะ หลี่เหวินเจี๋ยถูกนำตัวกลับมายังกระโจมบัญชาการชั่วคราว เสื้อเกราะของเขาเต็มไปด้วยรอยบุบและรอยขีดข่วนจากคมธนู แต่โชคยังดีที่เกราะหนาได้ช่วยรับแรงปะทะไว้ ทำให้เขาไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส อย่างไรก็ตาม ความเหนื่อยล้าจากการต่อสู้และแรงกระแทกก็ทำให้เขารู้สึกปวดร้าวไปทั้งกายซูหนิงหนิง รีบรุดเข้ามาในกระโจมทันที ใบหน้าของนางยังคงซีดเผือดด้วยความกังวล เมื่อเห็นสภาพของหลี่เหวินเจี๋ย“ท่านแม่ทัพ! ท่านเป็นอะไรมากหรือไม่เจ้าคะ!” ซูหนิงหนิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ นางรีบเข้าไปตรวจดูสภาพของเขาอย่างเร่งร้อนหลี่เหวินเจี๋ยส่ายหน้าเล็กน้อ
สนามรบยังคงคุกรุ่นไปด้วยควันไฟและเสียงโหยหวนของความตาย กองทัพของ หลี่เหวินเจี๋ย และ เฉินกวง ยังคงปะทะกันอย่างดุเดือด แผ่นดินต้าเหลียงต้องเผชิญกับบททดสอบที่หนักหน่วงที่สุด แต่ท่ามกลางเปลวเพลิงแห่งสงครามนั้น ความผูกพันระหว่างแม่ทัพใหญ่และหมอหญิงกลับแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นหลังจากที่ ซูหนิงหนิง ได้ช่วยชีวิตหลี่เหวินเจี๋ยจากพิษธนูและคำสั่งให้ "อยู่ข้างข้าตลอดศึกนี้" ก็เป็นดั่งโซ่ตรวนทองคำที่ผูกมัดหัวใจของคนทั้งคู่เข้าด้วยกันอย่างมิอาจแยกจาก ซูหนิงหนิงยังคงทำหน้าที่หมอศึกอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย โดยมีหลี่เหวินเจี๋ยคอยเฝ้ามองและปกป้องอยู่ห่างๆ อย่างเงียบเชียบในคืนหนึ่งที่แสงจันทร์สลัว สนามรบชั่วคราวเต็มไปด้วยเสียงครวญครางของทหารบาดเจ็บ ซูหนิงหนิงกำลังดูแลทหารนายหนึ่งที่อาการหนัก ใกล้จะหมดลมหายใจ มือของนางเปื้อนเลือดและรอยแผลเป็นมากมายจากความตรากตรำ“คุณหนูซู…ข้า…ข้าคงไม่รอดแล้วขอรับ” ทหารนายนั้นเอ่ยเสียงแผ่ว ใบหน้าซีดเซียว“อย่าเพิ่งหมดหวังนะเจ้าคะ!” ซูหนิงหนิงกล่าวด้วยน้ำเสียง
หลังจาก ซูหนิงหนิง ได้ช่วยชีวิต หลี่เหวินเจี๋ย จากพิษธนูและคำสั่งให้ “อยู่ข้างข้าตลอดศึกนี้” ก็ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่แน่นแฟ้นขึ้นท่ามกลางสมรภูมิอันดุเดือด กองทัพของต้าเหลียงถอยร่นอย่างมีระเบียบตามแผนของแม่ทัพใหญ่ มายังจุดยุทธศาสตร์ที่แข็งแกร่งกว่า เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการรบครั้งสำคัญที่จะตัดสินชะตาของแผ่นดินภายในกระโจมบัญชาการชั่วคราวอันเรียบง่าย กลิ่นสมุนไพรคละคลุ้งไปทั่ว หลี่เหวินเจี๋ย นอนพักผ่อนอยู่บนเตียงไม้ชั่วคราว บาดแผลจากธนูพิษที่ต้นแขนยังคงถูกพันด้วยผ้าขาวสะอาด แต่อาการของเขาดีขึ้นมากแล้วจากการดูแลอย่างใกล้ชิดของซูหนิงหนิงซูหนิงหนิง นั่งอยู่ข้างกายเขา มือเรียวสวยกำลังบดสมุนไพรอย่างตั้งใจ ใบหน้าของนางแม้จะซีดเผือดด้วยความอ่อนล้าจากการตรากตรำในสมรภูมิ แต่ดวงตากลับฉายแววความมุ่งมั่นและห่วงใยอย่างที่สุด“เจ้าควรจะพักผ่อนบ้างซูหนิงหนิง” หลี่เหวินเจี๋ยเอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว ดวงตาคู่คมที่ปกติจะปิดนิ่ง บัดนี้กลับลืมขึ้นจ้องมองนางอย่างไม่กะพริบตา เขาสังเกตเห็นรอยคล้ำใต