ประโยคนี้ที่เต็มไปด้วยข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นธรรม กินเวลานานถึงสองชั่วอายุคนจากชาติที่แล้วจนถึงชาตินี้ ในที่สุดนางก็มีโอกาสได้พูดออกมานางมองไปยังคนตรงหน้าที่เคยสูงใหญ่สง่างามในสายตาของนาง การแสดงออกทางสายตาได้เปลี่ยนไปจากความชื่นชมศรัทธาไปเป็นความเกลียดชังในวันนี้“ตบนางแล้ว...เจิ้นกั๋วกงตบนางแล้ว...”“เจิ้นกั๋วกงตบธิดาศักดิ์สิทธิ์จริงหรือ?!”“คุณพระ! ธิดาศักดิ์สิทธิ์!”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์ ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม?!”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์รีบไปทางด้านหลัง รีบไปซ่อนตัวไว้!”บรรดาประชาชนในร้านขายยาต่างมีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมา รีบกรูกันเข้าไป ปกป้องเวินซื่อให้อยู่ทางด้านหลังบรรดาผู้ดูแลที่อยู่ในร้านขายยาต่างมองดูเวินเฉวียนเซิ่งอย่างระแวดระวัง “ท่านเจิ้นกั๋วกง วันนี้ร้านขายยาของเราปิดรับลูกค้าแล้ว เรียนเชิญท่านออกไป!”“หากท่านไม่พอใจพวกเรา ก็ไปหานายของพวกเราได้ตามสบาย นายของเราคือหนิงหย่วนโหวแห่งลู่โจวเมื่อได้ยินคำพูดนี้ เวินเฉวียนเซิ่งก็เหลือบมองผู้ดูแลร้านขายยาผู้นี้ที่อยู่ตรงหน้าในที่สุดหนิงหย่วนโหวแห่งลู่โจว เป็นบุคคลโหดเหี้ยมที่อาศัยความเป็นสถานที่ไกลปืนเที่ยงอย่างแท้จริง ทั้งยังควบ
“พวกท่านคงได้ข่าวกันหมดแล้วใช่ไหม?”“ก็ต้องได้ข่าวมาอยู่แล้ว ตอนนี้มีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าเมื่อวานเกิดเรื่องอะไรขึ้น!”“แล้วมันเป็นการตบจริงหรือว่าตบหลอก?”“ก็ต้องตบจริงแน่นอนอยู่แล้ว เมื่อวานลุงของอาของลูกเขยของแม่สามีของหลานสาวของครอบครัวลุงสามของข้าเห็นกับตาตัวเอง ตอนนั้นตาเฒ่าได้ถือไม้เท้าวิ่งออกไปปกป้องอยู่ข้างหน้าธิดาศักดิ์สิทธิ์ ปรากฏว่าเจิ้นกั๋วกงนั่นผลักเขาออกไปเลย ไม้เท้าก็ถูกเขาปัดทิ้งไป จากนั้นเจิ้นกั๋วกงนั่นก็เข้าไปตบธิดาศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหมดนี้ตาเฒ่าพูดขึ้นเอง เห็นกับตาตัวเอง ประสบด้วยตัวเอง จะเป็นเรื่องหลอกได้อย่างไร?”“แล้วยังได้ยินมาว่าเป็นการแก้แค้นให้ลูกสาวนอกสมรสของเขา!”“สวรรค์ ท่านเจิ้นกั๋วกงลำเอียงถึงขั้นนี้แล้วจริง ๆ ทำเกินไปหน่อยกระมัง!”“ไม่เพียงเท่านี้นะ เจิ้นกั๋วกงนั่นยังจงใจเลือกที่จะไปหาธิดาศักดิ์สิทธิ์ในตอนที่อ๋องผู้สำเร็จราชการแทนไม่อยู่ อีกอย่างว่ากันว่าตอนนั้นเขายังคิดจะพาธิดาศักดิ์สิทธิ์ไปด้วย แต่ธิดาศักดิ์สิทธิ์ฉลาดมีไหวพริบ อยู่ในร้านขายยาแห่งนั้นไม่ออกไปข้างนอก เขาถึงกระทำแผนชั่วไม่สำเร็จ ไม่เช่นนั้นก็ยังไม่รู้ว่าหากธิดาศักดิ์สิทธิ์ถูกพาตัวไป จะ
แต่ในช่วงเวลานี้ กลับมีคนต่อต้านบิดาของพวกเขา ซ้ำยังสร้างปัญหาให้กับบิดาด้วยเมื่อครู่เขาเอาแต่โมโหมาก แต่ตอนนี้เมื่อคิดดูอย่างรอบคอบแล้ว ก็ต้องขมวดคิ้วทันที“ท่ามกลางข่าวลือครั้งนี้เดิมทีเวินซื่อก็คือตัวเอกที่ถูกลือกันว่าเป็นเหยื่ออยู่แล้ว เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนางอย่างดิ้นไม่หลุดแน่นอน แต่ตอนนี้ข่าวลือที่แพร่สะพัดออกไปข้างนอกน่าจะมีคนอื่นด้วย เพราะถึงอย่างไรเวินซื่อก็ยังไม่ใช่ต้นเรื่องใหญ่โตเช่นนั้น”เวินจื่อเยวี่ยโมโหขึ้นมาในทันใด “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นฝีมือของอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนเป่ยเฉินหยวนแน่ ๆ นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครช่วยเวินซื่อต่อต้านเจิ้นกั๋วกงเช่นนี้อีกแล้ว!”เวินอวี้จือไม่พูดอะไรอีก แต่เห็นได้ชัดว่าความคิดของเขาเหมือนกับของเวินจื่อเยวี่ย“ท่านพ่อ ตอนนี้เราจะทำอย่างไรต่อไป? คนโง่เขลาอย่างเหลือล้นข้างนอกพวกนั้นหลงเชื่อข่าวลือเหล่านั้นไปแล้ว ตอนนี้กำลังจะเอาไข่ไก่เน่ากับเศษผักไปขว้างที่ประตูจวนเจิ้นกั๋วกงของเราแล้ว ถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไปเราจะออกไปพบปะผู้คนได้อย่างไร?!”เวินเฉวียนเซิ่งเริ่มไม่พูดอะไรสักคำตั้งแต่ตอนที่เวินจื่อเยวี่ยบุกเข้ามาเขาข่มอารมณ์ไว้ในใจ ถือพู่กั
ทันทีที่พูดคำนี้ออกไป เวินเฉวียนเซิ่งก็เงยหน้าขึ้นมองเวินจื่อเยวี่ยแวบหนึ่ง“เป็น...เป็นอะไรไปท่านพ่อ?”สายตาของเวินเฉวียนเซิ่งทำให้เวินจื่อเยวี่ยรู้สึกสับสนเล็กน้อยเวินเฉวียนเซิ่งก็อยากถามเขาเหมือนกันว่าเขาเป็นอะไรไปบิดาของตัวเองก็ถูกลงโทษแล้ว ยังไม่ทันได้ยินเสียงเป็นห่วงเป็นใยจากลูกชายของเขาคนนี้ กลับถูกถามว่าจะส่งผลกระทบต่อเวินเยวี่ยหรือไม่?ในเวลานี้เวินเฉวียนเซิ่งที่อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว เมื่อเห็นท่าทีไม่ไยดีแม้แต่นิดที่มีต่อพ่ออย่างเขาคนนี้ของเวินจื่อเยวี่ย ไฟโทสะก็ปะทุขึ้นมาในหัวใจทันที“พ่อถูกลงโทษแล้ว จะส่งผลกระทบต่อนางอย่างไรน่ะหรือ? นางไม่สามารถเข้าวังเป็นพระสนมได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว อย่างมากก็ถูกหาข้ออ้างโยนออกมา ไม่จำเป็นต้องให้พวกเราคิดหาวิธีช่วยนางแล้ว”ท้ายที่สุดแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะสะสางเรื่องยุ่ง ๆ นี้ให้เวินเยวี่ย ก็คงไม่ถูกวางแผนอย่างในวันนี้ตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องคิดถึงทางด้านฮ่องเต้น้อยแล้ว เมื่อมีเป่ยเฉินหยวนอยู่ด้วย ฮ่องเต้น้อยย่อมไม่มายืนฝั่งเดียวกับเขาได้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ทั้งสองคนร่วมมือกันทำลายจวนเจิ้นกั๋วกงของเขาอย่างชัดเจนคิดจะปลดเขาออกจากตำ
“ท่านอ๋อง มีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องการรบกวนท่าน”“ได้สิ”เป่ยเฉินหยวนพยักหน้าตอบรับโดยไม่รอให้นางพูดจบเวินซื่ออดหัวเราะไม่ได้ “ท่านอ๋องไม่ฟังข้าพูดให้จบก็ตอบตกลงแล้วหรือ?”เป่ยเฉินหยวนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ขอเพียงเป็นเรื่องของท่าน ข้าตอบตกลงทุกอย่าง”“แล้วถ้าเกิดข้าเสนออะไรที่ท่านจัดการได้ยากล่ะ?”“ใต้หล้านี้เรื่องที่ข้าจัดการได้ยากเหลือเพียงไม่กี่อย่างแล้ว หากใช่จริง ๆ ข้าก็จะทำทุกวิถีทาง เพื่อจัดการให้ท่านอย่างเต็มกำลัง”เมื่อเป่ยเฉินหยวนพูดเช่นนี้สีหน้าก็ดูสงบ น้ำเสียงจริงจัง ไม่มีเจตนาที่จะทำแบบขอไปทีเลยแม้แต่นิดเดียวภายในใจของเวินซื่อรู้สึกซาบซึ้งนางประสานมือคารวะเป่ยเฉินหยวนอย่างตั้งใจ “ท่านช่างมีน้ำใจยิ่งนัก จะไม่ทำให้สหายผิดหวังแน่นอน”ความกรุณาและมิตรไมตรีของอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่มีต่อนางยิ่งใหญ่ดั่งขุนเขาและท้องทะเลเมื่อมีสหายเช่นนี้ นางก็ยิ่งสมควรทุ่มเทสุดกำลังความสามารถอยู่แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรักษาอาการป่วยของอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนให้ได้เมื่อเผชิญกับคำสัญญาอย่างจริงจังเช่นนี้ของเวินซื่อ ใบหน้าหล่อเหลาของเป่ยเฉินหยวนก็เผยรอยยิ้มออกมาเช่นกันหากดูอย่
“จริงสิ เช้านี้ฝ่าบาทถือโอกาสเพิกถอนอำนาจรับผิดชอบในมือของเจิ้นกั๋วกงไปไม่น้อย วันนี้เขาจะต้องมาหาท่านแน่นอน”เป่ยเฉินหยวนมองดูนางด้วยท่าทีอ่อนโยน “ต้องการให้ข้าคอยเฝ้าดูอยู่ใกล้ ๆ หรือไม่?”“ไม่ต้องหรอก ตราบใดที่เขายังต้องการพาตัวเวินเยวี่ยออกมา ท่าทีของเขาในวันนี้จะไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว”ครั้งนี้เวินซื่อรอคอยมาเนิ่นนาน การก้มหัวเป็นครั้งแรกจากบิดาผู้สูงศักดิ์ของนางนางตั้งตารอคอยมากผลลัพธ์พิสูจน์ให้เห็นว่า ก็สะใจมากเช่นกัน“ซื่อเอ๋อร์ เมื่อก่อนพ่อผิดไปแล้ว”เมื่อยืนอยู่นอกประตูอารามสุ่ยเยว่ หลังจากเวินเฉวียนเซิ่งให้คนไปเชิญเวินซื่อออกมาแล้ว ก็เอ่ยปากด้วยสีหน้าจริงจังเขาพูดอย่างจริงจังเช่นนั้น พอเอ่ยปากก็ขอโทษทันทีแม้แต่เวินอวี้จือที่เดินตามมาข้าง ๆ เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ก็อดเผยความประหลาดใจออกมาไม่ได้บิดากำลังก้มหัวให้เวินซื่อจริงหรือ?!เขารู้ว่าที่บิดามาครั้งนี้ จะไม่ใช้วิธีการรุนแรงบังคับเวินซื่อเหมือนเมื่อก่อน บางทีท่าทีอาจจะอ่อนโยนกว่านี้เล็กน้อย วิธีการนุ่มนวลกว่านี้บ้างแต่เขาไม่คาดคิดว่าจะไม่ใช่แค่นุ่มนวลอ่อนโยนเท่านั้น แต่บิดายังก้มหัวให้โดยตรงอย่างไม่น
“เวินซื่อ ข้าไม่น่าจะเคยล่วงเกินอะไรเจ้าใช่ไหม?”เวินอวี้จือจ้องเวินซื่ออยู่ครู่หนึ่ง พลางเอ่ยถามช้า ๆ“คุณชายสี่สกุลเวิน คำพูดที่ตัวเองเพิ่งพูดไปเมื่อครู่ไม่นานก็ลืมแล้วหรือ? หากท่านไม่รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรล่วงเกินข้า แล้วจะมายอมรับผิดและขอโทษขออภัยจากข้าทำไมกัน ไม่ย้อนแย้งไปหน่อยหรือ?”เวินซื่อสบตากับเขาอย่างเฉยชา ในสายตามีแววเยาะเย้ยเล็กน้อย เวินอวี้จือหรี่ตาลงเล็กน้อย “เมื่อก่อนนี้จู่ ๆ เจ้าก็ออกบวชเป็นชี ท่านพ่อ น้องหก และพวกพี่ชายล้วนเป็นห่วงกันมาก ในฐานะพี่สี่ของเจ้า ข้าก็ย่อมเป็นห่วงน้องสาวคนนี้อยู่แล้ว ดังนั้นเพื่อพาเจ้ากลับสู่สกุลเวิน จึงได้ใช้กลอุบายเล็ก ๆ น้อย ๆ ตอนนี้พอมานึกดูก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม ก็เลยอยากจะขอโทษเจ้าเท่านั้นเอง”“กลอุบายเล็ก ๆ น้อย ๆ?”เวินซื่อหัวเราะด้วยความโมโห “หากมองข้าเป็นน้องสาวจริง ๆ ก็จะไม่มีทางใช้สิ่งที่เรียกว่า ‘กลอุบายเล็ก ๆ น้อย ๆ’ กับน้องสาวแท้ ๆ ของตัวเองหรอก”“ก็แค่ยาผงที่ทำให้เจ้าเชื่อฟังเท่านั้นเอง ไม่ได้ใช้ยาพิษที่ฆ่าเจ้าได้เสียหน่อย ทำไมเจ้าต้องคิดเล็กคิดน้อยเช่นนี้ด้วย อีกอย่างหลังจากนั้นเจ้าก็แก้แค้นข้ากลับมาแล้วมิใช่หรือ?”ใ
เวินเฉวียนเซิ่งหรี่ตาทั้งสองลงเล็กน้อย สีเข้มฉายผ่านดวงตาที่ลุ่มลึก“ตั้งแต่ที่เจ้าออกจากจวนเจิ้นกั๋วกง ข้าสังเกตเห็นว่า ทุกครั้งที่ได้พบกันอีก เจ้าก็เปลี่ยนแปลงไปมาก ดูแตกต่างจากลูกสาวคนนั้นของข้ามากขึ้นเรื่อย ๆ”เวินเฉวียนเซิ่งมองดูนาง ในขณะนี้เขาไม่พบร่องรอยของลูกสาวของเขาที่เชื่อฟังและมีเหตุผลในอดีตคนนั้นจากตัวเวินซื่อเลยสักนิดเวินซื่อเอ่ยอย่างราบเรียบด้วยสีหน้าสุขุมเยือกเย็น “ตอนนี้ข้าก็ไม่ใช่บุตรสาวของเจิ้นกั๋วกงอีกแล้ว ไม่เหมือนกันก็เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ?”ไม่ ไม่ปกติไม่ปกติเลยสักนิดทั้ง ๆ ที่ก่อนพิธีปักปิ่น เขาจำได้ว่าลูกสาวของเขาคนนี้ยังทำสิ่งของด้วยมือตัวเองมาเอาอกเอาใจเขาลืมไปแล้วว่ามันคืออะไร แต่พอจะจำได้ราง ๆ ว่าวันนั้นเวินซื่อหน้าตาเปี่ยมไปด้วยความดีใจและคาดหวัง ในความทรงจำนางยังคงดูไร้เดียงสาเช่นนั้น แต่เมื่อมองไปที่เวินซื่อที่มีใบหน้าเฉยเมยตรงหน้าคนนี้ การเปลี่ยนแปลงนั้นมันมากมายเกินไปมากจนเหมือนกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคนสมองของเวินเฉวียนเซิ่งฉุกคิดอะไรได้ จึงเผลอหลุดปากออกไปโดยจิตใต้สำนึก “จริงสิ เจ้าจำได้ไหมว่าก่อนวันพิธีปักปิ่น เจ้าเคยทำของอะไรให้พ่อด้วย
“ฉางอวิ้น เจ้าต้องเข้าใจถึงความขมขื่นใจของพ่อ”เวินเฉวียนเซิ่งนั่งลงข้างกายเวินฉางอวิ้น พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่“ตอนแรกพ่อแค่อยากให้เด็กคนนั้นมีบ้าน อยากจะชดใช้หนี้ทั้งหมดที่มีต่อสองแม่ลูกเท่านั้นเอง”“แต่ไม่เคยคิดเลยว่า เยวี่ยเอ๋อร์จะบาดหมางกับเจ้าห้ามาจนถึงขั้นนี้ ตอนนี้สุขภาพของพ่อก็ไม่ค่อยดีแล้ว บอกไม่ได้ว่าวันไหนจะลงไปพบกับแม่ของพวกเจ้า ถ้าไม่มีใครมาค้ำจุนครอบครัวนี้ จวนเจิ้นกั๋วกงของเราทั้งหมดช้าเร็วก็ต้องแยกทาง ถึงตอนนั้น เจ้าคิดว่าน้อง ๆ ของเจ้าจะยังมีโอกาสกลับมาหรือไม่?”เดิมทีเวินฉางอวิ้นไม่ต้องการโต้ตอบคำพูดของเวินเฉวียนเซิ่งรู้สึกว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของเขาค่อนข้างน่าขบขันแต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย หัวใจของเวินฉางอวิ้นก็เต้นแรงขึ้นมาทันทีหากวันหนึ่งจวนเจิ้นกั๋วกงสลายไป น้องรอง น้องห้า...จะกลับมาได้อีกหรือไม่?ร่างกายของเวินฉางอวิ้นสั่นสะท้านครู่หนึ่งคำตอบที่ชัดเจนผุดขึ้นในหัวใจไม่ได้พวกเขาจะกลับมาไม่ได้อีกแล้วไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกง แต่เป็นเพราะไม่มีจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว ดังนั้นสายสัมพันธ์สุดท้ายที่เหลืออยู่ระหว่างพี่น้องของพวกเขาก็จะไม่มีอะไรเลยน
เวินฉางอวิ้นที่รู้แล้วว่าเวินเยวี่ยเป็นใคร ความจริงก็ไม่รู้สึกแปลกใจกับเวินเยวี่ยในมุมนี้เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้นางเผยให้เห็นด้านที่ดูน่าสงสารและอ่อนแอต่อหน้าคนอื่น ด่าทอคนอื่นโดยไม่ยั้งคิดแบบนี้ไม่ได้เห็นบ่อยนักสายตาของเวินฉางอวิ้นเผยความเยาะหยันออกมาดูเหมือนว่านางจะไม่ได้มีความจริงใจต่อเจ้าสามเช่นกันเสียแรงที่เจ้าสามถอนหมั้นกับนังหนูเนี่ยนฉือเพื่อนาง จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตกลับกลอกปลิ้นปล้อนจริง ๆคิด ๆ ดูแล้วก็น่าจะไม่ใช่แค่เจ้าสามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเจ้าสี่ด้วยเพราะถึงอย่างไรพวกเขาเหล่านี้ก็ขวางทางนางอยู่เวินฉางอวิ้นไตร่ตรองสักครู่ ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกห้องในเวลานี้เวินฉางอวิ้นยังนึกว่าเป็นเวินเยวี่ยที่กลับมาเล่นละครอีกครั้ง แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเวินเฉวียนเซิ่งผู้เป็นพ่อของเขา“ฉางอวิ้น พ่อมาเยี่ยมเจ้า”หลายวันมานี้ ที่แวะเวียนมาที่นี่อยู่เป็นครั้งคราวเช่นกันก็มีเวินเฉวียนเซิ่งด้วยเขาแวะมาเยี่ยมลูกชายคนโต และเพื่อเป็นการชดเชยเวินฉางอวิ้นรู้ว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไร และไม่ค่อยอยากพบเขาเช่นกันดังนั้นทันทีที่ได้ยินเสียงของเวินเฉวียนเซิ่ง เขาก็หลับตาลงแกล้งทำเป็น
“หออายุวัฒนะ? นั่นคือที่ใดกัน?”เวินเยวี่ยถามด้วยความงุนงงเวินจื่อเยวี่ยส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด แต่เพื่อนร่วมสำนักบอกข้าว่า ที่นั่นมียาชนิดหนึ่งที่เรียกว่ายาอายุวัฒนะ สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืน เปลี่ยนเถ้ากระดูกให้กลายเป็นเลือดเนื้อ วิเศษมาก แต่ก็แพงมากเช่นกัน อยากซื้อก็ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”“พวกเราไปซื้อก็อาจจะซื้อไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”เวินเยวี่ยไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า “ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”เพราะถึงอย่างไรนางก็คือคุณหนูหกแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง และเวินจื่อเยวี่ยก็เป็นคุณชายสามแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงด้วยตัวตนของพวกเขา ในเมืองหลวงแห่งนี้ยังมีอะไรที่พวกเขาหาซื้อไม่ได้อีก?“เห็นว่าเป็นเพราะมียาน้อยมาก และไม่สามารถปล่อยออกมาได้ ดังนั้นไม่ว่าใครที่ไปซื้อก็ต้องรอ ข้าคิดว่าถ้าวิเศษขนาดนั้นจริง ๆ ก็ซื้อสักเม็ดหนึ่งกลับมาให้พี่ใหญ่ลองกิน หากได้ผลจริง ๆ ล้างพิษในร่างกายของพี่ใหญ่ได้ ท่านพ่อก็จะไม่โกรธอีกต่อไปแน่นอน”อันที่จริงพวกเขาสองคนก็ไม่มีทางอื่นแล้วในตอนนี้หายาถอนพิษไม่ได้ดอกไม้พิษก็หาไม่ได้เช่นกันทำได้เพียงรักษาตามมีตามเกิด ซื้อยาอายุวัฒนะนั่นมาให้พี่ใหญ่ลองกินดูเมื่อเวิน
แต่ความตื่นเต้นดีใจนี้ดำเนินไปได้ไม่นานครึ่งชั่วยามต่อมา ฤทธิ์ของยาอายุวัฒนะก็สิ้นสุดลงความบ้าคลั่งในดวงตาของอันปี่เค่อหายไปอย่างรวดเร็วเขาเงยหน้าสูดหายใจเข้าลึก ๆ แต่วินาทีต่อมาปิดปากและจมูกด้วยความรังเกียจ“เก็บกวาดทำความสะอาดให้ข้าด้วย!”อันปี่เค่อออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อออกไปทันทีเมื่อเขาออกจากหออายุวัฒนะที่อยู่ชั้นใต้ดิน กลับไปที่ห้องหนังสือสกุลอันอีกครั้งหนึ่ง เขาก็กลับไปนั่งที่ด้านหลังโต๊ะหนังสือทันทีก่อนจะคว้ากระดาษที่เขียนชื่อไว้หลายชื่อแผ่นหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาเขากวาดสายตาผ่านรายชื่อเหล่านั้นอย่างไม่วางตา สุดท้ายก็จับจ้องไปที่ชื่อนั้นที่อยู่ด้านล่างสุด…“เวินซื่อ”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์...จะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวจริง หรือว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวปลอม ก็ให้ข้าได้เห็นชัด ๆ สักหน่อยแล้วกัน……จวนเจิ้นกั๋วกงภายในเรือนของเวินฉางอวิ้นหลังจากกินยาต้มบัวหิมะที่เวินซื่อให้มาแล้ว เวินฉางอวิ้นก็ฟื้นขึ้นมาภายในไม่กี่วันจริง ๆเพียงแต่ร่างกายยังอ่อนแอมาก นอกจากลืมตามองไปรอบ ๆ ได้แล้ว เรื่องอื่นเขาก็ยังทำไม่ได้แม้แต่พูดยังพูดไม่ได้เลยทำได้เพียงนอนอย
หลังจากคนรับใช้ผู้นั้นจากไป อันปี่เค่อก็นั่งลงบนเก้าอี้ไม้โบราณของเขาทันที หลับตาลง มือข้างหนึ่งงอนิ้วชี้แล้วคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะซ้ำๆ ดัง “ต๊อกๆ ”ท่าทางเช่นนั้นดูเหมือนกำลังรอคอยบางสิ่งบางอย่างอยู่ไม่นานนัก หญิงงามนางหนึ่งที่สวมใส่อาภรณ์น้อยชิ้นก็ถือขวดหยกเขียวเดินเข้ามา ร่างกายอ่อนระทวย นั่งลงบนตักของอันปี่เค่อ แล้วเปิดขวดหยกเขียวนั้นให้เขาและเทยาเม็ดสีดำสนิทสามเม็ดออกมาจากข้างในพอยาเม็ดนั้นออกมา กลิ่นหอมประหลาดก็ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องหินนี้ คล้ายคลึงกับกลิ่นหอมรัญจวนใจที่อบอวลอยู่ทั่วทั้งหอใต้ดินที่อยู่ด้านนอกอย่างยิ่งแต่หากนำยาเม็ดนั้นมาใกล้จมูกและปาก ก็ยังสามารถค้นพบได้อีกว่า บนยาเม็ดเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่ายังมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ ติดอยู่ด้วยหากเป็นคนปกติท เมื่อได้กลิ่นคาวเลือดบนยาเม็ดเหล่านี้ เกรงว่าจะรีบถอยห่างทันทีแต่เวลานี้ ภายในหออายุวัฒนะใต้ดินของสกุลอัน มีคนอยู่ทุกประเภท เว้นแต่เพียงคนปกติธรรมดาเท่านั้นอย่างเช่นอันปี่เค่อในยามนี้เขาปรือตาขึ้นเล็กน้อย เหลือบมองหญิงงามที่นั่งอยู่บนตัก แววตานั้นราวกับกำลังพิจารณาว่าอาหารที่จะกินในวันนี้คืออะไรหลังจากมองจ
ทางด้านอารามสุ่ยเยว่เงียบสงบสุขยิ่งนักแต่ทางด้านเมืองหลวงกลับมีคลื่นใต้น้ำก่อตัวอย่างรุนแรงห้องหนังสือสกุลอันอันปี่เค่อหยิบพู่กันขึ้น ตวัดพู่กันขีดเส้นหนักๆ ลงบนรายงานข่าวกรองฉบับหนึ่งที่ลูกน้องนำมาส่งให้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์จากนั้นก็พลันลุกขึ้นเดินไปยังเชิงเทียนไปพลาง ฉีกรายงานข่าวกรองฉบับนั้นเป็นชิ้นๆ ไปพลางสุดท้ายก็อาศัยเปลวไฟจากเชิงเทียนจุดมัน เปลวไฟก็ลุกลามเผากระดาษแผ่นนั้นอย่างรวดเร็ว และลามขึ้นไปด้านบน ลวกนิ้วมือของอันปี่เค่อที่จับมุมกระดาษอยู่เข้าอย่างจังแต่อันปี่เค่อราวกับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ผ่านไปสองวินาที ถึงค่อยโยนกระดาษที่กำลังลุกไหม้ในมือทิ้งลงไปในอ่างถ่านที่มอดดับไปแล้ว“ใครก็ได้”เงาดำร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นด้านหลังของอันปี่เค่อ คุกเข่าลงอย่างนอบน้อม“ลูกสาวผู้แสนดีคนนั้นของข้าตายแล้วหรือยัง?”เงาดำกล่าวอย่างระมัดระวัง “เรียนใต้เท้า คุณหนูรอง...ยังไม่ตายขอรับ”คำว่า “ยังไม่ตาย” ก็หมายความว่าการลงมือของคนเหล่านั้นล้มเหลวแล้วบนใบหน้าที่แก่ชราของอันปี่เค่อ พลันปรากฏรอยยิ้มเสแสร้งออกมา “ไอ้พวกไร้ประโยชน์ และหมากตัวหนึ่งที่ยังพอจะใช้งานได้อยู
เป่ยเฉินหยวนเห็นสีหน้าของนาง ก็รู้ว่านางเพิ่งจะรู้ตัว ชั่วขณะหนึ่งก็อดขำไม่ได้“หลังจากนี้ไม่ต้องมาที่ภูเขาด้านหลังแล้วก็ได้ อากาศหนาวลมแรง เดี๋ยวจะป่วยเอาได้ง่ายๆ ”เวินซื่อพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน “ได้”นางก็ลืมเรื่องนี้ไปเหมือนกันนางเงยหน้ามองเป่ยเฉินหยวนด้วยความอึดอัดใจ เอ่ยถามอย่างหยั่งเชิง “หรือว่า ตอนนี้พวกเรากลับไปอีกดี?”เป่ยเฉินหยวนยิ้มพลางเอ่ยขึ้นทันที “ไหนๆ ก็มาแล้ว อีกอย่างวันนี้ข้าก็อยากจะฟังที่นี่จริงๆ ”เหตุผลหลักคือในเรือนยังมีคนอื่นอยู่ เวลานี้ เขาไม่อยากให้คนอื่นมารบกวนเขาและอู๋โยวเป่ยเฉินหยวนหยิบของที่ตนนำมาด้วยออกมา ค้นเอาห่อขนมพุทราอุ่นๆ ออกมาจากข้างในห่อหนึ่ง และเสื้อคลุมลายดอกเหมยตัวใหม่อีกหนึ่งตัวเป่ยเฉินหยวนระงับความคิดที่อยากจะลงมือสวมให้ด้วยตนเอง แล้วยื่นเสื้อคลุมให้เวินซื่อก่อน“สวมเสื้อคลุมเสียเถอะ ตอนนี้ยังพอไหว ไม่ค่อยมีลม แต่ก็ต้องระวังไว้บ้าง”เวินซื่อเหลือบมองเสื้อคลุมตัวหนาที่ยังคงความอบอุ่นนั้น แล้วมองไปที่เป่ยเฉินหยวน สุดท้ายก็รับของขวัญอันใส่ใจชิ้นนี้มาอย่างเงียบๆ“นี่ ขนมพุทราที่ท่านชอบ”เป่ยเฉินหยวนรอจนนางสวมเสื้อคลุมเสร็จ ก็เปิ
“แล้วแมงมุมพิษนั้นจะส่งผลกระทบต่อท่านหรือไม่?”เป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย สิ่งแรกที่เขาเป็นห่วงคือความปลอดภัยของเวินซื่อเวินซื่อพลันยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร ไม่ส่งผลกระทบต่อข้า”“แล้วอาซื่อเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าแมงมุมพิษของเจ้าอยู่บนตัวของหัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น? หากไม่ใช่หัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น แต่เป็นคนต่างเผ่าคนอื่นเล่า?”หลินเนี่ยนฉือถามเช่นนี้ ไม่ใช่การขัดคำพูดของเวินซื่อเพียงแต่นางกำลังกังวลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างเวินซื่อกับแมงมุมพิษ ตัวอย่างเช่น หากแมงมุมพิษตัวนั้นบาดเจ็บ มันจะส่งผลกระทบต่ออาซื่อหรือไม่ หรือแม้กระทั่งถ้าแมงมุมพิษตัวนั้นตายไป มันจะส่งผลสะท้อนกลับมายังอาซื่อหรือไม่?ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าแมงมุมพิษของอาซื่อเป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่พอฟังดูแล้วกลับคล้ายคลึงกับวิชาแมลงกู่ของคนต่างเผ่าเหล่านั้นมากดังนั้น หลังจากที่เป่ยเฉินหยวนและหลินเนี่ยนฉือฟังคำพูดของเวินซื่อจบแล้ว สิ่งแรกที่ทั้งสองกังวลก็คือตัวเวินซื่อเวินซื่อเห็นสีหน้าของทั้งสองคนก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจบางอย่างขึ้นมาในใจของนางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “พวกท่านวางใจเถิด ข้าไม่เป็นอ
หลินเนี่ยนฉือที่นั่งมองทั้งสองคนอยู่ในเรือนเล็กๆ ตั้งแต่เมื่อครู่ มุมปากกระตุกเล็กน้อย“พอแล้วอาซื่อ อย่างไรเสียเขาก็เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน เจ้าช่างใจกล้าเกินไปแล้ว”ถึงกับกล้าตำหนิท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้มีอำนาจสูงสุดในราชสำนักรองจากฮ่องเต้ แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นเทพสงครามต่อหน้าเช่นนี้ จนเขาแทบเงยหน้าไม่ขึ้นหลินเนี่ยนฉือกลัวว่าเวินซื่อจะยั่วโมโหอีกฝ่ายเข้าจริงๆ นางจึงรีบยื่นมือออกไป ดึงตัวคนกลับมาแต่ไม่รู้ว่าเป็นความเข้าใจผิดของนางหรือไม่ ในขณะที่นางจับมือเล็กๆ ของอาซื่อไว้ สายตาของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่อยู่ตรงข้ามกลับดูน่ากลัวขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งยังทิ่มแทงอีกทำเอาหลินเนี่ยนฉือไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก“ไม่เป็นไรๆ ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนไม่ใช่คนใจแคบเช่นนั้น”เวินซื่อยังไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลินเนี่ยนฉือ ก็ยกมือขึ้นตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆเป่ยเฉินหยวนเอ่ยขึ้นในตอนนี้ “อู๋โยวพูดถูก ข้าไม่ใช่คนใจแคบจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น อู๋โยวก็ยังเป็นสหายของข้า สหายของนาง ย่อมเป็นสหายของข้าเช่นกัน”มุมปากของหลินเนี่ยนฉือกระตุกอีกครั้งหากไม่ใช่เพราะได้ยินสรรพนาม