“เพียะ!”ในขณะที่เวินหย่าลี่ส่ายหน้าปฏิเสธอย่างบ้าคลั่ง รีบปัดความรับผิดชอบออกจากตัว เวินซื่อก็สะบัดฝ่ามืออย่างไม่ลังเล ตบลงบนใบหน้าของเวินหย่าลี่อย่างแรงตบเสียจนเครื่องสำอางของนางเลอะ แก้มแดงก่ำเวินหย่าลี่เอามือกุมหน้า เงยหน้าขึ้นมองนางอย่างรวดเร็ว “เวินซื่อ! เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ที่นี่คือวังหลวง! เจ้ากล้าตบข้าอีกได้อย่างไร?!”“อย่าว่าแต่ที่นี่เลย ต่อให้อยู่ต่อหน้าไทเฮาและฝ่าบาท วันนี้ข้าก็จะตบหน้าท่าน”เวินซื่อมองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง “เวินหย่าลี่ ในตอนนั้นท่านได้เป็นฮูหยินจงหย่งโหวสมใจ ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ประสบความสำเร็จในชีวิต มีความสุขกับชีวิต ตอนนี้ผ่านไปสิบกว่าปี ท่านเคยรู้สึกซาบซึ้งในความดีของท่านแม่ข้าที่มีต่อท่าน? บุญคุณที่มีต่อท่านหรือไม่?”เวินหย่าลี่ได้ยินดังนั้นก็ชะงักไปนางอ้าปากค้างเหมือนจะไม่ยอมรับและอยากจะโต้แย้งอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายกลับพูดอะไรไม่ออกสักคำเวินซื่อมองดูท่าทางของนาง ก็ยิ่งรู้สึกหดหู่ใจแทนท่านแม่ของนาง “ดูเหมือนว่าท่านแม่ของข้าในตอนนั้นจะตาบอด มองคนผิดไปจริงๆ”สายตาที่นางมองเวินหย่าลี่นั้น ก็เหมือนขาดแค่ด่าทอว่า “คนเนรคุณ” ออก
จู่ๆ เวินซื่อก็หัวเราะออกมาเสียงหัวเราะนั้นเย็นชาเหลือเกินเย็นชาจนทำให้เวินหย่าลี่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีชั่วขณะหนึ่ง ในใจของนางเกิดความรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมานางหวาดกลัวจนไม่กล้าพูดอะไรต่อ“เอาละๆ ข้าจะไปดูเวินเยวี่ยแล้ว ถ้าเจ้าไม่อยากไป ข้าไปเองก็ได้ เจ้าไปเถอะ ”ตอนนี้เวินหย่าลี่ก็ไม่กล้าพาเวินซื่อไปพบเวินเยวี่ยแล้วหากไม่ใช่เพราะพี่ชายของนาง ป่านนี้นางคงหันหลังกลับไปแล้วเวินซื่อมองนางอย่างเฉยเมย ไม่ได้พูดอะไรในเวลานี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้ามั่นคงและทรงพลังดังมาจากข้างหน้าเวินหย่าลี่เงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่รู้ตัว แต่พอเห็นก็เกือบจะตกใจจนวิญญาณหลุดออกจากร่าง“อ๊า! เลือด! เลือดเยอะมาก!”คนที่เดินเข้ามาไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเป่ยเฉินหยวนที่เข้ามาในวังพร้อมกับเวินซื่อเมื่อครู่เขาหายตัวไป ตอนนี้ปรากฏตัวขึ้น บนใบหน้า มือ และเสื้อผ้าล้วนเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดราวกับเพิ่งจะฆ่าคนเสร็จในสถานที่เกิดเหตุดูเหมือนว่าจะเป็นเลือดสดๆ ด้วยเนื่องจากตอนที่เป่ยเฉินหยวนเดินออกมา ก็ยังคงใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดไปด้วย เมื่อเช็ดเสร็จแล้วผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดก็เปียกชุ่มไปด้วยเลือดเป่ยเฉินหยวน
“เป็นไปไม่ได้ เวินซื่อและเป่ยเฉินหยวนพวกเขาจะกล้าได้อย่างไร?”สีหน้าของเวินเฉวียนเซิ่งแสดงความตกตะลึงและเคลือบแคลงใจ จากนั้นก็หันไปมองเวินหย่าลี่ แล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เจ้าแน่ใจนะว่าเห็นกับตาตัวเอง?”เวินหย่าลี่ร้องไห้ฟูมฟายอยู่ในรถม้า เมื่อได้ยินคำถามของเวินเฉวียนเซิ่ง นางไม่กล้าบอกว่าตอนนั้นนางตกใจกลัว จนวิ่งหนีออกไปจึงตอบอย่างคลุมเครือด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย “แน่นอนว่าเห็นกับตาสิ! เพียงแต่ว่า...แต่ว่าเลือดเยอะเกินไป ข้าไม่กล้าเข้าไปยืนยัน ก็เลยไม่รู้ว่า...ไม่รู้ว่าตายจริงหรือไม่”“เจ้า!”เวินเฉวียนเซิ่งโกรธมาก ยกมือขึ้นชี้ไปที่นางแล้วกล่าวว่า “นั่นหลานสาวแท้ๆ ของเจ้า! เจ้าทิ้งนางแล้ววิ่งหนีไปอย่างนั้นหรือ?!”“ข้าก็กลัวว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนนั่นจะฆ่าข้าด้วยน่ะสิ!”เวินหย่าลี่เอ่ยขึ้นอย่างไม่ค่อยมีเหตุผลแต่ก็เสียงดัง “ถ้าข้าถูกฆ่าไปด้วย ท่านก็ขาดน้องสาวแท้ๆ ไปอีกคนมิใช่หรือ!”“ฆ่าอะไรกัน! เป่ยเฉินหยวนนั่นไม่กล้าฆ่าเจ้าหรอก! เจ้าเป็นฮูหยินของจวนจงหย่งโหว ทั้งยังเป็นน้องสาวแท้ๆ ของข้าเจิ้นกั๋วกง ตราบใดที่เจ้าไม่ได้ทำผิดร้ายแรง ต่อให้เป่ยเฉินหยวนเป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราช
อย่างไรเสียคนในราชสำนักจำนวนมากต่างรู้ว่า เป่ยเฉินหยวนมีโรคประจำตัวชนิดหนึ่ง ทุกครั้งที่โรคกำเริบ เขาก็จะเสียสติ กลายเป็นคนบ้าคลั่งทำร้ายคนรอบข้างหมอหลวงบอกว่าโรคนี้เป็นเพราะฆ่าคนในสนามรบมากเกินไปจึงทำให้เกิดอาการแทรกซ้อน ดังนั้นฝ่าบาทจึงมีรับสั่งห้ามมิให้ผู้ใดพูดถึงเรื่องนี้ และผู้ที่บังอาจล่วงเกินขุนนางผู้มีความดีความชอบเพราะเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็จะถูกประหารชีวิตโดยไม่มีข้อยกเว้นดังนั้น นอกจากคนในราชสำนักแล้ว คนภายนอกจึงมีน้อยคนที่รู้ว่า ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้สง่าผ่าเผยท่านนี้ แท้จริงแล้วเป็นคนบ้าเวินเฉวียนเซิ่งอดกังวลไม่ได้ว่า หากเป่ยเฉินหยวนนั่นจู่ๆ เกิดโรคกำเริบขึ้นมาในตำหนักฉือหนิงของไทเฮา...ไม่ หรืออาจจะไม่ใช่โรคกำเริบจริงๆแต่เป็น “ลูกสาวผู้แสนดี” ของเขาที่สมรู้ร่วมคิดกับเป่ยเฉินหยวน อยากจะใช้เหตุนี้เป็นข้ออ้างเพื่อกำจัดเยวี่ยเอ๋อร์!เวินเฉวียนเซิ่งยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้มากเพราะเขารู้ว่าตอนนี้เวินซื่อเกลียดเวินเยวี่ยมากตั้งแต่ตอนที่เยวี่ยเอ๋อร์ไปยุ่งกับศพของหลานจื่อจวิน ระหว่างลูกสาวทั้งสองคนของเขา ก็กลายเป็นสถานการณ์ที่ไม่จบไม่สิ้นจนกว
เวินเฉวียนเซิ่งที่ได้ยินคำพูดนี้ชะงักฝีเท้าลง แล้วหันศีรษะกลับมาจ้องมองเวินซื่อด้วยสายตาเฉียบคม“เป่ยเฉินหยวนล้มป่วยลงแล้วใช่ไหม?”เวินเฉวียนเซิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่เร่งรีบ “ดังนั้นตอนนี้เขาถึงมาอยู่ที่นี่”เวินซื่อคิดในใจ: เป็นไปดังคาด เวินเฉวียนเซิ่งก็รู้เรื่องอาการป่วยของอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนเช่นกันดังนั้นจึงนั่งไม่ติดและวิ่งมาหานางเช่นนี้อันที่จริง เมื่อวานนี้เวินซื่อขอให้เป่ยเฉินหยวนช่วยนางแสดงละครฉากหนึ่ง ทำให้เวินเฉวียนเซิ่งคิดว่าเวินเยวี่ยเกิดเรื่องขึ้นในตำหนักฉือหนิง กระตุ้นให้เขามาหาถึงเรือนด้วยตัวเองแต่พอนางพูดไปเช่นนั้น เป่ยเฉินหยวนก็เสนอวิธี “แกล้งบ้า” ขึ้นมาทันที“เจิ้นกั๋วกงรู้เรื่องอาการป่วยของข้า ดังนั้นขอเพียงทำให้เขาคิดว่าข้าคลุ้มคลั่งในตำหนักฉือหนิงจริง ๆ เขาก็จะนั่งไม่ติด”เดิมทีเวินซื่อไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะถึงอย่างไรหากเรื่องนี้ลุกลามใหญ่โต ต่อไปทุกคนก็จะรู้เรื่องความเจ็บป่วยของเป่ยเฉินหยวนแต่เป่ยเฉินหยวนกลับบอกว่า “ท่านคิดว่าคนพวกนั้นไม่รู้หรือ? พวกเขาแค่ไม่กล้าพูดเท่านั้น”เมื่อเผชิญหน้ากับขุนนางผู้สร้างคุณูปการแก่ประเทศชาติแห่งราชวงศ์หมิงผู้นี้ ใ
“เขาก็คือเจิ้นกั๋วกงผู้นั้นใช่ไหม?”“เขานั่นแหละ เมื่อก่อนตอนที่ธิดาศักดิ์สิทธิ์สวดขอพรให้แว่นแคว้นที่เมืองหลวงข้าเคยเห็นมาก่อน เขาก็คือเจิ้นกั๋วกงที่ขับไล่ธิดาศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราออกจากบ้าน ซ้ำยังตัดชื่อออกจากลำดับเครือญาติเพื่อสนับสนุนลูกสาวนอกสมรสของเขา”“เอ๋? แต่ทำไมข้าได้ยินมาว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ทนความลำเอียงของจวนเจิ้นกั๋วกงไม่ไหวถึงได้ออกมา?”“เฮ้อ มันก็เหมือนกันนั่นแหละ ถึงอย่างไรคนของจวนเจิ้นกั๋วกงก็รังแกธิดาศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา เรื่องเมื่อก่อนนั้นพวกเจ้าไม่เคยได้ยินหรือ? คุณชายคนหนึ่งจากจวนเจิ้นกั๋วกงถึงกับบุกเข้าไปในอารามสุ่ยเยว่และทุบตีธิดาศักดิ์สิทธิ์ต่อหน้าธารกำนัล เพื่อแก้แค้นให้ลูกสาวนอกสมรส!”“โอ้สวรรค์ เป็นคนอย่างไรกันนะ ทุบตีน้องสาวแท้ ๆ ของตัวเองเพื่อน้องสาวที่เป็นลูกนอกสมรส”“เชื้อไม่ทิ้งแถวจริง ๆ”“ฉวยโอกาสรังแกธิดาศักดิ์สิทธิ์ของเราในขณะที่ท่านอ๋องไม่อยู่ ไม่สนใจว่าพวกเรามากมายเช่นนี้จะเห็นด้วยหรือไม่!”คนที่ได้ยินว่าเวินเฉวียนเซิ่งเข้ามาข่มขู่เวินซื่อก่อนหน้านี้พากันเอ่ยอย่างโกรธเคือง“อย่าคิดว่าท่านเป็นเจิ้นกั๋วกงแล้วพวกข้าจะเกรงกลัวท่าน!”“หากวันนี้ท
ประโยคนี้ที่เต็มไปด้วยข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นธรรม กินเวลานานถึงสองชั่วอายุคนจากชาติที่แล้วจนถึงชาตินี้ ในที่สุดนางก็มีโอกาสได้พูดออกมานางมองไปยังคนตรงหน้าที่เคยสูงใหญ่สง่างามในสายตาของนาง การแสดงออกทางสายตาได้เปลี่ยนไปจากความชื่นชมศรัทธาไปเป็นความเกลียดชังในวันนี้“ตบนางแล้ว...เจิ้นกั๋วกงตบนางแล้ว...”“เจิ้นกั๋วกงตบธิดาศักดิ์สิทธิ์จริงหรือ?!”“คุณพระ! ธิดาศักดิ์สิทธิ์!”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์ ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม?!”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์รีบไปทางด้านหลัง รีบไปซ่อนตัวไว้!”บรรดาประชาชนในร้านขายยาต่างมีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมา รีบกรูกันเข้าไป ปกป้องเวินซื่อให้อยู่ทางด้านหลังบรรดาผู้ดูแลที่อยู่ในร้านขายยาต่างมองดูเวินเฉวียนเซิ่งอย่างระแวดระวัง “ท่านเจิ้นกั๋วกง วันนี้ร้านขายยาของเราปิดรับลูกค้าแล้ว เรียนเชิญท่านออกไป!”“หากท่านไม่พอใจพวกเรา ก็ไปหานายของพวกเราได้ตามสบาย นายของเราคือหนิงหย่วนโหวแห่งลู่โจวเมื่อได้ยินคำพูดนี้ เวินเฉวียนเซิ่งก็เหลือบมองผู้ดูแลร้านขายยาผู้นี้ที่อยู่ตรงหน้าในที่สุดหนิงหย่วนโหวแห่งลู่โจว เป็นบุคคลโหดเหี้ยมที่อาศัยความเป็นสถานที่ไกลปืนเที่ยงอย่างแท้จริง ทั้งยังควบ
“พวกท่านคงได้ข่าวกันหมดแล้วใช่ไหม?”“ก็ต้องได้ข่าวมาอยู่แล้ว ตอนนี้มีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าเมื่อวานเกิดเรื่องอะไรขึ้น!”“แล้วมันเป็นการตบจริงหรือว่าตบหลอก?”“ก็ต้องตบจริงแน่นอนอยู่แล้ว เมื่อวานลุงของอาของลูกเขยของแม่สามีของหลานสาวของครอบครัวลุงสามของข้าเห็นกับตาตัวเอง ตอนนั้นตาเฒ่าได้ถือไม้เท้าวิ่งออกไปปกป้องอยู่ข้างหน้าธิดาศักดิ์สิทธิ์ ปรากฏว่าเจิ้นกั๋วกงนั่นผลักเขาออกไปเลย ไม้เท้าก็ถูกเขาปัดทิ้งไป จากนั้นเจิ้นกั๋วกงนั่นก็เข้าไปตบธิดาศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหมดนี้ตาเฒ่าพูดขึ้นเอง เห็นกับตาตัวเอง ประสบด้วยตัวเอง จะเป็นเรื่องหลอกได้อย่างไร?”“แล้วยังได้ยินมาว่าเป็นการแก้แค้นให้ลูกสาวนอกสมรสของเขา!”“สวรรค์ ท่านเจิ้นกั๋วกงลำเอียงถึงขั้นนี้แล้วจริง ๆ ทำเกินไปหน่อยกระมัง!”“ไม่เพียงเท่านี้นะ เจิ้นกั๋วกงนั่นยังจงใจเลือกที่จะไปหาธิดาศักดิ์สิทธิ์ในตอนที่อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนไม่อยู่ อีกอย่างว่ากันว่าตอนนั้นเขายังคิดจะพาธิดาศักดิ์สิทธิ์ไปด้วย แต่ธิดาศักดิ์สิทธิ์ฉลาดมีไหวพริบ อยู่ในร้านขายยาแห่งนั้นไม่ออกไปข้างนอก เขาถึงกระทำแผนชั่วไม่สำเร็จ ไม่เช่นนั้นก็ยังไม่รู้ว่าหากธิดาศักดิ์สิทธิ์ถูกพาตัวไป จะ
“โอ๊ย!”เวินเยวี่ยร้องอุทานออกมาโดยพลัน ราวกับตกใจอะไรบางอย่าง พลางคว้าแขนของเวินจื่อเยวี่ยไว้ จากนั้นก็หันหลังแล้วกระโจนเข้าไปในอ้อมอกของเขา“พี่สาม พี่หญิงเนี่ยนฉือจะตีเยวี่ยเอ๋อร์อีกแล้ว เยวี่ยเอ๋อร์กลัว!”เวินเยวี่ยมีสีหน้าร้องไห้หวาดกลัว ร้องไห้ดั่งลูกสาลี่ตากน้ำฝน เห็นแล้วก็น่าเอ็นดูเวินจื่อเยวี่ยที่รู้สึกสงสารรีบเอื้อมมือออกไปปกป้องนางไว้ “น้องหกไม่ต้องกลัว มีพี่สามอยู่ พี่หญิงเนี่ยนฉือของเจ้าจะไม่มีทางตีเจ้าอีก”แม้ว่าเมื่อครู่เวินเยวี่ยจะพูดคำเหล่านั้นเพื่อยุแยงตะแคงรั่ว แต่ก็ไม่นึกว่าคำพูดปลอบโยนของเวินจื่อเยวี่ย กลับทำให้นางอดแสยะมุมปากไม่ได้ดวงตาท่านบอดหรืออย่างไร?ไม่เห็นหรือว่านางเฆี่ยนตีข้าต่อหน้าท่านไปแล้วหนึ่งครั้ง?ท่านกล้าพูดได้อย่างไรว่านางจะไม่ตี?เวินเยวี่ยโกรธจัดจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันในใจไร้ประโยชน์ ถ้าไม่ใช่เพราะยังท่านมีประโยชน์อยู่เล็กน้อย ท่านคิดว่าข้าจะยังเก็บท่านไว้หรืออย่างไร?!เวินเยวี่ยกลัวว่าหลินเนี่ยนฉือจะลงมืออีกครั้ง จึงรีบคว้าเวินจื่อเยวี่ยไว้ ตัวเองซุกอยู่ในอ้อมอกของเขา ปล่อยให้เขาใช้ร่างกายกำบังให้ทำแบบนี้ นางอยากดูว่าหลินเนี่ยนฉือยังก
นั่นคือช่วงเวลาที่เขามีความสุขที่สุดตั้งแต่เด็กจนโตแต่ตอนนี้ เขากลับถูกบังคับให้ลงนามในหนังสือถอนหมั้นด้วยตัวเองแล้วจะให้เขาทำใจยอมรับได้อย่างไร?!เวินจื่อเยวี่ยจ้องมองหลินเนี่ยนฉือไม่วางตา “ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไร ข้าจะไม่ยอมแพ้ในตัวเจ้า เจ้าเป็นคู่หมั้นของข้า แม้ว่าจะถอนหมั้นแล้ว แต่ชาตินี้เจ้าก็ต้องเป็นคนของข้าอยู่ดี!”เวินจื่อเยวี่ยล้วงของสิ่งหนึ่งออกมาจากอก แล้วยื่นไปตรงหน้าหลินเนี่ยนฉือหลินเนี่ยนฉือก้มหน้าลงมอง มันคือจี้หยกที่แกะสลักด้วยมือเวินจื่อเฉินเอง เป็นสิ่งยืนยันการหมั้นหมายในอดีตของพวกเขาด้วยหลินเนี่ยนฉือมองจี้หยกชิ้นนั้นที่ถึงแม้ว่าจะได้รับการซ่อมแซมแล้ว แต่รอยร้าวยังคงเห็นได้ชัดมาก นางไม่ได้เอื้อมมือไปรับมา“แก้วแตกยากจะสมาน และหยกกับคนก็เป็นเหมือนกัน”หลินเนี่ยนฉือพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบราบเรียบแต่เวินจื่อเยวี่ยกลับเอ่ยด้วยดวงตาแดงก่ำ “ข้าไม่เชื่อ”“จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ท่าน ถึงอย่างไรวันนี้ข้าก็ไม่ได้มาหาท่าน”ทันทีที่หลินเนี่ยนฉือพูดจบ สายตาก็เลื่อนไปหาเวินเยวี่ยที่อยู่ข้างกายเขาต้องบอกว่าเวินจื่อเยวี่ยมีความเข้าใจในตัวหลินเนี่ยนฉือในระดับหนึ่งดังนั้นเ
สีหน้าของเวินเยวี่ยเปลี่ยนไปทันใด หลังจากได้ยินคำพูดของเวินจื่อเยวี่ยเมื่อสักครู่และคาดเดาตัวตนของอีกฝ่ายแล้ว นางก็กัดริมฝีปากล่างเบา ๆ แล้วหันหน้าไป “พี่สาม แม่นางผู้นี้คือใครกัน? ทำไมพอนางมาถึงก็พูดจาเช่นนี้?”เวินจื่อเยวี่ยแนะนำให้นางรู้จักด้วยความดีใจ “นางก็คือหลินเนี่ยนฉือคู่หมั้นของข้า น้องหก เรียกนางว่าพี่หญิงเนี่ยนฉือเร็วเข้า”เวินเยวี่ยเผยสีหน้าท่าทางที่ดูไร้เดียงสาออกมา แล้วเรียกหลินเนี่ยนฉือ “พี่หญิงเนี่ยน...”“เอ๊ะ! ยังไม่ยอมหยุดพูดอีก!”เวินเยวี่ยยังเรียกไม่ทันจบ ก็ถูกหลินเนี่ยนฉือยกมือขึ้นเอาแส้ชี้พลางตัดบท “ใครเป็นพี่หญิงเนี่ยนฉือของเจ้า? อย่ามาเรียกมั่วซั่ว พี่น้องที่ดีของข้ามีเพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นก็คืออาซื่อ”“ส่วนเจ้า...”หลินเนี่ยนฉือมองพิจารณาเวินเยวี่ยขึ้นลงด้วยสายตารังเกียจ ก่อนจะเอ่ยอย่างดูถูก “ลูกสาวนอกสมรสอย่างเจ้า ยังไม่คู่ควร”ทันทีที่นางพูดประโยคนี้ออกมา เวินเยวี่ยและเวินจื่อเยวี่ยก็เปลี่ยนสีหน้าพร้อมกันเวินเยวี่ยดูคับข้องใจ “พี่หญิงเนี่ยนฉือ ต่อให้ท่านไม่ชอบข้า แต่ท่าน...เหตุใดท่านถึงพูดกับข้าเช่นนี้? เยวี่ยเอ๋อร์ดูเหมือนจะไม่เคยล่วงเกินท่านมาก่
“ขอรับ บ่าวรับทราบแล้ว”หลังจากหารือธุระจบแล้ว เสี่ยวหานกำลังจะส่งพ่อบ้านหลานกลับไป ในเวลานี้หลินเนี่ยนฉือก็เดินออกมาพอดี“ข้าไปส่งพ่อบ้านหลานแล้วกัน วันนี้ข้าจะเดินทางเข้าเมืองหลวงพอดี”“คุณหนูใหญ่หลิน”พ่อบ้านหลานประสานมือคารวะเวินซื่อถามด้วยความงุนงง “ทำไมวันนี้ถึงต้องเข้าเมืองหลวงอีก? เมื่อวานเพิ่งเข้าวังมามิใช่หรือ?”หลายวันมานี้โดยทั่วไปในทุก ๆ สองวัน หลินเนี่ยนฉือจะถูกไทเฮาเรียกตัวเข้าวังบางครั้งก็เข้าไปเพื่อเรียนรู้กฎเกณฑ์และพิธีรีตอง บางครั้งก็แค่ไปสนทนาเป็นเพื่อนไทเฮาเท่านั้นทุกวันนี้ในวังหลังมีคนอยู่ไม่มากนัก ไม่มีแผนการในวังที่สลับซับซ้อนเหล่านั้น บวกกับท่าทีอันมีเมตตาและเป็นมิตรของไทเฮาที่มีต่อนาง ได้ทำให้หลินเนี่ยนฉือรู้สึกเป็นสุขเช่นกัน“ไม่รู้สิ ไทเฮาไม่ได้บอกว่าเรื่องอะไร ถึงอย่างไรก็เรียกข้าเข้าไปในวังอยู่ดี”หลินเนี่ยนฉือยักไหล่ “สบายใจเถอะ คิด ๆ ดูแล้วก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก ข้าจะรีบไปรีบกลับ”“ตกลง เดินทางปลอดภัย”เวินซื่อไม่ได้บอกให้นางกลับมาเร็ว ๆ เพราะถึงอย่างไรจากเมืองหลวงมาที่อารามสุ่ยเยว่ก็ค่อนข้างไกล บางครั้งถ้ารีบมาไม่ทันเวลา ไทเฮาก็จะให้หลิ
ในขณะนี้เวินซื่อยังไม่รู้ว่าถึงแม้มดตัวน้อยของนางจะไม่สามารถปฏิบัติภารกิจที่นางสั่งการให้สำเร็จได้ แต่พวกมันก็นำ “ของล้ำค่าชิ้นโต” มาให้นาง กำลังรีบวิ่งเข้าบ้านอย่างกระหืดกระหอบ…กลางอารามสุ่ยเยว่ในเวลานี้“แปลงสมุนไพรในจินโจวและลู่โจวได้ตระเตรียมพร้อมแล้ว เมล็ดพันธุ์สมุนไพรและต้นกล้าชุดแรกก็ได้ทำการปลูกแล้ว ตามที่ทางผู้ดูแลจงเอ้อร์ส่งจดหมายมา การเจริญเติบโตในปัจจุบันนี้ยังดีอยู่ขอรับ”“เช่นนั้นก็ดี”เวินซื่อดูสมุดบัญชีในช่วงนี้ พลางเอ่ยถามไปด้วย “อ้อ ได้ยินมาว่าผู้ดูแลจงเอ้อร์เป็นน้องสาวของผู้ดูแลจง?”พ่อบ้านหลานพยักหน้า “ขอรับ เดิมทีบ่าวต้องการย้ายผู้ดูแลจงไป แต่ผู้ดูแลจงบอกว่าน้องสาวของนางเหมาะสมกว่านางขอรับ”“ผ่านการทดสอบแล้วหรือ?”“คุณหนูไม่ต้องกังวลขอรับ บ่าวทำการทดสอบแล้ว ผู้ดูแลจงเอ้อร์เหมาะสมกว่าผู้ดูแลจงจริง ๆ นอกจากการหัวสมองฉับไวแล้ว ฝ่ายนั้นยังมีความสามารถในการจัดการผู้คนอีกด้วย”จินโจวและลู่โจวอยู่ห่างไกล คนที่จะไปที่นั่นย่อมต้องการคนที่มีความสามารถสักหน่อยพ่อบ้านหลานก็มีความสามารถนี้ แต่เขาอายุมากแล้ว และต้องการอยู่ข้างกายเวินซื่อมากกว่า ดังนั้นเขาจึงไปไม่ได้อยู
เวินเฉวียนเซิ่งสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดว่า “ข้าจะไปเอง”พ่อบ้านเข้าใจในทันทีจากนั้น ในไม่ช้าสองนายบ่าวก็มาถึงหน้าห้องหนึ่งในจวนที่ไม่มีคนอาศัยมานานหลายปีหลังจากพ่อบ้านไขประตูแล้ว เวินเฉวียนเซิ่งก็ค่อย ๆ ยกมือขึ้นและผลักประตูให้เปิดออกก่อนหน้านี้จะมีผู้คนมาปัดกวาดที่นี่ทุกวันแม้ว่าจะวังเวงแต่ก็ยังสะอาดสะอ้าน ไร้ฝุ่นสักเม็ดแต่ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ขุดศพจากหลุมครั้งนั้น เวินเฉวียนเซิ่งก็กลัวว่าเวินเยวี่ยจะทำเรื่องที่ไม่ควรทำอีก ดังนั้นจึงสั่งให้ใส่กุญแจสถานที่แห่งนี้ไว้นี่เพิ่งผ่านไปเพียงสองสามเดือน ภายในห้องก็ดูรกร้างแล้วแม้กระทั่งในหลาย ๆ มุมก็ยังมีใยแมงมุมห้อยอยู่เวินเฉวียนเซิ่งมองใยแมงมุมเหล่านั้นแวบหนึ่ง ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะสาวเท้าเดินเข้าไปในนั้นหลังจากเดินไปถึงกลางห้อง เขาก็ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นดวงตาอันลุ่มลึกจ้องมองห้องนี้ สายตากวาดไปรอบ ๆ ทีละนิดจริงจังเช่นนั้น ราวกับกำลังค้นหาใคร แต่ก็เหมือนกำลังค้นหาอะไรบางอย่างด้วยแต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร สุดท้ายเขาก็หาไม่พบอยู่ดีห้องนี้ว่างเปล่าลงไปมากตั้งแต่หลานจื่อจวินตายจากไป เขาก็ย้ายออกจากที่นี่ ซ้ำยังย้ายข้าวของข
เมืองหลวงจวนเจิ้นกั๋วกง“เอี๊ยด”พ่อบ้านผลักประตูห้องหนังสือเข้าไป แล้วยืนอยู่หน้าโต๊ะหนังสืออย่างระมัดระวัง“หาเจอหรือไม่?”เวินเฉวียนเซิ่งเอ่ยถามเสียงเคร่งขรึมพ่อบ้านรีบก้มหน้าลงทันที “เรียนท่านกั๋วกง คนรับใช้ได้ค้นหาทั่วทั้งจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว แต่ก็ยังคงไม่พบของสิ่งนั้นที่ท่านกล่าวถึงขอรับ”สีหน้าของเวินเฉวียนเซิ่งพลันมืดมนลงยิ่งกว่าเดิม“คนล่ะ? มีผู้ใดเห็นคนน่าสงสัยเข้าใกล้ห้องหนังสือของข้า หรือว่าปรากฏตัวขึ้นบริเวณใกล้ๆ จวนเจิ้นกั๋วกงบ้างหรือไม่?”พ่อบ้านยังคงส่ายหน้า“ไม่พบขอรับ”เวินเฉวียนเซิ่งโมโหจนแค่นเสียงหัวเราะ “หึ” ออกมาทันที น้ำเสียงเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง“หาของก็ไม่เจอ หาคนน่าสงสัยก็ไม่พบ ข้าจะมีพวกเจ้าไว้ทำอะไรได้อีก?!”“ปัง!”เวินเฉวียนเซิ่งใช้ฝ่ามือตบลงบนโต๊ะอย่างแรง ตวาดด้วยความโมโห “ของสิ่งนั้นวางอยู่ในห้องหนังสือนี้ ข้าเพียงแค่ออกไปครู่เดียว ของก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย อย่างไรกัน หรือว่าจวนเจิ้นกั๋วกงแห่งนี้จะมีผีที่รู้จักขโมยของปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว?!”พ่อบ้านถูกตวาดจนไม่กล้าตอบ ทำได้เพียงหดคอ รอจนกว่าเวินเฉวียนเซิ่งจะระบายความโกรธจนหมดแต่เรื่องในครั้ง
“พี่รอง เมื่อครู่ท่านเข้าเรือนไปทำอะไรหรือเจ้าคะ? เหตุใดถึงไม่รับเงินของข้าเล่า?”เวินเยวี่ยแสร้งถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ“ไม่มีอะไร ก็แค่เข้าไปหาของสักหน่อย ตอนนี้หาเจอแล้ว”เวินจื่อเฉินยื่นมือไปรับพวงเงินนั้นมาจากมือของเวินเยวี่ย พอพบว่าแม้กระทั่งเชือกที่ร้อยพวงเงินก็ยังแตกต่างจากเส้นที่เขาใช้ เขาก็ยิ่งแน่ใจมากขึ้น ครั้งนี้ตนเองคงเข้าใจนางผิดไปจริงๆแต่เวินจื่อเฉินก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เงินนี้ข้าจะรับไว้ก่อน คืนนี้พวกเจ้าอยากกินอะไร ข้าจะได้แวะซื้อกับข้าวกลับมาด้วยเลย”เวินเยวี่ยแอบสังเกตการเปลี่ยนแปลงสีหน้าของเขาพอเห็นว่าเวินจื่อเฉินเชื่อสนิทใจแล้ว มุมปากนางก็ปรากฏรอยยิ้มบางๆ ที่แทบจะมองไม่เห็นออกมาเพียงเท่านี้ก็ใช้ได้แล้ว เมื่อถึงเวลานั้น ต่อให้พวงเงินของพี่รอง “หายไป” ก็จะไม่สงสัยมาถึงตัวนางส่วนนางก็แค่เล่นตุกติกนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นเองการหยิบไปทั้งพวงนั้นถูกจับได้ง่าย แต่ถ้าแต่ละพวงหยิบไปแค่สองสามเหรียญ เช่นนั้นเวินจื่อเฉินจะมานั่งนับอย่างละเอียดได้อย่างไรกันประกอบกับพอนางมาถึงก็เอา “เงินของตนเอง” ออกมาใช้แล้ว นางช่าง “ใจดีมีมารยาท” เช่นนี้
ทั้งเวินจื่อเฉินและเวินจื่อเยวี่ย ทั่วทั้งร่างกายและใบหน้าล้วนเต็มไปด้วยบาดแผลแต่เมื่อเทียบกันแล้ว บาดแผลของเวินจื่อเฉินไม่สาหัสเท่ากับของเวินจื่อเยวี่ยดังนั้น หลังจากเขาพักไปเพียงครู่หนึ่ง ก็ใช้มือยันพื้นแล้วลุกขึ้นยืนเขามองเวินเยวี่ยและเวินจื่อเยวี่ยแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยถามว่า “พวกเจ้าจะอยู่ที่นี่นานเท่าไร?”เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เวินเยวี่ยและเวินจื่อเยวี่ยก็สบตากันแวบหนึ่งจากนั้นเวินจื่อเยวี่ยจึงกล่าวว่า “ข้อเท้าของน้องหกเคล็ด อาจจะต้องพักฟื้นสักหน่อย ดังนั้นก็น่าจะราวๆ หนึ่งเดือนกระมัง?”ในเมื่อพี่รองเปลี่ยนใจในที่สุด และยินยอมให้พวกเขาอยู่ที่นี่ต่อแล้วถ้าเช่นนั้นก็เผื่อไว้หน่อย บอกให้นานขึ้นอีกสักนิดเวลาหนึ่งเดือนก็น่าจะพอให้พวกเขาทำเรื่องที่ท่านพ่อมอบหมายให้สำเร็จแล้วเวินจื่อเยวี่ยบอกไปเผื่อๆ ว่าหนึ่งเดือน เวินจื่อเฉินแสดงสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้บอกว่าได้หรือไม่ได้เขามองไปรอบๆ กระท่อมฟางทั้งสองด้าน ครู่ต่อมาจึงเอ่ยปาก “เช่นนั้นข้าจะสร้างกระท่อมให้พวกเจ้าอีกสองหลัง”เวลาหนึ่งเดือนจะว่านานก็ไม่นาน จะว่าสั้นก็ไม่สั้นที่นี่ของเขามีกระท่อมเพียงหลังเดียว ย่อมไม่เพียงพอให้พวก