เข้าสู่ระบบ
โปรยปราย
“สองภพสองชาติ ข้าพ่ายแพ้ให้แก่เขาเสมอ”
ครั้งแรก…เขาเลือกนาง ไม่ใช่ข้า
ครั้งที่สอง…ข้ายอมตายเพื่อเขา แต่เขากลับร่ำไห้ให้นาง
ชาตินี้…ข้าไม่อาจทนเห็นหัวใจของตนเองพังทลายอีกต่อไป เพราะรักที่ไม่เคยถูกเลือก
ต่อให้ต้องพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน
ต่อให้ต้องเล่นหมากกระดานนี้กับสวรรค์เองกับมือ
ข้าก็จะเป็นผู้ชนะ
ไม่ใช่เพื่อเขา…แต่เพื่อหัวใจของข้าเอง
คนที่อ่อนแอ มักมุ่งมั่นจะแก้แค้น
คนที่แข็งแกร่ง จะเลือกให้อภัย
และคนที่เฉลียวฉลาด…จะมองข้ามทุกอย่างเพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่า
ข้าเคยพยายามมาแล้วทั้งแก้แค้น ทั้งให้อภัย และแม้แต่ยอมมองข้ามเพื่อเขา
แต่สุดท้าย ข้าก็ยังติดอยู่ในวังวนเดิม ระหว่างเขากับนาง เป็นเพียงหมากไร้ค่าเป็นเพียงเงาในเรื่องราวของผู้อื่น
ในเมื่อการแทรกกลาง…จบลงด้วยการบาดเจ็บฝ่ายเดียว ครั้งนี้ ข้าจะถอยหลังอย่างสง่างามมิใช่เพื่อแพ้ แต่เพื่อวางหมากตนเอง
หากเขารักนางนัก…ข้าจะสนับสนุนให้ถึงที่สุด
จะช่วยให้ทั้งคู่ได้สมรักโดยไร้สิ่งใดขวางกั้น
และเมื่อวันนั้นมาถึง ข้าจะได้ยิ้ม…โดยไม่หลงเหลือแม้เศษเสี้ยวหัวใจไว้ให้เขาอีกเลย
บทนำ
เรื่องราวระหว่างเขากับข้า…เห็นทีว่าครานี้จะเป็นชาติที่สามแล้วกระมัง
ทุกภพทุกชาติ ล้วนเป็นข้าที่พ่ายแพ้หัวใจให้เขาครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าไม่เข้าใจ เหตุใดชะตาฟ้าจึงเล่นตลก ให้ข้ากับเขาต้องวนเวียนมาพบพานกันไม่รู้จบ และไม่ว่าชาติใด…แสงจันทร์อันงดงามของเขานางนั้น ก็มิเคยห่างหายไปเสียที
หากจะรักกัน ข้าไม่ขัด หากจะพลอดรักกันที่ใดก็เชิญ
ชาตินี้…ข้าพอแล้วกับการยืนอยู่ในเงามืด พอแล้วกับการยื่นมือไปแย่งชิงผู้ที่ไม่เคยเลือกข้า
เสียงฝนหลั่งรินราวร่ำไห้จากฟ้า ขณะแสงตะเกียงในเรือนสั่นไหวตามลมที่พัดลอดรอยแตกบนบานหน้าต่าง พื้นไม้เย็นเฉียบจนแทบแช่กระดูก ลี่อินนั่งนิ่งอยู่กลางห้อง เพ่งมองเบี้ยหมากสีขาวดำตรงหน้าด้วยสายตาเลื่อนลอย
ในชีวิตหนึ่งของสตรีผู้ไร้รัก
ไม่มีสิ่งใดคุ้นมือเท่าหมากกระดาน ที่นางใช้แทนหัวใจซึ่งไม่เคยมีผู้ใดครอบครอง
ชาติแรก นางเป็นธิดาแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ ส่วนเขาคือองค์ชายสูงศักดิ์ ผู้เคยสาบานจะรักนางผู้เดียว แต่เมื่อบัลลังก์อยู่แค่เอื้อม เขากลับเลือกแสงจันทร์ดวงนั้น สตรีผู้มีสายเลือดฮ่องเต้พระองค์เก่า
ชาติที่สอง ข้าคือองค์หญิงผู้ละทิ้งทุกสิ่งเพื่อไล่ตามหัวใจ เขาเป็นนักปราชญ์ผู้เปี่ยมเมตตา ทว่าในคืนที่ข้าถูกวางยา เขาไม่ได้ยื่นมือมาช่วย…แต่กลับวิ่งไปหานางผู้เดียวกันนั้นอีกครา นางสิ้นลมหายใจในคืนเดียวกันกับข้า แต่เขากลับกอดร่างสตรีนางนั้นร่ำไห้ ไม่ใช่ข้าที่เป็นภรรยา
และบัดนี้ ชาติที่สาม ข้าเป็นเพียงคุณหนูจากตระกูลที่ร่วงโรยใกล้ล่มสลาย สวรรค์ขีดชะตาให้ข้ากับเขาวนเวียนมาเกี่ยวกันอีกครา ข้าถูกหมั้นหมายกับแม่ทัพหนุ่ม เพื่อฟื้นฟูเกียรติยศของตระกูล
ส่วนเขา…ยังคงเป็นเช่นเคย สูงส่งในสายตาผู้คน เป็นแม่ทัพหนุ่มผู้เปี่ยมอนาคต เขาถูกบังคับให้หมั้นหมายกับข้า ทั้งที่หัวใจมีเจ้าของแล้ว
แม้ข้ายังไม่เคยเห็นหน้าสตรีผู้นั้นที่อยู่ไกลถึงชายแดน แต่มิจำเป็นต้องเดา…ข้าย่อมรู้ดีว่านางคือดวงจันทร์ดวงเดิม ที่เฝ้าติดตามเขาในทุกชาติภพ
แต่พอแล้ว…ชาตินี้ ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้ชะตาเป็นผู้ลิขิตอีกต่อไป ข้าจะไม่แย่งชิงเขาจากนางอีก ไม่อ้อนวอน ไม่ร้องขอแม้เศษเสี้ยวความสนใจ
ข้าจะลุกขึ้นจากกระดานนี้ เปลี่ยนจากตัวหมาก…เป็นผู้เล่น และหมากกระดานนี้ข้าจะพลิกชนะให้ดู
ตอนพิเศษ 3 ผลลัพธ์แห่งการรอคอยยามสนธยา ลมเย็นพัดผ่านสวนด้านหลังเรือนใหญ่ หลงอวี้จงยืนพิงเสาไม้ หันมองหญิงสาวในชุดคลุมเรียบง่ายที่กำลังจัดช่อดอกไม้ลงแจกัน นัยน์ตาของเขาสะท้อนแสงอ่อนจากโคมไฟ และความรู้สึกบางอย่างที่เก็บซ่อนไว้ลึกเกินกว่าจะเอ่ยหลี่อินเดินเข้ามาเงียบ ๆ ก่อนหยุดยืนข้างเขา“คิดอะไรอยู่” นางถามเบา ๆเขาไม่ตอบในทันที แค่ทอดสายตาไปยังลานฝึกที่บุตรสาวกำลังลองดาบใหม่กับอาจารย์ และบุตรชายก็กำลังนั่งเขียนฎีกาเงียบ ๆ ไม่ไกลจากกันผ่านไปครู่ใหญ่…เขาจึงเอ่ย“ชาติที่หนึ่ง…” เขาเริ่ม“พวกเราแต่งงานกัน มีความสุขไม่นาน ก่อนที่ข้าจะถูกสั่งให้แต่งงานกับอดีตองค์หญิง”“ชาติที่สอง…” หลี่อินต่อคำเสียงแผ่ว “ข้าแต่งเป็นฮูหยินของท่านเพื่อที่จะได้อยู่นอกวังอย่างสงบ…แต่กลับต้องพัวพันการแย่งชิงอยู่ดี”หลงอวี้จงพยักหน้าช้า ๆ แววตาแดงเล็กน้อย แต่เขาก็ยังยืนนิ่ง ราวกับใจหนักแน่นยิ่งกว่าเดิม“ข้าคิด…ว่าเราถูกสวรรค์ลงโทษในสิ่งที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเคยทำผิดอะไรไว้”“แต่ชาติที่สามนี้…” หลี่อินพูดพลางมองลูกทั้งสอง “ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะเจ็บปวดเพียงใด พวกเขา…คือคำตอบที่ดีที่สุดจากฟ้าดิน”อวี้เหมยที่ลุกขึ้นปร
ตอนพิเศษ 2 บ้านที่มีรักเช้าวันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิ ลมอ่อนพัดพาไอแดดอบอุ่นเข้ามาในลานเรือน หลังอาหารเช้า หลี่อินกำลังนั่งจัดสมุนไพรอยู่หน้าต่าง ส่วนหลงอวี้จงนั้นนั่งอ่านรายงานกองทัพด้วยสีหน้าจริงจังตามปกติอวี้เหอ เด็กชายวัยสิบปีกำลังง่วนกับการผูกผ้าโพกหัวที่ดูยังไงก็เบี้ยว“ท่านพ่อขอรับ มัดยังไงก็ไม่ตรง!”เขาบ่นอย่างหัวเสีย ขยี้ผมตัวเองจนยุ่งเหมือนรังนกหลงอวี้จงละสายตาจากเอกสาร มองลูกชายแล้วถอนหายใจ“มานี่ ข้าจะทำให้ดูอีกครั้ง…แต่พรุ่งนี้เจ้าต้องมัดเองให้ได้นะ จะไปสนามฝึกแบบหัวยุ่งไม่ได้ เดี๋ยวครูฝึกจะหัวเราะเอา”“แต่เขาก็หัวเราะอยู่ดีนี่นา…” อวี้เหอพึมพำเบา ๆ พลางเดินเข้าไปใกล้ขณะเดียวกัน อวี้เหมยบุตรสาวคนโตก็เดินผ่านเข้ามาในลาน สะพายตะกร้าผักไว้ด้านหลัง“ท่านแม่ ท่านพ่อ อวี้เหอแอบเอาขนมไปซ่อนไว้ใต้หมอนอีกแล้วเจ้าค่ะ” นางรายงานพลางยิ้มขัน ๆ“ข้าแค่…แค่ไม่อยากให้บ่าวเอาไปเก็บ!” เด็กชายรีบเถียงเสียงสูงหลี่อินไม่ได้ว่าอะไร แค่ยิ้มแล้วส่ายหน้าเบา ๆ“พอเถอะ เหลือไว้ให้มดเผื่อกินบ้างเถิดลูก…”หลงอวี้จงหัวเราะในลำคอ“แม่ของเจ้ากำลังจะเริ่มเทศน์เรื่อง ‘ของกินที่วางไว้ไม่ถูกที่คือความสูญเปล
ตอนพิเศษ 1 ของขวัญจากสวรรค์ในวัยห้าสิบหลี่อินมองเงาตนเองในกระจกทองเหลือง ดวงหน้าของหญิงวัยห้าสิบที่มีร่องรอยของการต่อสู้กับชีวิตและความเศร้ามากมาย แต่แววตานั้น…กลับเปล่งประกายอ่อนโยนอย่างที่ตนไม่เคยเห็นในตัวเองมาก่อนเสียงร้องจุ๊กจิ๊กจากเปลไม้ด้านหลังทำให้นางหันกลับไปพร้อมรอยยิ้มหลงอวี้จงเดินเข้ามาพร้อมขันน้ำอุ่นในมือ เขาก้มหน้ามองทารกน้อยที่นอนหลับสนิทในผ้าอ้อม แล้วนั่งลงข้างภรรยา“นางเหมือนเจ้านัก โดยเฉพาะเวลาขมวดคิ้ว” เขาพูดเบา ๆ กลัวจะรบกวนเจ้าตัวเล็กหลี่อินหัวเราะแผ่ว“ท่านไม่ใช่หรือที่บอกว่าลูกชายหน้าเหมือนข้าจนบ่าวแยกไม่ออกว่าลูกใคร แต่คนที่ตะโกนลั่นบ้านตอนรู้ว่าตัวเองจะมีลูกตอนอายุห้าสิบ…ก็ท่าน” หลี่อินหันไปยิ้มเย้าหลงอวี้จงหน้าแดง ไม่กล้าสบตาภรรยา “ข้าแค่ตกใจ…ก็ใครบ้างจะคิดว่าจะมีลูกในวัยนี้ ข้ายังไม่หายตกใจเลย เจ้าคิดดูสิ ข้าเคยสู้ศึก เคยฆ่าคน เคยวางแผนโค่นล้มตระกูลกบฏ เคยเกือบตายเพราะยาพิษ… แต่กลับมาหวั่นไหวเพราะเสียงเด็กร้องกลางดึก”“นั่นเพราะพวกเขาคือสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่อ่อนแอที่สุด แต่กลับจับหัวใจข้าไว้แน่นที่สุด”หลงอวี้จงยกมือลูบผมลูกชายที่นอนหลับอยู่ในอ้อมแขนของเ
บทที่ 56 ไม่จำเป็นต้องอธิบายอีกแล้วยามเย็นวันหนึ่ง ขณะที่แสงอาทิตย์โรยลงบนปลายไม้หลี่อินเดินกลับจากตลาด มือหนึ่งหิ้วตะกร้า อีกมือแนบจดหมายในแขนเสื้อกระดาษเพียงแผ่นเดียวไม่ใช่หนังสือหย่าไม่ใช่คำอธิบายแต่เป็นจดหมายจากคนที่เคยเป็นแผลในอดีตซูเจินเนื้อความไม่ยาว มีเพียงไม่กี่บรรทัดว่า นางแต่งงานแล้วกับขุนนางที่เคยเป็นคนที่หลงอวี้จงฝากฝังนางเอาไว้ชีวิตไม่ได้ดีนัก แต่ก็ไม่ได้แย่ส่วนแม่ทัพหลง…นางไม่อยากกล่าวถึงอีกหลี่อินพับจดหมายนั้นเก็บลงลิ้นชักไม้ไม่พูดถึงให้หลงอวี้จงรู้เพราะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไปแล้วไม่มีเหตุผลที่ต้องรื้อฟื้น ไม่มีสิ่งใดต้องแข่งขันไม่มีความคาใจ ไม่มี ถ้าหาก…“วันนี้ในตลาดมีสาลี่หวาน พ่อค้าให้มาตั้งหลายลูก”นางเอ่ยขึ้นขณะช่วยเขาล้างถ้วยที่อ่างน้ำเล็กหลังเรือน“เจ้าเคยชอบกินตอนเป็นเด็ก” เขาพูดเรียบ ๆ ขณะตักน้ำรินให้“ข้าเกิดที่เมืองหลวง ท่านอยู่ชายแดน พวกเราไม่เคยได้กินด้วยกันตอนเป็นเด็กเสียหน่อย สับสนกับความทรงจำชาติไหนของท่าน”นางตอบพร้อมรอยยิ้มจาง ๆรอยยิ้มที่ไม่มีอดีตผูกพันแต่มีความอ่อนโยนที่เลือกจะอยู่กับ ปัจจุบันเมื่อค่ำลงแสงโคมในเรือนเล็ก ๆ ริบหรี่เช่นเคย กล
บทที่ 55 เพื่อนคู่คิดกลางฤดูใบไม้ผลิดอกเหมยที่บานผิดฤดูโปรยกลีบลงบนระเบียงไม้ของบ้านหลังเล็กหลี่อินนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ใต้ชายคาในมือลูบผ้าปักลายมังกรที่ยังเย็บไม่เสร็จ กลิ่นชาอ่อน ๆ ลอยจากกาน้ำข้างกายเสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้น ก่อนจะมีเงาร่างหนึ่งนั่งลงอีกฟากของโต๊ะหลงอวี้จงไม่พูดอะไร เพียงนั่งเงียบอยู่ข้างกัน ราวกับการมีอยู่ของเขานั้น ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรอีกแล้วเวลาผ่านไปเนิ่นนาน จนกระทั่งนางพูดขึ้น“ยังคิดอยู่หรือ ว่าชาติหน้าจะเกิดใหม่จริง ๆ”เขาเงยหน้าขึ้นแววตานั้นยังคงเป็นดวงตาเดิมที่มองนางในทุกชาติ หากแต่ในตอนนี้ มันนิ่ง สงบ และอ่อนโยนอย่างไม่เคยเป็น“ข้าไม่รู้” เขาตอบตรง “แต่ข้าจำได้ว่าเคยลั่นวาจาไว้…”เขาหยุดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่นอย่างคนที่ไม่ต้องการคำสัญญาอีก“หากชาติหน้ามีอยู่จริง…ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใด อยู่ในฐานะใดข้าจะมองเพียงเจ้าผู้เดียว”หลี่อินนิ่งเงียบไปนานลมหายใจของนางหนักแน่นขึ้นเล็กน้อย มือที่จับเข็มปักเริ่มสั่นเล็กน้อย“…ท่านจะไม่เหนื่อยหรือ เพียงได้มอง ไม่ได้ขอครอง” เขาตอบเบา ๆ “ข้าไม่เคยเหนื่อย”แสงตะวันเช้าสาดเข้ามาในเรือนอย่างนุ่ม
บทที่ 54 ใกล้กันจนผมเริ่มมีสีดอกเลาเสียงด้ายขูดผ่านผืนผ้าเบา ๆแสงอ่อนในยามเช้าเริ่มลอดผ่านบานหน้าต่างไม้ไอเย็นของต้นฤดูใบไม้ผลิแตะผิวแก้มนางอย่างแผ่วเบาหลี่อินยกมือรวบเส้นผมขึ้นอย่างเคยชิน แต่ในจังหวะนั้นเอง ด้านหลังพลันมีเงาร่างหนึ่งยื่นมือมาช่วยเก็บปิ่นปักผมที่ตกลงพื้น“ข้าทำให้ตก…” เขาว่าเบา ๆเสียงนั้นไม่ดังนัก แต่ใกล้มาก ใกล้จนกลิ่นจากชุดคลุมสีหม่นของเขาแตะปลายจมูกนางมือของเขายื่นมาช้า ๆ อย่างลังเลก่อนจะรวบเส้นผมนางขึ้น แล้วใช้ปิ่นปักให้อย่างเบาแรงนางไม่พูดเพียงแต่รู้สึกได้ว่า มือคู่นั้น…เริ่มหยาบขึ้นกว่าที่จำได้เพราะฝึกทำอาหารเองบ่อยขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาหลี่อินยืนนิ่งและนั่นทำให้เขากล้าก้มลงกระซิบเบา ๆ“เจ้าเห็นไหม…”“เห็นอะไร” นางเอ่ยถามเสียงแผ่วเขาชี้ไปยังข้างขมับตนเอง“ผมข้าเริ่มมีสีขาวปนอยู่หนึ่งเส้น” เขาหัวเราะในลำคอเบา ๆ “เจ้าคงจะบอกว่าไม่แปลก…แต่รู้หรือไม่ว่ามันเป็นเส้นแรกที่ข้าอยู่ข้าง…เจ้า” เสียงเขาแผ่วเบา“แต่มันเพิ่งเริ่มกลายเป็นสีดอกเลา…ก็ในวันที่เราอยู่ใกล้กันมากที่สุด”หลี่อินเงียบ…ความรู้สึกอุ่นแปลก ๆ ค่อย ๆ ไหลซึมขึ้นกลางอกเงาร่างเขายังยืนอยู่ข้างหลัง







