แชร์

007

ผู้เขียน: เสี่ยวหลันฮวา
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-10-14 16:55:00

ขณะที่ทางนี้พูดอย่างออกรสออกชาติ ทางด้านองค์หญิงผิงอันก็ตึงเครียดไม่แพ้กัน บรรยากาศทั้งสองอย่างรวมอยู่ในที่เดียวกันชวนให้รู้สึกแปลกประหลาดยิ่งนัก 

มีเพียงซูเหยาที่วางตัวเองอยู่นอกวงสนทนาทั้งที่เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากนาง นางยังกินดื่มปกติ เสียดายที่กินไม่กี่คำก็ไม่รับรู้รสชาติเสียแล้ว สุดท้ายก็ยอมแพ้ วางตะเกียบลงแต่โดยดี

“อาหารไม่ถูกปากหรือ เดี๋ยวข้าให้คนครัวไปทำมาให้ใหม่ดีหรือไม่” องค์หญิงผิงอันเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล นางจัดงานเลี้ยงเพื่อมาสังสรรค์กับสหาย กลับกลายเป็นว่าทำให้สหายกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกเสียเอง น่าตายนักสองคนนั้นต้องการล่มงานเลี้ยงของนางหรืออย่างไร ยิ่งคิดยิ่งไม่สบอารมณ์

ซูเหยาส่ายหน้า โคลงศรีษะเล็กน้อย หันไปยิ้มอ่อนๆ ให้ทีหนึ่ง “ทานไปเยอะถึงเพียงนี้แล้วนะเพคะ หากพระองค์ทรงโปรดให้พวกเขายกเข้ามาอีก เห็นทีท้องน้อยๆของหม่อมฉันคงรับไว้ไม่หมดเป็นแน่”

“ข้าว่าไม่ใช่กระมัง เจ้าคงไม่ได้เห็นพี่ห้าของข้าแล้วกินไม่ลงหรอกหรือ หากเป็นอย่างนั้นก็แย่หน่อย เขาไม่ได้ตั้งใจเจ้าเองก็อย่าได้ถือสา” องค์หญิงโซ่วคังพูดไปพลางยิ้มไปพลาง รอบด้านเงียบลงทันตา บรรยากาศกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที องค์หญิงผิงอันถลึงตาใส่อย่างไม่สบอารมณ์ ปากน้อยๆกำลังจะเอ่ยออกไปเพียงแต่โดนน้ำเสียงเฉยชาขัดขึ้นเสียก่อน

ซูเหยาเลิกคิ้ว “องค์หญิงทรงล้อหม่อมฉันเล่นแล้ว เรื่องกินดื่มจะมีใครสู้หม่อมฉันได้ มีใครไม่รู้บ้างว่าหม่อมฉันชอบการกินดื่มเป็นที่สุด ท่านกล่าวเช่นนี้ใช่ติว่าอาหารของตำหนักองค์หญิงผิงอันรสชาติไม่ดี หรือคังอ๋องหน้าตาไม่ดีพอทำให้คนอื่นไม่เจริญอาหารกันล่ะ”

“เจ้า!” ใบหน้าขององค์หญิงโซ่วคังปรากฏสีแดงสลับดำ ชี้หน้าซูเหยาอย่างโกรธเคือง พูดอะไรไม่ออกเป็นนาน

“เอ๊ ที่ซูเหยาพูดมาก็ไม่ผิด หรือพี่หญิงคิดว่าไม่ใช่?” องค์หญิงผิงอันกล่าวอย่างไม่ไว้หน้า  หาเรื่องสหายของนางหรือ เป็นองค์หญิงเหมือนกันแล้วอย่างไร นางจำเป็นต้องไว้หน้าหรือ 

ซูเหยาอุตส่าห์อยู่เฉยๆ ไม่อยากข้องเกี่ยวกับผู้ใด แต่คนน่าตายพวกนี้กำลังทำให้นางอารมณ์เสีย นี่สินะที่เขาเรียกว่า เจ้าไม่หาเรื่อง แต่เรื่องก็มาหาเจ้าอยู่ดี  

รอยยิ้มบนใบหน้าซูเหยายิ่งกดลึก “ที่แท้เป็นหม่อมฉันเข้าใจผิดไปเอง องค์หญิงจิตใจดีงามจะไม่พอใจเพราะอาหารไม่ถูกปากได้อย่างไร พระองค์อย่าได้ถือสาเลยนะเพคะ”

จังหวะที่องค์หญิงโซ่วคั่งทนไม่ไหวกำลังจะเอ่ยปากนั้น คังอ๋องที่นั่งอยู่ข้างกายพลันส่งสายตาห้ามปราม “โซ่วคังอย่าเสียมารยาท”

“นางยังเด็ก พูดจาไม่ทันคิด แต่แท้จริงแล้วในใจนางไม่ได้มีเจตนาร้ายอันใด เจ้าอย่าได้โกรธจนทำให้เสียสุขภาพเลย” คังอ๋องยิ้มอย่างจนใจ ใช้น้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยนอันคุ้นเคยกล่าวปลอบซูเหยา

เด็ก? อีกไม่กี่เดือนนางก็อายุสิบแปดปีเต็มแล้ว หากนางเด็ก ข้าคงเป็นทารกอยู่ในครรภ์มารดากระมัง

“หรือคังอ๋องฟังไม่เข้าใจ หม่อมเพียงชี้แจงเท่านั้น หาได้มีอารมณ์โกรธเคืองไม่” ซูเหยาเหลือบมองคังอ๋องปราดหนึ่ง ทันได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาประดับรอยยิ้มอ่อนโยนแข็งค้าง

เสียนเฟยที่นั่งอยู่นานเอ่ยขึ้น “เอาล่ะ เอาล่ะ พวกเจ้าอย่าได้ทะเลาะกันให้เสียบรรยากาศเลย ข้าเห็นว่ามีสตรีอยู่รวมกันพร้อมหน้า จะนั่งกินดื่มเพียงอย่างเดียวคงน่าเบื่อเกินไป ไม่สู้ให้แต่ละนางออกมาแสดงความสามารถให้พวกเราได้ชื่นชม องค์หญิงผิงอันคิดว่าเป็นเช่นไร”

“ก็ดีเหมือนกัน” ซูเหยาเหลือบมองสหายที่กระพริบตาปริบๆ ส่งมาให้อย่างไร้เดียงสาก็ให้ทอดถอนใจ นางยังกลัวว่าโลกนี้ยังวุ่นวายไม่พอหรือไงนะ ไฉนงานเลี้ยงชมบุปผาดีๆ กลายเป็นสถานที่ดูตัวของเหล่าองค์ชายไปเสียแล้ว

เมื่อทรงได้รับอนุญาตจากเจ้าของงานแล้ว บรรยากาศอึมครึมเมื่อสักครู่พลันสลายหายไป ความคึกคักเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว ไม่นานก็มีสตรีนางหนึ่งก้าวออกมายืนอยู่กลางวงล้อม ซูเหยาเพ่งพินิจอยู่นานก็นึกชื่อไม่ออก เหมือนจะเป็นบุตรีของขุนนางอาลักษณ์ขั้นสี่คนหนึ่ง

เสียนเฟยไม่รอให้นางสงสัยนาน เอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา “เจ้าชื่ออะไร”

“หม่อมฉันลู่เยว่ บุตรตรีคนโตของไต้เท้าลู่เหิงเพคะ” ลู่เยว่ตื่นเต้นอยู่บ้าง เป็นครั้งแรกที่นางได้พูดคุยกับคนในราชวงศ์และทำการแสดงต่อหน้าคนหมู่มากเช่นนี้ มือทั้งสองชื้นเหงื่อ ก้มหน้าไม่กล่าววาจาเกินความจำเป็น

เสียนเฟยพยักหน้า ส่งสัญญาณให้ลู่เยว่ “เริ่มได้”

เสียงพิณบรรเลงไปอย่างเรียบเรื่อย ไม่มีอันใดน่าสนใจ ซูเหยามองการแสดงอย่างเบื่อหน่าย ในใจก็อดรู้สึกสงสารลู่เยว่เล็กน้อย หากพูดถึงผู้แตกฉานด้านเพลงพิณแล้วล่ะก็ นางรู้จักอยู่คนหนึ่ง ซูเหยากวาดสายตาไปหยุดอยู่ที่มุมหนึ่งที่ไม่สะดุดตาผู้คน พลางยกจอกสุราในมือขึ้นจิบ

ระหว่างที่ชมหญิงสาวแต่ละนางทยอยแสดงความสามารถอยู่นั้น องค์หญิงผิงอันที่เริ่มง่วงงุนชะโงกหน้ามากระซิบกับซูเหยาแก้เบื่อ

“เรื่องของเจ้ากับพี่ห้าเป็นอย่างไร เพราะเหตุใดเจ้าถึงปฏิเสธเขาเล่า” รวบรัดตรงประเด็น ความอยากรู้อยากเห็นไม่เป็นสองรองใคร

“ก็ไม่อย่างไร ข้าแค่ไม่ชอบเขาแล้วเท่านั้น” เมื่อได้ยินกันแค่สองคน พวกนางมักจะละทิ้งคำเรียกขานตามบรรดาศักดิ์ทิ้งไป พูดคุยอย่างสหายสนิททั่วไปเท่านั้น

“หา พวกเจ้าคบหากันมาสองปีแล้วไม่ใช่หรือ อยู่ๆ จะเลิกชอบก็เลิกได้เร็วปานนี้” ใบหน้าง่วงงุนขององค์หญิงผิงอันเปลี่ยนเป็นงงงวย ไม่ใช่ว่าสหายรักแอบชื่นชมพี่ห้ามาตั้งแต่ยังเยาว์หรอกหรือ ไฉนบทจะเลิกชอบก็เลิกได้ทันท่วงทีอย่างที่พูด

“แต่ไหนแต่ไรข้าก็แค่ชอบหน้าตาของเขา ส่วนอื่นไม่น่าสนใจสักเท่าไหร่” ซูเหยาครุ่นคิด “ท่วงท่าก็ไม่สง่าเท่ากับพี่แปดของเจ้า ส่วนความเก่งกาจข้าพอสูสีกับเขาได้อยู่นะ” พูดจบนางก็หัวเราะออกมาแผ่วบา

“หากเจ้าชอบคนหน้าตาดีเช่นนี้ ข้าพอจะรู้จักอยู่คนหนึ่ง” พูดถึงตรงนี้องค์หญิงผิงอันก็กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ นิสัยชอบคนที่หน้าตาอย่างพวกนางแก้ไม่หายจริงๆ

“ใครหรือเพคะ” ซูเหยากลอกตา ทว่าก็เอ่ยถามไปตามน้ำ

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้างาม “คุณชายสามตระกูลมู่หรง มู่หรงไป๋อี้”

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • อย่าบังคับให้ข้าต้องกลายเป็นนางร้าย   031

    ซูเหยายกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ไม่ตอบในทันที นางเปลี่ยนท่านั่ง เอนตัวพิงหมอนข้าง ปลายนิ้วเรียวเคาะลงบนโต๊ะข้างตัวสามครั้ง เป็นจังหวะเนิบนาบราวกับคนกำลังนับอะไรอยู่ในใจ“ข้าล่อเหยื่อไว้ตั้งแต่เช้าแล้ว” นางพูดในที่สุด น้ำเสียงแฝงความเหนื่อยอ่อนที่แสร้งทำจนบ่าวรับใช้แทบแยกไม่ออก“ปลาตัวนั้นอาจฉลาด ทว่าเมื่อเห็นเหยื่อก้อนใหญ่กว่าปกติ ใครจะอดใจไหวกัน”หลี่หลัวรีบเอ่ยด้วยความร้อนใจ “โธ่คุณหนู ของรางวัลพวกนั้นล้วนเป็นของมีค่าที่ท่านเก็บสะสมไว้ทั้งสิ้น มิใช่ของที่หาได้ง่ายดาย หากสุดท้ายแล้วไม่ได้เบาะแสกลับมา...”“ไม่ได้หรือ” ซูเหยาตัดคำเสียงเบา แววตาเป็นประกายอ่อนระยับราวแสงหิ่งห้อย “ทำไมจะไม่ได้กัน”หลี่หลัวกับกุ้ยซินสบตากันอีกครั้ง สีหน้าผสมผสานทั้งความงงงันและกังวลซูเหยาเอนตัวพิงหมอนอีกครั้ง ในใจนางหัวเราะอยู่ไม่รู้กี่รอบ เพราะนางรู้คำตอบอยู่แล้ว“ง่ายเสียยิ่งกว่าปอกเปลือกทับทิม เพราะข้ามีสิ่งที่ไม่มีใครมี ดวงตาที่เห็นความรู้สึกแท้ของคนทั้งเรือน”“พวกเจ้าจะซ่อนความรู้สึกอย่างไรได้กัน เมื่อข้าเห็นแม้แต่ความลังเลในหนึ่งลมหายใจของพวกเจ้า”หลี่หลัวกับกุ้ยซินยังก้มหน้าอยู่ตรงนั้น ทั้งคู่เพิ่งรู้ว่าเ

  • อย่าบังคับให้ข้าต้องกลายเป็นนางร้าย   030

    รุ่งอรุณคลี่ตัวอย่างอ้อยอิ่ง ละอองหมอกบางล้อมรอบจวนฟาง เงาของกิ่งเหมยทอดบนพื้นกรวดที่ยังชื้นจากฝนเมื่อคืนซูเหยาแต่งกายเรียบง่ายในอาภรณ์สีฟ้าอ่อน ผ้าคลุมไหล่บางพาดผ่านบ่า ผิวซีดจัดราวกับยังไม่หายไข้ดีนางก้มหน้าลงช้า ๆ สะท้อนภาพตนเองในกระจกสำริด ใบหน้าซีดขาวไร้สีเลือด ริมฝีปากคล้ายกลีบดอกท้อถูกน้ำค้างกัดจนจืดสีปลายนิ้วเรียวแตะกล่องแป้งฝุ่น ตบเบา ๆ ลงบนแก้ม นางมองเงาตัวเองอย่างพิจารณา ก่อนหัวเราะแผ่วที่มุมปาก“อ่อนแอหน่อยจะได้ไม่มีใครกลัวข้า”เสียงไอหลายคำหลุดจากลำคอราวกับลมร่วงผ่านกิ่งหลิว เมื่อก้าวออกจากเรือน ทุกสายตาที่มองเห็นต่างรีบเข้ามาช่วยประคอง แต่ซูเหยาเพียงยกมือปฏิเสธ“ไม่เป็นไร ข้าเพียงต้องลมเข้าหน่อยเท่านั้น”พอถึงลานกลาง บ่าวทุกคนก็รออยู่เรียงแถวเรียบร้อย บนโต๊ะหินกลางลานมีถุงเงินวางซ้อนเรียงเป็นระเบียบ สิบตำลึงสำหรับทุกคนตามที่นางสัญญาไว้เมื่อคืน“ทุกคนอยู่กันพร้อมแล้วหรือ” ซูเหยาเอ่ย น้ำเสียงอ่อนแรง“พร้อมเจ้าค่ะ/ขอรับ” เสียงตอบพร้อมกันดังกังวานซู

  • อย่าบังคับให้ข้าต้องกลายเป็นนางร้าย   029

    พลบค่ำหลี่หลัวกลับมาด้วยสีหน้าเร่งรีบก็รู้ได้ทันทีว่ามีข่าวใดไม่ดีซูเหยาซึ่งเอนกายอยู่บนหมอนลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน “ว่าอย่างไร”สีหน้านางซีดเผือดด้วยความวิตก ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าซูเหยา “คุณหนู ยามีปัญหาจริง ๆ เจ้าค่ะ”“อืม ท่านหมอบอกว่าอย่างไรหรือ” ซูเหยาทิ้งเสียงหัวเราะแผ่วเบา เห็นว่าตนทำให้หลี่หลัวตื่นตกใจเสียแล้ว “ไม่เป็นไร อย่ากังวล ค่อยๆ เล่า”“หมอท่านว่า สารที่พบคล้ายเป็นผงรากเย็น ชนิดที่ผ่านการบดละเอียดและแช่ในน้ำไว้นานจนสลายเป็นละออง สรรพคุณของมันไม่ใช่ให้ตายทันที หากแต่ชะลอการหมุนเวียนโลหิต ทำให้หยางภายในอ่อนลง สร้างความเย็นชาต่อเนื้อเยื่อและช่วยชะลออัตราการเผาผลาญ หากรับประทานต่อเนื่อง ผู้รับจะค่อย ๆ ซีด เหนื่อยล้า ชีพจรเบาและช้า มือเย็น ปลายเท้าเย็น อาจมึนงงและซึมลงทุกวัน”ซูเหยาพยักหน้า ช้อนสายตาลงมองผ้าเช็ดหน้าซึ่งหลี่หลัวนำมาวางไว้บนเก้าอี้ข้างเตียง “แปลว่าผู้วางตัวยาหวังให้ข้าอ่อนแรงลง มิได้หวังให้ข้าตายทันที”หลี่หลัวอุทาน “เจ้าคะ?”ซูเหยาครุ่นคิด มือข้างหนึ่งก่ายหน้าผากจนใจเอื้อนเอ่ย “แล้วกากยาล่ะ พบอะไรหรือไม่”“ไม่พบเจ้าค่ะ” หลี่หลัวสั่นศีรษะ “กากยาที่ข้านำไปตรว

  • อย่าบังคับให้ข้าต้องกลายเป็นนางร้าย   028

    นับจากที่ตากฝนเมื่อคืน ซูเหยาล้มป่วยอย่างเป็นทางการ หลายวันมานี้นางเจอเรื่องราวมากมายจนร่างกายอ่อนแอด้วยความเครียดสะสม เป็นเหตุให้ซูเหยาหยุดแสร้งทำตัวอ่อนแอเพราะนางป่วยจริงๆหลี่หลัวเข้ามาพร้อมยาต้ม พอรับประทานอาหารเสร็จจิบไปคำหนึ่ง รสขมเฝื่อนของยาเมื่อครู่ทำเอานางอดขมวดคิ้วไม่ได้ แต่ไม่ได้กล่าวอันใด นางดื่มอีกคำลงไป ยามนี้เองสีหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว พร้อมกับคายยาใส่ถ้วยดังเดิม“ยาต้มนี้เป็นชามที่สามของวันแล้วใช่หรือไม่” ซูเหยาวางชามลง มองหลี่หลัวแววตาจริงจัง ยาชามนี้คล้ายว่าไม่เหมือนกับก่อนหน้า“ใช่เจ้าค่ะ คุณหนูเป็นอันใดไป หรือว่ายามีปัญหาเจ้าคะ”ซูเหยาหยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดมุมปาก ถามขึ้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “ยารอบนี้ เจ้าต้มเองหรือไม่”“กุ้ยซินเป็นคนต้มเจ้าค่ะ ส่วนข้าเป็นคนเฝ้าไว้ไม่ได้ลุกไปไหน ทุกขั้นตอนล้วนทำตามที่ท่านหมอกำชับ” สีหน้าหลี่หลัวแปรเปลี่ยน “ยานี้ผิดปกติจริงหรือ”“ยังบอกไม่ได้ เพียงแต่กลิ่นแตกต่างกว่าครั้งก่อนอยู่บ้าง” ซูเหยาดึงปิ่นปักผมจุ่มลงชามยาต้ม ด้ามสีเงินยังคมเดิม “เจ้านำยาต้มในชามไปโรงหมอสักรอบหนึ่ง ตรวจดูว่ามีสิ่งใดเจอปนบ้าง หากไม่พบก็แล้วไป ข้าอาจคิดมา

  • อย่าบังคับให้ข้าต้องกลายเป็นนางร้าย   027

    เสียงระฆังลมกระทบกันเบา ๆ แสงแดดยามสายส่องลอดม่านไม้ไผ่เป็นริ้วร้านน้ำชาที่เพิ่งเปิดใหม่ “เหยาซินถัง” ตกแต่งงดงาม ตัวอาคารไม้สีอ่อน โปร่งด้วยหน้าต่างกระจกฝ้ารูปเมฆ โต๊ะไม้ไผ่เรียงรายเป็นระเบียบ ด้านในสุดมีชั้นวางโถชาแกะลาย ตรงกลางห้อง มีกระถางบัวขนาดใหญ่ น้ำใสสะท้อนเงาจันทร์จำลองจากโคมกระดาษที่แขวนอยู่เหนือศีรษะวันนี้คลาคล่ำด้วยผู้คน พวกหลงจู๊และเหล่าบัณฑิตมานั่งพูดคุยกัน เสียงหัวเราะนุ่มนวลเคล้ากลิ่นชาอบใบเหมย และกลิ่นหอมหวานจากขนมสดใหม่ซูเหยาอยู่ในชุดผ้าแพรสีอ่อน นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ไม้เล็ก ๆ นางกำลังบรรจงรินน้ำชาจากกาน้ำดินเผาลงในจอกขาว ละอองไอร้อนลอยคลอรอบปลายนิ้วหลี่หลัวยืนอยู่ใกล้ ๆ มือเรียวกำลังจดบัญชีและตรวจนับกล่องชา พูดด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ“ในที่สุดความฝันของคุณหนูก็กลายเป็นจริงแล้วเจ้าค่ะ ดูสิ ลูกค้าข้างนอกแน่นขนัดตั้งแต่เปิดร้านจนถึงตอนนี้ยังไม่มีวี่แววว่าจะลดลงเลยสักนิด”ซูเหยายิ้มบาง ดวงตาอ่อนโยนทอดมองออกไปยังหน้าร้าน มองกลุ่มคนเดินผ่าน เสียงหัวเราะของแขกหนุ่มสาว และสูดกลิ่นหอมของขนมอบคลุ้งไปทั่วอากาศ“กลิ่นชาคละเคล้าขนมสูตรเฉพาะตอนนี้กำลังดีทีเดียว หากรุนแรงไปจะท

  • อย่าบังคับให้ข้าต้องกลายเป็นนางร้าย   026

    ซูเหยาใช้เท้าเขี่ยขาเขาอย่างไม่ลังเล ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง น่าจะสลบไปแล้วกระมัง"ช่วยคนหนึ่งครั้งเรียกว่าบังเอิญ สองครั้งเรียกว่าสวรรค์บังคับ" ซูเหยาพึมพำกับตัวเองขณะยืนมองเขา นางเริ่มยกชายเสื้อของเขาขึ้น พิจารณาแผลกลางอกที่ยังคงไหลออกมาไม่หยุด แม้จะไม่ลึกมากจนถึงชีวิต แต่ถ้าไม่รีบรักษาในตอนนี้ เขาคงจะได้ตายจริง ซูเหยารู้ดีว่าเวลาไม่รีรอเมื่อมือของซูเหยาเริ่มทำแผลให้กับเขา นางรู้สึกถึงความไม่มั่นคงที่กำลังก่อตัวในใจ ความหล่อเหลาของเขาทำให้นางเผลอหยุดมองเนิ่นนาน ใบหน้าที่ไม่อาจบรรยายได้ด้วยคำพูด ความงดงามของเขานั้นเหมือนเทพบุตรที่ลงมาอยู่ตรงหน้าในขณะที่นางทายา มืออีกข้างไม่รักดีถึงกับลูบไล้ใบหน้ารูปสลักนั้น ความรู้สึกบางอย่างก็แทรกเข้ามาในใจของซูเหยาฉับพลัน นางรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ยากจะอธิบาย ซูเหยากลืนน้ำลายอึกใหญ่ สั่นศีรษะเรียกสติตนเองกลับคืน ไม่ได้ ข้าไม่อาจปล่อยให้ตัวเองติดอยู่ในความลุ่มหลงนี้ได้จู่ ๆ สัญชาตญาณบางอย่างก็ทำให้ซูเหยาหยุดการกระทำของตัวเองได้สำเร็จ นางเหลือบมองไปที่ศีรษะของชายหนุ่ม แล้วเห็นตัวเลขที่กระพริบขึ้นเหนือหัวของเขา นางไม่อาจมองข้ามสิ่งนี้ได้ ค่าความชอบ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status