ฮูหยินหลิวอิ๋งเอ่ยถามเสียงเข้ม สองพ่อลูกมองหน้ากันเลิ่กลั่ก หลิวอิ๋งผู้เป็นภรรยาที่ได้เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยอย่างมีโทสะ
"ข้ารู้นะว่าพวกท่านจะพากันไปที่ใด!!! บัดซบนัก ต้นผักกาดของข้าเฉาตายหมดเพราะพวกท่าน!!!"
"ฮูหยิน ให้อภัยข้าเถิด ครานั้นข้ารีบชัก มันจึงพุ่งไปโดนผักกาดของเจ้า!!!"
"หึ!!! คิดว่าข้าไม่เห็นหรือ!!! พวกท่านสองพ่อลูกแข่งกันชัก ข้าเห็นกับตา!!!"
"ข้าไม่ได้ตั้งใจนี่นา!!! มันแข็งขึ้นมากะทันหันจะให้ข้าทำเช่นไรเล่า!!!"
"ท่านพ่อท่านแม่พอเถิด!!! อายบ่าวไพร่บ้างเจ้าค่ะ!!!"
จ้าวไป๋ลู่รีบเอ่ยยับยั้งบิดาและมารดาของตนทันที ก่อนจะหันไปมองจ้าวเฉียนที่มีท่าทีกระอักกระอ่วนเช่นเดียวกัน
"ช่างหัวมันสิ!!! คนที่ต้องอายคือพ่อเจ้า ผักกาดของข้ากำลังงอกงาม กลับตายเพราะน้ำบัดซบของเขา!!!"
"ก็บอกว่าไม่ได้ตั้งใจชักมันจำเป็น!!!"
"กล้าเถียงข้าหรือ!!!"
"ฮูหยิน!!!"
โครม!!!
จ้าวเยียนและจ้าวเฉียนสะดุ้งโหยง ด้านจ้าวไป๋ลู่นั้นนางทำได้เพียงยกมือขึ้นเกาหน้าผาก ก่อนจะมองภาพอาหารบนโต๊ะที่ถูกท่านแม่พังโครมหกเลอะเทอะอย่างอับจนหนทาง
บัดซบเถิดไม่ต้องกินแล้วข้าวเย็น!!!
"ท่านตั้งใจชัก!!!"
"ข้าไม่ได้ตั้งใจมันแข็งเอง!!!"
"ท่านชัก!!!"
"โธ่ฮูหยิน เดิมทีข้ากับอาเฉียนเพียงตั้งใจเล่นว่าวที่ฝ่าบาททรงประทานให้ข้าเพียงเท่านั้น ผู้ใดจะรู้ว่าสายว่าวกลับแข็งขึ้นมากะทันหัน ข้าจึงรีบชักสายมัน ข้าไม่ได้ตั้งใจ มือข้าเลยพลัดไปโดนถังน้ำสกปรก จนมันหกราดรดต้นผักกาดเจ้าจนเฉาตาย!!! นี่ข้ากับอาเฉียนก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมเก็บว่าวอันใหม่ที่เพิ่งทำเสร็จวางเอาไว้ที่ด้านหลังจวน จึงจะไปเก็บ เจ้าก็ระงับโทสะหน่อยเถิด!!!"
จ้าวเยียนพยายามอธิบายให้ภรรยาเข้าใจ เมื่อสองสามวันก่อน ฝ่าบาททรงพระราชทานว่าวให้ข้ารับใช้ได้ละเล่นแก้เบื่อ เขาก็ได้มาเช่นกันจึงชักชวนบุตรชายเล่น ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุมิคาดฝันเช่นนี้
จ้าวไป๋ลู่ยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วตนเองก่อนจะครุ่นคิดในใจ
โธ่! ท่านพ่อ แทนที่จะพูดให้ละเอียดข้าก็คิดไปไกลเลย!!!
แล้วท่าทีโล่งใจของบ่าวไพร่คือสิ่งใดกัน หรือพวกเขาคิดว่าท่านพ่อและพี่ใหญ่...
วะฮ่า ๆ ๆ ๆ นางก็คิดว่าท่านพ่อและพี่ใหญ่ชัก...
ช่างมันเถิด! เย็นนี้กินข้าวกับน้ำมันพริกแก้ขัดไปก่อนก็แล้วกัน!
ยามนี้เข้าสู่ช่วงกลางฤดูเหมันต์ อากาศจึงค่อนข้างเหน็บหนาวเป็นอย่างยิ่ง จ้าวไป๋ลู่กำลังนั่งอยู่ในรถม้า มือทั้งสองข้างของนางกอดเตาผิงเอาไว้เพื่อช่วยให้ความอบอุ่น ชุดคลุมขนจิ้งจอกที่มารดาสั่งตัดให้นาง ยังช่วยเพิ่มความอบอุ่นได้เป็นอย่างดี
ฮูหยินหลิวอิ๋งยื่นมือไปเปิดผ้าม่านออกเล็กน้อย ก่อนจะหันมาเอ่ยกับจ้าวไป๋ลู่
"ไป๋ไป๋ ยามเมื่อถึงจวนโหวแล้ว เจ้าจงรักษากิริยาให้ดี สิ่งใดควรมิควรต้องจดจำให้ขึ้นใจ"
"เจ้าค่ะท่านแม่ โอ๊ะ!!! ฮ่า ๆ ๆ ๆ มันร่วงจากปากข้า ฮ่า ๆ ๆ ๆ"
จ้าวไป๋ลู่กำลังอ้าปากงับถังหูลู่ที่สาวใช้ส่งมาให้ แต่ทว่ามันกลับร่วงลงจากปากของนางไปเสียแล้ว นางจึงเผลอหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน แต่ทว่าเมื่อหันไปพบกับสายตาเย็นเยียบของผู้เป็นมารดา นางจึงยกมือขึ้นปิดปากตนเองทันที
ท่านแม่ของนางดีไปหมดทุกสิ่งอย่าง เสียอย่างเดียวคือเป็นสตรีที่ค่อนข้างเจ้าระเบียบ ท่านพ่อเคยบอกกับนางว่า เพราะท่านแม่มาจากตระกูลชาวนา ยามเมื่อมีหน้ามีตาจึงเกรงว่าจะทำให้ท่านพ่อขายหน้าเอาได้ ท่านแม่จึงตั้งใจศึกษากฎระเบียบและกิริยาของสตรีชั้นสูงอย่างเคร่งครัด
ให้ตายเถิด! นางอึดอัดที่สุดเลย
"เอ่ยยังมิทันขาดคำ เจ้าก็เป็นเช่นนี้เสียแล้ว เป็นสตรีเหตุใดจึงอ้าปากหัวเราะเช่นนั้น น่ารังเกียจยิ่งนัก"
ยิ่งบ่นด่าบุตรสาวนางก็ยิ่งโมโห เมื่อสองปีก่อน จ้าวไป๋ลู่เป็นสตรีที่เรียบร้อยอ่อนหวานกิริยางดงาม เหตุใดพอเริ่มเติบโตกลับเป็นเช่นนี้ไปเสียได้
"ท่านแม่ ข้าจะไม่หัวเราะอีกแล้ว"
"หึ!!! เอาเถิด เมื่อไปถึงจวนโหวแล้ว แม่จะพาเจ้าไปทำความเคารพองค์หญิงหงลี่"
ฮูหยินหลิวอิ๋งเอ่ยเพียงเท่านี้ไม่ได้เอ่ยวาจาใดต่อ แท้จริงแล้วในจดหมายขององค์หญิงหงลี่นั้น มิได้เพียงชวนพวกนางสองแม่ลูกมาชมดอกเหมยเพียงอย่างเดียว แต่กลับจะเจรจาทาบทามสู่ขอจ้าวไป๋ลู่ให้แต่งงานกับบุตรชายของตน
นางเองมิใช่ว่าไม่ดีใจ นางดีใจมากเสียด้วยซ้ำที่องค์หญิงให้เกียรตินางให้เกียรติตระกูลจ้าวถึงเพียงนี้ แต่เมื่อมองเห็นท่าทีเดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวหัวเราะของบุตรสาว นางก็ปวดใจยิ่งนัก
รถม้าหยุดลงที่หน้าประตูจวนโหวตระกูลหลี่ ฮูหยินหลิวอิ๋งและจ้าวไป๋ลู่ก็เดินลงมาจากรถม้า มีสาวใช้มารอต้อนรับ ก่อนจะพาพวกนางสองแม่ลูกตรงเข้าไปในเรือนใหญ่ทันที
เสียงพิณบรรเลงบทเพลงชวนเคลิบเคลิ้ม จ้าวไป๋ลู่มองดูรอบจวนด้วยความตื่นเต้น ที่นี่ปลูกต้นไม้ดอกไม้ไว้เต็มไปหมด แต่ยามนี้เห็นทีคงจะมีเพียงดอกเหมยที่ออกดอกบานสะพรั่งสวยงาม จ้าวไป๋ลู่ยื่นมือไปรองหิมะที่โปรยปรายลงมาก่อนจะเผยรอยยิ้มจนเห็นลักยิ้มทั้งสองข้างของนาง
เดินต่ออีกสักพักก็มาถึงเรือนใหญ่ ยามนี้มีเหล่าคุณหนูจากตระกูลสูงศักดิ์มากมายกำลังร่วมชมดอกเหมยและรับฟังบทเพลงจากพิณที่ขับกล่อมชวนเสนาะหู
"อิ๋งเอ๋อร์เจ้ามาแล้ว"
"ถวายพระพรองค์หญิงเพคะ"
"จะมากพิธีไปไยกัน รีบมานั่งกับข้า เอ่อ แล้ว นี่คือ..."
"ทูลองค์หญิง นี่คือ จ้าวไป๋ลู่ บุตรสาวของหม่อมฉันเพคะ"
"โอ้วว ไป๋ไป๋เติบโตถึงเพียงนี้แล้ว อีกทั้งยังงดงามมากอีกด้วย"
องค์หญิงหงลี่เอ่ยชมจ้าวไป๋ลู่มิขาดปาก จ้าวไป๋ลู่เองก็จำที่ท่านแม่สอนนางมาได้เป็นอย่างดี จึงทำความเคารพได้อย่างงดงามอ่อนช้อย จนองค์หญิงหงลี่พยักหน้าอย่างชื่นชม
ความสัมพันธ์ขององค์หญิงหงลี่และมารดาของจ้าวไป๋ลู่นั้นค่อนข้างสนิทสนม พวกนางเป็นสหายที่ดีต่อกันมาตั้งแต่วัยเยาว์
เมื่อยี่สิบปีก่อน องค์หญิงหงลี่ตกหลุมรักซื่อจื่อจวนโหว ซึ่งก็คือสามีของนางในยามนี้ นางจึงออกจากวังไปตามหาเขา แต่ระหว่างทาง กลับถูกพวกบ้าตัณหาคิดฉุดคร่าลวนลาม โชคดีที่ได้รับความช่วยเหลือจากหลิวอิ๋งและครอบครัว นางจึงรอดพ้นหายนะครานั้นมาได้ ความช่วยเหลือนี้ก่อเกิดความสัมพันธ์ที่ดีเสมอมา ทำให้พวกนางเป็นสหายรักกันนับตั้งแต่วันนั้น และยังสัญญากันเอาไว้ว่าหากมีบุตรสาวบุตรชายจะให้แต่งงานกันอีกด้วย
ท่าทีที่องค์หญิงหงลี่มีต่อนาง สร้างความริษยาให้แก่คุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ไม่น้อย โดยเฉพาะ หนิงเสวี่ย
หนิงเสวี่ยเป็นบุตรสาวของจวนตระกูลหนิง บิดาของนางเป็นถึงเสนาบดีกรมพระคลัง พี่ชายของนางก็เป็นบัณฑิตผู้เลื่องชื่อ สอบได้ที่หนึ่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังก้าวหน้า กำลังจะได้เป็นอาจารย์ในสำนักศึกษาหลวงกั๋วจื่อเจี้ยนอีกด้วย
และนางเองก็เป็นคนรักของหลี่รั่วหาน ซื่อจื่อแห่งจวนโหว คุณชายใหญ่แห่งจวนตระกูลหลี่ บุตรชายขององค์หญิงหงลี่
ท่าทีที่องค์หญิงหงลี่มีต่อสองแม่ลูกนั้นช่างอ่อนโยนและสนิทสนม ต่างจากทุกคราที่พบเจอนาง องค์หญิงหงลี่กลับเว้นระยะห่างจนนางมิอาจเข้าถึง
หวังเจียหมิ่นเดินถือกล่องใส่อาหารไว้ในมือ ก่อนจะเดินขึ้นไปบนวัดไป๋หม่า เขาทำเช่นนี้มาร่วมปี เขาเองก็เต็มใจทำโดยไม่เคยปริปากบ่นแม้เพียงน้อยเสียงกวาดพื้นดังมาเป็นระยะ หวังเจียหมิ่นจ้องมองสตรีตรงหน้าที่ยามนี้นางเกล้าผมอย่างเรียบร้อย สวมเพียงเสื้อผ้าธรรมดา กำลังถือไม้กวาดกวาดใบไม้อย่างตั้งใจนางคือหลี่หลานฮวา หรือก็คือ หนิงเสวี่ย นั่นเอง นางเสียสติอยู่ร่วมปี กว่าจะทำใจยอมรับเรื่องราวก่อนหน้านี้ได้ มันไม่ง่ายเลยจริง ๆ ที่นางจะยอมรับว่านางกับหลี่รั่วหานเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน และไม่ง่ายเลยกว่านางจะยอมรับว่าสตรีที่นางเกลียดชังนักหนา แท้จริงแล้วคือมารดาผู้ให้กำเนิดนาง แม้จะเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยาก แต่ในท้ายที่สุดนางก็ทำใจยอมรับมันได้ แม้จะต้องใช้เวลาบ้างก็ตาม นางอุทิศตัวให้พระโพธิสัตว์ ชาตินี้จะขอสร้างบุญเพื่อไถ่บาปกรรมที่นางเคยทำเอาไว้ทั้งหมด แม่ทัพใหญ่หลี่ องค์หญิงหงลี่และหลี่รั่วหานยังคงมาเยี่ยมนางอยู่เสมอ พวกเขายังคงพูดกับนางเหมือนเช่นทุกครา ว่ายังรอวันที่นางจะยินดีกลับจวนโหวอีกครั้ง ซึ่งนางเองก็ยังไม่รู้ว่าวันนั้นจะมาถึงเมื่อใดนางรู้สึกผิดต่อทุกคน ด้วยความรู้สึกผิดในใจนางจึงเล
จ้าวไป๋ลู่ยื่นน้ำตาลก้อนหนึ่งให้หลี่รั่วหานเพื่อให้เขาใช้แก้อาการแสบร้อนในปาก เขารีบยัดน้ำตาลก้อนนั้นเข้าปากทันที ยามนี้ปากของเขาบวมราวกับโดนฝูงผึ้งรุมต่อย สร้างความขบขันให้แก่นางไม่น้อย "หลี่รั่วหาน" "หืม" "ท่านพ่อท่านแม่ข้าบอกข้าว่า พวกเขาชอบท่านมาก" "จริงหรือ?" "จริงสิ แต่จะให้ข้ากลับเข้าจวนไปง่าย ๆ ก็คงจะไม่ดีเท่าใดนัก" "จ้าวไป๋ลู่ เรามาแต่งงานกันอีกรอบเถิด!!!" "ท่านว่าอย่างไรนะ" "ข้าจะแต่งงานกับเจ้าอีกรอบ เรามาแต่งงานกันเถอะ" "หลี่รั่วหาน ท่านแน่ใจแล้วหรือ ว่าจะแต่งกับข้าอีกครั้ง" "แน่ใจสิ""หากข้าไม่ได้อ่อนโยนเหมือนแต่ก่อนเล่า ไม่ใช่คนที่ท่านสามารถเอาเปรียบได้เช่นแต่ก่อนอีกเล่า" "ข้าก็ยังยืนยันที่จะแต่งกับเจ้าเช่นเดิม" "ท่านจะไม่โกหกข้า ไม่ทำร้ายข้าอีกครั้งใช่หรือไม่" "ข้าจะไม่มีวันทำให้เจ้ากับลูกเสียใจอีกเป็นอันขาด" "หากท่านผิดสัญญา ข้าจะไม่กลับไปหาท่านอีก" "ห้าปีที่ข้ารอเจ้า มันเป็นบทเรียนชั้นดีที่สอนข้าอย่างสาหัสแล้วจ้าวไป๋ลู่" "ตกลง เช่นนั้นข้าจะแต่งงานกับท่านอีกครา" "จริงหรือ เจ้าพูดจริงหรือ!!!" "หน้าข้าเหมือนคนโกหกหรือ?" "ก็ข้าคิดว่าเจ้า..." "หุบปาก!!!"
จวนตระกูลจ้าวหลี่รั่วหานมาตามที่ตกลงกับจ้าวไป๋ลู่เอาไว้ ยามนี้เขากำลังนั่งตัวเกร็งอยู่ที่ห้องโถงด้านในจวนตระกูลจ้าว อดทนกับสายตากดดันของจ้าวเยียน ฮูหยินหลิวอิ๋ง และจ้าวเฉียน ที่มองเขาด้วยแววตาที่เย็นเยียบแต่เพื่อนางกับลูกเขายอม จ้าวเยียนปรายตามองหลี่รั่วหานคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา "ซื่อจื่อ ท่านแน่ใจแล้วหรือ ที่จะลดตัวลงมาหาพวกเรา" "แน่ใจขอรับ ข้าเต็มใจทำทุกสิ่งเพื่อจ้าวไป๋ลู่กับลูก" "ก็ดี ท่านทำอาหารเป็นหรือไม่ แม่ครัวเก่าเพิ่งจะลาออกไป ฮูหยินข้ากำลังอยากได้ลูกมือทำครัวอยู่พอดี" "ได้เลยขอรับ" ฮูหยินหลิวอิ๋งปรายตามองหลี่รั่วหานคราหนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดถึงจดหมายที่องค์หญิงหงลี่ส่งมาให้นาง ในจดหมายเขียนเอาไว้ว่า จัดการให้หนัก! ยามนี้นางกับองค์หญิงหงลี่ปรับความเข้าใจกันด้วยดีแล้วหลี่รั่วหานเดินตามฮูหยินหลิวอิ๋งเข้ามาในโรงครัว ก่อนจะจ้องมองนางที่กำลังหยิบมีดคมขึ้นมาถือเอาไว้ ในใจของเขาก็รู้สึกเย็นวาบแปลก ๆ "มีดนี่คมมาก ข้าใช้มันหั่นเนื้อเป็นประจำ เป็นมีดประจำตัวของข้า เดิมทีข้าอยากส่งต่อมันให้กับจ้าวไป๋ลู่ ซื่อจื่อท่านรู้หรือไม่ว่า เหตุใดข้าจึงอยากส่งต่อมีดนี้ให้บุตรสาวของข้า"
ยามนี้เหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ในความสงบแล้ว ทุกคนกลับไปใช้ชีวิตปกติเหมือนเช่นเคย และมีเรื่องที่น่ายินดีอีกเรื่องหนึ่งนั่นก็คือ เซียวถงกำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับสวีลั่วลั่ว ทั้งสองพบรักกันเมื่อหนึ่งปีก่อนจ้าวไป๋ลู่ยินดีกับทั้งสองเป็นอย่างมาก และนางดีใจที่เซียวถงจะมีสตรีที่ดีพร้อมมาคอยดูแลเสียที ส่วนนางเองก็ยังไม่ได้ใจอ่อนกับหลี่รั่วหาน แม้ว่าเขาจะพยายามตามง้อนางก็ตาม ยามนี้จ้าวหยางอายุได้สี่ขวบปีแล้ว เป็นวัยที่กำลังช่างพูดช่างคุย บางคราเขาตื่นมาชวนนางคุยกลางดึกก็เคยทำมาแล้ว วันนี้เป็นวันมงคลของเซียวถงและสวีลั่วลั่ว จ้าวไป๋ลู่พาจ้าวหยางไปร่วมงานในครานี้ด้วย งานเลี้ยงจัดอย่างยิ่งใหญ่ ผู้คนต่างมาร่วมยินดีกับบ่าวสาวกันมากมายจ้าวไป๋ลู่มองดูเซียวถงกับสวีลั่วลั่วที่หยอกล้อกันตามประสาคู่แต่งงานก็เผลอยิ้มออกมาเล็กน้อย งานแต่งของนางไม่เคยมีความทรงจำเหล่านี้อยู่เลยแม้แต่น้อย "ไป๋ไป๋" จ้าวไป๋ลู่ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหันไปพบหลี่รั่วหานที่เดินมาพร้อมกับหลัวเทียนเฉิน นางเพียงมองเขาแต่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา "แม่นางไป๋ไป๋ ดีใจที่ได้พบเจ้าอีกครา" "ใต้เท้าหลัว" "อย่าเรียกบ่อย ข้ากลัวจะตกหลุมรักเจ้
เว่ยจิ่นซางหยิบยาพิษออกมาจากในอกเสื้ออีกขวดหนึ่ง ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาองค์หญิงหงลี่ช้า ๆ "ตายซะเถอะ ในที่สุดข้าก็ล้างแค้นได้สำเร็จสักที" ฉึก! ยังไม่ทันที่เว่ยจิ่นซางจะสังหารองค์หญิงหงลี่ได้สำเร็จ มีดเล่มหนึ่งก็แทงเข้ามาที่แผ่นหลังของนางทะลุมาที่หน้าท้อง เมื่อนางหันกลับไปช้า ๆ จึงได้พบว่าเป็นฝีมือของหนิงเสวี่ย "นะ!!! นังชั่ว นังเนรคุณ!!!" "ฮือออออ" หนิงเสวี่ยแทงมีดจนสุดด้าม ก่อนจะทิ้งกายลงนั่งบนพื้นแล้วปิดหน้าร้องไห้โฮออกมาอย่างเจ็บปวดเว่ยจิ่นซางตกตายด้วยมีดเล่มนั้นของหนิงเสวี่ย"ท่านแม่!!!"ด้านนอกมีเสียงการต่อสู้ดังขึ้น ก่อนจะมีคนเปิดประตูพุ่งเข้ามา เป็นหลี่รั่วหานนั่นเอง เขามองสภาพศพของเว่ยจิ่นซางที่นอนตายอยู่บนพื้นดวงตาเบิกกว้าง ข้าง ๆ กันมีหนิงเสวี่ยที่นั่งร้องไห้อยู่ เขาไม่มีเวลาสนใจหนิงเสวี่ยมากนัก เขารีบวิ่งเข้าไปแก้มัดให้องค์หญิงหงลี่ ก่อนจะเดินเข้าไปหาจ้าวไป๋ลู่และลูกที่นอนหลับไม่ได้สติอยู่ข้าง ๆ กัน"ไป๋ไป๋!!!" "นางสลบไม่ได้สติมาหลายชั่วยามแล้ว" เสียงของหลี่รั่วหานปลุกหนิงเสวี่ยให้ตื่นจากความสับสนและหวาดกลัวในจิตใจ นางค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นไปมองเขาช้า ๆ เมื่อเขาหันมาส
นางกรอกยาพิษทั้งที่มือก็สั่นไม่น้อย ยิ่งได้เห็นแววตาที่แข็งกระด้างขององค์หญิงหงลี่ที่มองมา มือนางก็สั่นมากยิ่งขึ้น จนทำยาพิษหกลงพื้นไปเสียดื้อ ๆ องค์หญิงหงลี่กินยาพิษนั้นไปไม่ถึงครึ่งขวดด้วยซ้ำ แต่นางก็กระอักโลหิตสีดำออกมาไม่น้อย เว่ยจิ่นซางที่ได้เห็นเช่นนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะสะใจออกมาอย่างบ้าคลั่ง แปะ แปะ แปะ หนิงเสวี่ยกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ก่อนจะหันไปมองเว่ยจิ่นซาง "ท่านแม่" เว่ยจิ่นซางหันมามองหนิงเสวี่ยด้วยสายตาที่เย็นชา "ผู้ใดเป็นแม่เจ้ากัน?" "เอ๋? ท่านแม่ เหตุใดท่านจึงเอ่ยวาจาเช่นนี้เจ้าคะ ข้าไม่เข้าใจ" เว่ยจิ่นซางปรายตามองหนิงเสวี่ยอย่างดูแคลน แววตาที่เคยมองนางประดุจลูกในไส้ แววตาที่อ่อนโยนเลือนหายไปจนหมดสิ้น ยามนี้มีเพียงความเกลียดชังเข้ามาแทนที่ นางทุ่มเทแรงกายแรงใจ รอเวลานี้มานานเหลือเกิน นางรอจนกระทั่งถึงวันนี้!!! "ฮ่า ๆ ๆ ๆ การได้มองเห็นบุตรสาวกำลังฆ่ามารดาของตนเองกับมือ ช่างเป็นภาพที่งดงามเสียจริง ๆ" เว่ยจิ่นซางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่มีความสุข หนิงเสวี่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ด้านองค์หญิงหงลี่ที่ได้ยินเว่ยจิ่นซางเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา ใจของนางก็เต้นแรงอย่างบ