ภายหลัง เมื่อบุรุษทั้งสามได้รู้ว่าหลี่หลิงเฟิ่งหายดีแล้ว ทั้งนางยังได้รับพรจากสวรรค์ที่มีของดีติดตัวมา ทั้งสามก็เริ่มทำดีกับหลิงเฟิ่ง เพื่อที่ต้องการของจากนาง
หลิงเฟิ่งไม่คิดเลยว่า การที่นางเห็นใจความเป็นอยู่ที่ยากไร้ของคนตระกูลหลี่จะนำมาซึ่งคราวเคราะห์ครั้งใหญ่ของนาง
เมื่อนางทำให้ความเป็นอยู่ของตระกูลหลี่ดีขึ้น จนเรียกได้ว่าร่ำรวยอย่างรวดเร็ว ตระกูลหลี่จึงได้ย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองตงเฉิง
นางถูกผู้เป็นบิดาจับหมั้นหมายกับบุตรชายของท่านเจ้าเมือง โดยที่เขาไม่ได้ถามความเห็นจากนางเลยสักนิด ได้แต่บอกว่าถึงเวลาที่นางต้องออกเรือน ทั้งยังช่วยให้หลี่เฉียงพี่ชายคนโตสามารถเข้าทำงานในที่ว่าการได้ด้วย
ถึงแม้นางไม่ยอมก็ทำอันใดไม่ได้ เมื่อหลี่กวนรับของหมั้นมาเรียบร้อยแล้ว เสิ่นฉงหาน บุตรชายเจ้าเมืองเสิ่นนับว่าเป็นคนดีไม่น้อย เขามิเคยเอ่ยถามนางเรื่องของวิเศษที่นางมีอยู่ เขามักจะแวะเวียนมาเที่ยวหาที่จวนตระกูลหลี่อยู่เป็นประจำ ทั้งยังเป็นสุภาพบุรุษจนหลิงเฟิ่งยอมเปิดใจ
แต่สิ่งที่เขาทำทั้งหมดเป็นเพียงภาพลวงตา ไม่รู้ว่าเสิ่นฉงหานไปทำข้อตกลงอะไรไว้กับหลี่กวน แต่เมื่อหลี่เฉียงพี่ชายคนโตรู้เข้า เขาถึงกับอาละวาดเสียใหญ่โต
“เฟิ่งเออร์ หากเจ้าแต่งไปแล้วก็จะเป็นคนตระกูลเสิ่น เมื่อนั้นเจ้าก็จะทอดทิ้งตระกูลหลี่” เขาคำรามออกมาเมื่อเห็นหลิงเฟิ่งเดินเข้ามาในห้องโถง
“ท่านพูดเรื่องอันใด ข้าไม่เคยมีความคิดเช่นนั้น” หลิงเฟิ่งมองเขาอย่างสับสน
“หยุดได้แล้วอาเฉียง!!! เจ้าอย่าได้สร้างปัญหา” หลี่กวนตวาดกร้าวออกมา ก่อนจะเดินเข้ามาดึงรั้งหลี่เฉียงที่กำลังเดินเข้ามาหาหลิงเฟิ่ง
“ท่านพ่อ!!! มิใช่ว่าท่านไปรับปากตระกูลเสิ่นไว้แล้วรึ ท่านคิดว่าตำแหน่งเจ้าหน้าที่เล็กๆ ข้าต้องการหรือไร” เขาตะโกนออกมาอย่างไม่ยอม
“แต่ท่านเจ้าเมืองจะช่วยเรื่องสอบอาซวงด้วย อย่างไรเฟิ่งเออร์ นางก็ยังเป็นคนตระกูลหลี่ครึ่งหนึ่ง”
หลิงเฟิ่งมองไปที่บุรุษสามคนต้องหน้าอย่างไม่เข้าใจ นางไม่เคยคิดจะทอดทิ้งพวกเขา ต่อให้นางแต่งออกไปอยู่จวนตระกูลเสิ่นแล้วก็ตาม อย่างไรทั้งหมดก็ได้ชื่อว่าเป็นบิดาและพี่ชายของนางในภพนี้
“หึ ท่านคิดว่า...ตระกูลเสิ่นจะยอมรึ หากได้คนของเราไปแล้ว” เขายิ้มเยาะมองผู้เป็นบิดา
“ข้าเห็นด้วยกับพี่ใหญ่ ท่านพ่อ ท่านทำตามที่พี่ใหญ่ว่าเถิด”
“มีเรื่องอันใดกันแน่ พวกท่านคนใดบอกข้าก่อนได้หรือไม่” หลิงเฟิ่งเดินเข้าไปหาคนทั้งสาม
“เฟิ่งเออร์ เจ้าถอดกำไลของท่านแม่ออกมาให้ข้า ต่อไปเจ้าแต่งออกไปเป็นคนตระกูลเสิ่นแล้ว ของวิเศษที่ติดตัวเจ้ามาต้องอยู่ที่จวนตระกูลหลี่เท่านั้น” เขาเดินเข้ามาหานาง หมายจะถอดกำไรในมือออก
“ท่านบ้าไปแล้วรึ นี่เป็นของของข้า แล้วข้าบอกท่านเมื่อใดว่าจะทอดทิ้งพวกท่าน ของที่ข้าเคยนำออกมาให้ก็ยังนำออกมาได้เช่นเดิม” นางกุมกำไลไว้แน่นอย่างไม่ยินยอม
“เจ้าคิดรึ ว่าเจ้าฉงหานจะรักเจ้าจากใจจริง มันก็ต้องการเพียงของที่เจ้ามีเท่านั้น ในจวนตระกูลเสิ่นสาวใช้ห้องข้างของมันมีไม่น้อยกว่าห้าคน ทั้งยังมีบุตรให้มันแล้วด้วย ที่ทุกคนปิดบังเจ้าก็เพื่อให้เจ้ายอมแต่งให้มันแต่โดยดี แต่ข้าไม่ต้องการแล้ว ข้าได้ยินมา พวกมันจะยึดครองกำไลของเจ้าเช่นกัน” หลี่เฉียงตะโกนออกมาอย่างคนเสียสติ
หลิงเฟิ่ง ตกตะลึงอยู่ไม่น้อย เมื่อได้รู้ความลับของคู่หมั้นตนเอง เขารับปากนางเรื่องที่จะไม่แต่งสตรีอื่นเข้าจวน จะยอมมีนางเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น แต่เรื่องสาวใช้ห้องข้าง และบุตรของเขา นางไม่เคยรู้มาก่อน
แม้แต่ตอนที่เดินทางไปที่จวนตระกูลเสิ่น นางก็ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ หรือเห็นเด็กน้อยเช่นที่หลี่เฉียงเอ่ยออกมาเลย อีกทั้งคนตระกูลเสิ่นก็ไม่เคยถามเรื่องมิติของนาง ถึงแม้จะมองกำไลที่นางสวมอยู่ก็เพียงแค่เอ่ยชื่นชมออกมาเท่านั้น
“ข้าไม่เชื่อ” หลิงเฟิ่งเอ่ยเสียงสั่นออกมา เวลานับเกือบปีที่เป็นคู่หมั้นเสิ่นฉงหาน เขาดูแลนางดีไม่น้อย นางบอกยังไม่อยากรีบออกเรือน เขาก็มิได้บังคับนาง รอจนกว่านางจะพยักหน้าให้ส่งฤกษ์มงคลมาที่เรือน
“หึ หายจากเสียสติแล้ว แต่ไม่คิดว่าเจ้าจะโง่หลงเชื่อลมปากของบุรุษเช่นฉงหาน หลังจากที่มันออกจากจวนตระกูลหลี่ มันก็เดินเข้าออกหอโคมแดงเป็นว่าเล่น เรื่องนี้ผู้ใดในเมืองตงเฉิงล้วนแต่รู้ดี แต่เพราะมันปิดปากชาวเมืองไม่ให้บอกเจ้าอย่างไรเล่า หากมีคนใดที่คิดจะพูดออกมา ตระกูลเสิ่นก็สังหารทิ้งอย่างไร้ค่า เจ้ายังจะไม่เชื่ออีกหรือไม่”
“เช่นนั้น ท่านพ่อก็ยกเลิกสัญญาหมั้นหมายไปเสียก็สิ้นเรื่อง”
“เจ้าไม่แต่งกับตระกูลเสิ่นก็ต้องแต่งผู้อื่นอยู่ดี อาเฉียงเจ้ามองความรุ่งเรืองภายภาคหน้าเถิด อย่าได้คิดตื้นเขินเพียงนี้ เฟิ่งเออร์กำไลที่เจ้าสวมก็เป็นของมารดาเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ถอดออกมามอบให้พี่ใหญ่เจ้าเสียเถิด” หลี่กวน เมื่อพูดกับหลี่เฉียงไม่ได้ เขาก็หันมาสั่งให้หลิงเฟิ่งถอดกำไลออกแทน
“น้องเล็กเจ้าถอดให้พี่ใหญ่ไปเถิด สตรีที่แต่งออกไปแล้วก็มิใช่คนตระกูลหลี่ครึ่งหนึ่ง ของวิเศษควรจะอยู่ที่ตระกูลหลี่ไม่ควรตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น” หลี่ซวงเอ่ยขึ้นมาอีกคน
“พวกท่าน มิได้บอกว่าเห็นข้าเป็นบุตรหรือน้องสาวที่สำคัญที่สุดของตระกูลหลี่รึ หากข้าไม่มีของวิเศษพวกนี้ เป็นเพียงหลี่หลิงเฟิ่งเสียสติ พวกท่านยังจะดูแลข้าต่อไปหรือไม่” หลิงเฟิ่งมองพวกเขาอย่างเจ็บปวด
“ข้าจะบอกเจ้าอีกอย่างก็แล้วกัน หากเจ้าไม่ฟื้นขึ้นมาเป็นคนปกติหลังจากที่ถูกปล่อยให้อดอาหารจนตาย ท่านพ่อก็คงอุ้มเจ้าเข้าไปทิ้งในป่าแล้ว”
“อาเฉียง!!! เจ้าพูดอันใดหยุดเดี๋ยวนี้”
หลิงเฟิ่ง นางไม่มีความทรงจำก่อนหน้าของหลี่หลิงเฟิ่งเลย จึงเชื่อพวกเขามาตลอดว่าสาเหตุที่หลี่หลิงเฟิ่งล้มป่วยจนตายแล้ววิญญาณของนางได้เข้ามาแทนที่ ก็เป็นเพราะนางออกไปเล่นน้ำฝนด้านนอกจนล้มป่วย
ตระกูลหลี่มิอาจหาเงินพานางไปหาหมอในเมืองได้ จึงได้แต่มองดูนางที่กำลังจะหมดล้มหายใจ นางรู้เพียงเท่านี้ ไม่คิดว่าพวกเขาจะสร้างเรื่องหลอกลวงนางมาตั้งแต่ที่นางลืมตาขึ้นมาเลย
ยิ่งได้รู้ความจริง ว่าหลี่กวนที่เดินเข้ามาในห้อง มิได้จะเข้ามาดูนาง แต่จะเข้ามาอุ้มนางไปทิ้งในป่าแทน รอยยิ้มเสียงหัวเราะ ตลอดหนึ่งปีที่นางมาอยู่ในร่างของหลี่หลิงเฟิ่งมันเป็นเพียงภาพลวงเท่านั้น
นางคิดมาตลอดว่าการที่ตัวคนเดียว แล้วได้มีครอบครัวช่างเป็นเรื่องดีนัก มีพี่ชายสองคนที่คอยเป็นห่วง ดูแลนาง หลิงเฟิ่งได้แต่หัวเราะเยาะในความโง่เขลาของตนเองออกมา
“พวกท่านว่า...หากข้าทำลายกำไลวงนี้ทิ้ง จะเป็นเช่นใด” หลิงเฟิ่งแววตาของนางแข็งกร้าวมองไปที่กำไลเจ้าปัญหาในมือของนาง
นิยายแนวทะลุมิติ นางเอกมีมิติส่วนตัวติดมาด้วย แต่ละเรื่องที่เคยได้อ่าน ล้วนแต่พบเจอครอบครัวที่อบอุ่น นางเอกล้วนแต่เก่งกาจ ไม่คิดว่าพอเป็นตนเองจะโง่เขลาเช่นนี้
“เจ้า!!! อย่าได้ทำอันใดบ้าๆ นะ” หลี่กวนตะโกนห้ามออกมา เมื่อเห็นสายตาที่ว่างเปล่าของหลิงเฟิ่งมองมาทางเขา เขาอดที่จะตื่นตระหนกไม่ได้
นางไม่เคยมองเขาเช่นนี้มาก่อน ไม่ว่าพวกเขาพ่อลูกต้องการสิ่งใด นำข้าว ผักออกไปขายมากแค่ไหน นางล้วนแต่เต็มใจมอบให้ทุกครั้ง
“อย่าได้โทษข้าก็แล้วกันน้องเล็ก” หลี่เฉียงพยักหน้าให้หลี่ซวงที่ยืนอยู่ด้านข้างของหลิงเฟิ่ง
เมื่อก่อนตอนเสียสติ นางก็ไม่เคยนึกรังเกียจที่มีหลิงเฟิ่งเป็นลูกสะใภ้ แต่พอนางหายดี ความสามารถของนาง ทั้งสิ่งของที่นางสามารถนำออกมาจากความว่างเปล่าได้ ยิ่งทำให้นางอยากจะขอบคุณสวรรค์วันละสามเวลาหลังอาหาร“หื้ม...แบบร่างของข้าน่าสนใจเพียงนั้นเลยรึเจ้าคะ”นางมิได้ร่างแบบที่แปลกประหลาดแต่อย่างใด นางเพียงแค่เพิ่มระเบียงหลังห้องที่สามารถนั่งอ่านตำรา หรือนั่งพูดคุยกันได้เพิ่มขึ้นมา ทั้งเรื่องห้องน้ำที่แบ่งพื้นที่เปียกกับพื้นที่แห้งชัดเจน จวนใหญ่ก็คงมีเช่นนี้ นางคิดว่าไม่ใช่เรื่องประหลาด“ใช่แล้ว นายช่างกวนไม่เคยเห็นเรือนที่เจ้าร่างมาก่อน ทั้งประตูที่ทำเป็นแบบเลื่อนได้ ข้าก็พูดไม่รู้เรื่อง เจ้าออกไปพูดเองดีกว่า หากอาหยุนจะตำหนิเจ้า ข้าจะจัดการเอง” จูซื่อดึงมือหลิงเฟิ่งออกไปพบนายช่างทันที“ประเดี๋ยวท่านแม่...ท่านลืมไปแล้วรึ ว่าชาวบ้านยังไม่มีผู้ใดรู้เรื่องที่ข้าหายดีแล้ว”“ตายจริง ข้าเกือบลืมไป ข้าจะออกไปพูดใหม่ ว่าอาหยุนเป็นคนร่าง เจ้ากลับเข้าไปอยู่ในห้องเถิด” จูซื่อนึกอยากจะตบปากตัวเองเสียหลายๆ ที นางจำต้องเดินไปพบนายช่างกวนเพื่อบอกให้เขามาพบชุยหยุนอีกครั้งในตอนเย็นชุยหยุนที่เข้าเมืองไปพร้อม
“ท่านแม่ เฟิ่งเออร์ ข้าใคร่ครวญเรื่องนี้ดีแล้ว อีกอย่างข้าไม่ใจบุรุษใจโลเล ที่พบเห็นสตรีอื่นก็จะเปลี่ยนใจได้ง่าย ในเมื่อข้าหายดีก็เป็นเพราะนาง มีเงินมากมายก็เป็นเพราะนาง แล้วจะมีเหตุผลใดที่ข้าจะไม่ต้องการใช้ชีวิตกับนาง”หลิงเฟิ่งยังเม้นปากแน่น นางพอจะเชื่อว่าตระกูลซ่งรักนางจากใจจริง แต่นางยังไม่มั่นใจที่จะใช้ชีวิตเช่นสามีภรรยากับชุยหยุน“ไว้ท่านกลับเข้าไปเรียนอีกครั้ง แล้วสอบผ่านซิ่วไฉได้ หากยังต้องการสร้างครอบครัวกับข้าจริง ข้าจะไม่ปฏิเสธท่านแล้ว แต่หากพบเจอคนที่ท่านต้องการใช้ชีวิตมากกว่าข้า อย่างไรข้าก็ยังเป็นน้องสาวของท่านได้”“เช่นนั้นก็ว่ากันตามนี้ นี่ก็ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้เจ้ายังต้องเดินทางเข้าเมืองแต่เช้า เครื่องนอนก็ยังมิได้เปลี่ยน”จูซื่อเอ่ยยุติการสนทนาที่ดูท่าหากพูดกันต่ออย่างไรก็คงไม่จบในคืนนี้ หลิงเฟิ่งจึงได้ลุกขึ้นไปช่วยจูซื่อเปลี่ยนเครื่องนอนในห้องของนาง ก่อนจะกลับไปเปลี่ยนเครื่องนอนที่ห้องของตนเอง“ท่านว่า...ข้าไปนอนห้องท่านแม่ดีหรือไม่”หลิงเฟิ่งมองเตียงที่มีผ้าห่ม หมอน เพิ่มเข้ามาแล้ว หากขึ้นไปนอนสองคนก็ดูจะอึดอัดไม่น้อยเลย“ไม่ต้อง ใช้ผ้าห่มผืนเดียวก็พอ” ชุยหยุนเก็บผ
หากเขาได้รู้ตั้งแต่แรก คงยอมให้มารดาแต่งกับลุงกู้ไปนานแล้ว ตอนที่คิดว่าจะจบชีวิตลง ยังเป็นห่วงมารดาว่านางจะอยู่เพียงผู้เดียว“แม่...แม่” นางจูซื่อทั้งเขินอาย ทั้งไม่รู้จะหาคำใดมาพูดกับลูกชายดี นางจึงได้แต่อ้าปากและหุบปากลง“หากพวกท่านต้องการที่จะใช้ชีวิตด้วยกัน ข้าเองก็ไม่มีสิ่งใดที่จะขัด ข้าขอท่านลุงเพียงเรื่องเดียว...อย่าทำให้ท่านแม่ข้าเสียใจก็พอ” ชุยหยุนเอ่ยออกมาอย่างจริงจัง“ได้ๆ ข้าไม่มีทางทำให้จูจูนางเสียใจเป็นอันขาด” ลุงกู้พยักหน้าอย่างรวดเร็วหลิงเฟิ่งได้แต่เบิกตากว้าง ถึงขั้นเรียกนามกันอย่างสนิทสนมเช่นนี้ คงดูใจกันมานานมากแล้วแน่ๆ“ข้าบอกพวกเจ้าแล้ว อาหยุนมิใช่คนไม่รู้ความหากพวกเจ้าบอกตั้งนาน ป่านนี้ก็มีลูกน้อยมาวิ่งเล่นแล้ว” ป้าจินเอ่ยเย้าออกมาหลิงเฟิ่งก็พยักหน้าน้อยๆ อย่างเห็นด้วย แม่สามีของนางยังไม่ถึงสี่สิบหนาว หากนางแข็งแรงมากพอเรื่องมีบุตรไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้“พวกข้ากลับก่อนดีกว่า พวกเจ้าก็ค่อยๆ คุยกันไป จะจัดงานมงคลเมื่อใดก็บอกข้าด้วยเล่า” ป้าเหลียนโบกมือลา ก่อนจะลากอาไฉที่มองคนนั้นทีคนนี้ทีกลับไปด้วยกันนางยังได้ยินเสียงอาไฉ ร้องตะโกนให้ป้าเหลียนไปหาสตรีมาแต่งเป็น
ชาวบ้านที่ออกมารอรับ เมื่อเห็นเกวียนวัวมิได้มีชุยหยุนและหลิงเฟิ่งลงมา ต่างก็รีบวิ่งตามเกวียนวัวที่เคลื่อนตัวไปทางเรือนตระกูลซ่งทันทีแม้ชาวบ้านคนอื่นจะสงสัย แต่ก็ไม่ได้คิดที่จะตามไป ชาวบ้านที่วิ่งตามคงฝากเจ้าของเกวียนวัวกับชุยหยุนซื้อของ เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในหมู่บ้านที่ห่างไกลเมือง จนเป็นเรื่องชินตาอยู่แล้วหลิงเฟิ่งนางเอาเงินส่วนของพวกลุงกู้ออกมาใส่ไว้ในตะกร้าแล้ว พอมาถึงเรือนชุยหยุนก็ส่งสายตาบอกบุรุษทั้งสาม ว่าตั๋วเงินอยู่ในตะกร้า ก่อนจะจูงหลิงเฟิ่งที่กลับมาแกล้งบ้า เข้าไปพักเรือนก่อนป้าเหลียนกับป้าจิน ถูกสามีและบุตรชายดันตัวให้เข้าไปช่วยชุยหยุนประคองหลิงเฟิ่งไปส่งในเรือน พวกนางจึงได้รับเข้าไปทำหน้าที่แทนชุยหยุนทันที“เจ้าไปคุยกับชาวบ้านเถิด ข้าจะพาเฟิ่งเออร์ไปพักเอง” ชุยหยุนเข้าใจในคำพูดของป้าเหลียน เขาจึงปล่อยมือหลิงเฟิ่งแล้วเดินไปหาหัวหน้าหมู่บ้านแทน“ห้องเจ้าแคบ ไปห้องข้าดีกว่า” จูซื่อเห็นว่าป้าเหลียนกับป้าจินจะตามหลิงเฟิ่งเข้าไปสอบถามความในห้อง จึงได้ขวางหน้าเอาไว้สตรีทั้งสี่คนอยู่ภายในห้องนอนของจูซื่อ ทั้งยังลงกลอนไว้อย่างแน่นหนาแล้วด้วย“พวกท่านรับปากข้าก่อน ห้ามร้องออกมา
ทั้งสองที่รอให้เสี่ยวเอ้อไปชั่งหญ้าหนอน จึงสอบถามว่าหมอถานยังรับเพิ่มอีกหรือไม่ ตอนนี้ชาวบ้านกำลังเก็บอยู่ พรุ่งนี้คงจะนำมาขายให้อีกรอบได้“หมู่บ้านหู่เซิง มีหญ้าหนอนมากเพียงนี้เลยรึ” เขาเอ่ยถามออกมาอย่างสงสัยด้วยที่ผ่านมาไม่เคยมีชาวบ้านเก็บมาขายเลย หรือว่าจะไม่รู้จักก็เห็นจะไม่ใช่ ราคาที่สูงของโสม เห็ดหลินจือ หญ้าหนอน ทำให้ชาวบ้านที่ขึ้นเขาได้แต่หวังว่าจะโชคดีพบเจอสักเล็กน้อย“ขอรับ อาจจะเป็นความโชคดี ที่พวกข้าได้บังเอิญไปพบบนภูเขาที่ชาวบ้านไม่ได้เข้าไปหาของป่า”“เป็นเช่นนี้เอง” หมอถานพยักหน้าอย่างเข้าใจครั้งนี้เขาคงไม่ให้หลงจู๊เดินทางไปส่งของที่เมืองหลวงแล้ว คงจะเดินทางไปด้วยตนเองแทนเสี่ยวเอ้อเดินเข้ามาแจ้งเรื่องจำนวนหญ้าหนอนที่ชั่งได้ ของพวกลุงกู้เก้าชั่ง เป็นเงินสองพันเจ็ดร้อยตำลึงทอง ของหลิงเฟิ่งยี่สิบห้าชั่ง เป็นเงินมากถึงหนึ่งหมื่นสองพันห้าร้อยตำลึงทองค่าเงิน1 อิแปะ, เหวิน = 1 เหรียญทองแดง1 ก้วน = 1,000 อิแปะ /เหวิน/เหรียญทองแดง1 ตำลึงเงิน = 1ก้วน (พวง)1 ตำลึงทอง = 10 ตำลึงเงินแม้แต่หลิงเฟิ่งเองก็ตกใจกับน้ำหนักหญ้าหนอนหนึ่งตะกร้า ดูจะมากกว่าที่นางขายผักเมื่อชีวิตที่แล้
เกวียนวัวเริ่มเคลื่อนตัวออกจากหมู่บ้าน หลิงเฟิ่งที่ทนแรงเขย่าไม่ให้ก็เอนตัวพิงเกวียนเพื่อหลับตาพักผ่อน นางกลัวจะอาเจียนออกมา หากไม่ข่มตาหลับ ชุยหยุนเห็นเช่นนั้นจึงประคองศีรษะของนางให้พิงมาที่ไหล่ของเขาแทน“หึ มิคิดว่าเจ้าจะดูแลนังบ้าดีเช่นนี้” หลี่ซวงอดที่จะถากถางออกมาไม่ได้ ยิ่งมองรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปของหลิงเฟิ่งเขาก็ยิ่งไม่ชอบใจนางคงจะอยู่ดีกินดี ถึงได้เริ่มมีน้ำมีนวล อีกทั้งใบหน้าที่เคยซูบผอมไม่ชวนมองก็เริ่มเผยความงามออกมาแล้ว“เจ้าควรจะดีใจ ที่ตระกูลซ่งของข้าดูแลนางดีเช่นนี้ หรือว่า...เจ้ามิใช่พี่ชายของนาง” หากมองดูดีๆ หลิงเฟิ่งก็ไม่ได้มีส่วนใดที่คล้ายกับคนตระกูลหลี่เลย จะบอกว่านางเหมือนมารดาของนางก็คงไม่ใช่ มารดาของหลิงเฟิ่งปากหนา ตาเล็ก จมูกก็มิได้เป็นสันโด่งเช่นนั้นนาง“ผู้ใดอยากจะมีน้องสาวเสียสติเช่นนาง ตอนนี้นางก็ถูกตระกูลหลี่ตัดขาดไปแล้ว ต่อไปเจ้าอย่าได้อ้างถึงคนตระกูลหลี่อีก”นี่คือสิ่งที่ชุยหยุนอยากได้ยินจากปากของหลี่ซวง ในเกวียนมีชาวบ้านในหมู่บ้านอีกนับสิบ สิ่งที่เขาพูดในวันนี้ย่อมมีผลภายหน้าอย่างแน่ตลอดสองชั่วยามที่เดินทางเข้าเมือง ไม่ว่าหลี่ซวงจะพูดสิ่งใดต่อ ชุยหยุนก