แชร์

บทที่ 10

ผู้เขียน: มาแล้วก็อยู่ต่อเถอะ
หลังจากได้วัตถุดิบมาจากห้องเครื่องแล้ว เสี่ยวเจาก็ไม่กล้าโอ้เอ้อยู่ข้างนอกนาน

นางกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น แล้วจะเสียเสบียงอาหารเพียงหนึ่งเดียวนี้ไป

นางจะต้องชนะในสงครามปกป้องอาหารครั้งนี้ให้ได้!

อวี๋ผินพาชุ่ยอิงยืนอยู่หลังต้นไม้ต้นหนึ่ง เมื่อเห็นท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ เหมือนขโมยของเสี่ยวเจา ก็แค่นเสียงเย็น

นางแค่ไม่ได้จับตาดูเจียงหวนเพียงไม่กี่วัน คนของตำหนักรองฝั่งตะวันตกนี่ก่อเรื่องอะไรขึ้นอีกแล้ว!

“ชุ่ยอิง เจ้าไปดูสิว่า นางกำลังแอบทำอะไรอยู่?”

หลังจากชุ่ยอิงรับคำก็รีบตามไปทันที ไม่นานนัก ชุ่ยอิงก็กลับมา

“พระสนมเพคะ บ่าวเห็นนังเด็กเสี่ยวเจานั่น ไม่รู้ว่าไปเอาต้นหอมกับแป้งหมี่มาจากไหนเพคะ”

“อะไรนะ?”

อวี๋ผินอ้าปากค้างเล็กน้อย ไม่อาจปิดบังความประหลาดใจได้

“เจ้าดูชัดแล้วหรือ? นางระมัดระวังถึงเพียงนั้น ก็เพื่อของแค่นี้?”

ชุ่ยอิงพยักหน้า น้ำเสียงจริงจัง “บ่าวตามเสี่ยวเจาไปตลอดทาง เห็นกับตาว่านางนำวัตถุดิบไปซ่อน หลังจากนางไปแล้ว บ่าวยังเข้าไปดูอีกครั้ง ยืนยันว่าเป็นแค่ต้นหอมกับแป้งหมี่ธรรมดา ๆ ไม่มีแม้แต่เศษเนื้อเลยเพคะ”

ชุ่ยอิงเหลือบมองสีหน้าของอวี๋ผินอย่างประจบประแจง

“พระสนม จะให้บ่าวพาคนไปที่ตำหนักรองฝั่งตะวันตก สั่งสอนนางสักหน่อยหรือไม่เพคะ?”

ช่วงนี้พระสนมกำลังอารมณ์ไม่ดี ถือโอกาสนี้ระบายอารมณ์เสียเลย

อวี๋ผินหัวเราะเยาะ ในใจเต็มไปด้วยความดูถูก

ก่อนหน้านี้นางจงใจสั่งให้คนตัดส่วนแบ่งของเจียงหวน ตอนนี้ดูเหมือนจะได้ผลดีเยี่ยม

เมื่อนึกถึงภาพเจียงหวนหัวกระเซิงหน้าตามอมแมมแทะหมั่นโถวเย็นชืดแล้ว อวี๋ผินก็รู้สึกสะใจอย่างบอกไม่ถูก นาน ๆ ครั้งถึงจะ “ใจกว้าง” สักที

นางยกยิ้มมุมปากแล้วโบกมือ “ไม่ต้อง พวกนางอยากจะกินของที่พวกหมาแมวจรจัดกิน ก็ปล่อยให้พวกนางกินไป”

“พระสนมช่างมีจิตใจเมตตากรุณาเสียจริงเพคะ” ชุ่ยอิงยิ้มประจบ

อวี๋ผินแค่นเสียงหึหนึ่งครั้ง แล้วหันหลังเดินจากไป

เจียงหวนไม่รู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย พอถึงเวลาอาหารเย็น ก็เริ่มเตรียมอาหารเย็นกับเสี่ยวเจา

โชคดีที่วัตถุดิบที่เต๋อซั่นให้มาแม้จะมีไม่กี่ชนิด แต่ปริมาณก็ไม่น้อย พอจะให้นางกับเสี่ยวเจาประทังชีวิตไปได้อีกสองสามวัน

ผัดต้นหอม ต้มเส้นบะหมี่ให้สุก ราดด้วยน้ำมันร้อน ๆ บะหมี่คลุกต้นหอมที่หอมกรุ่นก็เสร็จเรียบร้อย

เจียงหวนถือชามนั่งอยู่ที่โต๊ะ ซู้ดเส้นบะหมี่เข้าไป

ด้วยฝีมือของนาง การจะเอาวัตถุดิบจากขันทีน้อยคนนั้นเพิ่มอีกหน่อยคงไม่ใช่เรื่องยากเกินไป

ต่อไปพอสนิทกันแล้ว นี่ก็คือช่องทางนำเข้าของนางเลยนะ!

การแก่งแย่งชิงดีในวังหลังล้วนเป็นเรื่องไร้สาระ ก่อนทะลุมิติเข้ามาในนิยายก็เป็นแค่ทาสแรงงานที่สิ้นหวังคนหนึ่ง

จะแข่งขันไปเพื่ออะไร? เป็นคนขี้เกียจที่นอนกินบ้านกินเมืองไปวัน ๆ มันไม่ดีกว่าหรือ?

ไม่รู้ว่าเมื่อไรอวี๋ผินถึงจะมองเห็นจุดนี้ได้เสียที เลิกมาวอแวกับนางได้แล้ว

วันรุ่งขึ้น ณ ตำหนักหย่างซิน

ฟ้ายังไม่สว่างดี ฮั่วหลินก็ต้องตื่นบรรทมเพื่อไปว่าราชการแล้ว

หลังจากทรงล้างหน้าล้างตาแล้ว ก็มีข้ารับใช้เข้ามาช่วยสวมฉลองพระองค์ พอรัดเข็มขัดหยกแล้ว ในท้องก็ยิ่งว่างจนน่าใจหาย

ต้องไปว่าราชการทั้งที่ท้องว่างอีกแล้ว!

กฎของบรรพชนนี่จะฝึกเราให้เป็นอูฐหรืออย่างไร? ก่อนว่าราชการแม้แต่ข้าวสักคำก็ไม่ให้กิน!

เมื่อสวมฉลองพระองค์สำหรับว่าราชการเสร็จ ฮั่วหลินหันกลับมาก็เห็นตัวเองในกระจกทองสัมฤทธิ์พอดี

ในความเลือนรางนั้น ดูเหมือนว่าบนหัวของเขาจะมีตัวอักษรใหญ่ ๆ ลอยอยู่หลายตัว ยอดคนผู้หิวโหยอันดับหนึ่งแห่งต้าเหลียง

“ฝ่าบาท ได้เวลาเสด็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

หวังเต๋อกุ้ยปรากฏตัวขึ้นอย่างถูกเวลา น้ำเสียงของเขาดึงความคิดของฮั่วหลินกลับมา

ฮั่วหลินทอดพระเนตรลงต่ำ สีพระพักตร์เย็นชา แล้วก้าวเท้ายาว ๆ เสด็จไปว่าราชการ

ณ ท้องพระโรง ฮั่วหลินประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร ฟังเหล่าขุนนางเบื้องล่างที่ผลัดกันพูดเรื่องหยุมหยิมไร้สาระ ก็ยิ่งรู้สึกรำคาญมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่ง...

“ฝ่าบาท!” รองผู้ตรวจการหลิวปิ่งจงก้าวออกมาอย่างกะทันหัน

“กระหม่อมขอถวายฎีกาฟ้องร้องเฉินเต๋อโส่วเจ้าเมืองเจียงโจว ยักยอกเงินซ่อมแซมเขื่อนสามแสนตำลึงพ่ะย่ะค่ะ!”

ภายในท้องพระโรงเงียบกริบในทันที

สามแสนตำลึง? นี่มันซื้อซาลาเปาได้กี่ลูกกัน! หากนำมากองรวมกันเกรงว่าจะฝังเฉินเต๋อโส่วจนกลายเป็นสุสานซาลาเปาได้เลย!

ฮั่วหลินทรงเหลือบพระเนตรขึ้น จ้องมองหลิวปิ่งจง

“มีหลักฐานหรือไม่”

“มีพ่ะย่ะค่ะ”

หลิวปิ่งจงค่อย ๆ ยืดตัวตรง ถวายหลักฐานที่สืบสวนมาได้ก่อนหน้านี้

ฮั่วหลินทรงรับมาทอดพระเนตรทีละอย่าง สีพระพักตร์ยิ่งดูยิ่งดำคล้ำ เหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ทั้งหมดก้มหน้าลง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง

นี่แหละขุนนางที่ดีแห่งต้าเหลียงของเขา!

เขาอุตส่าห์จัดการราชกิจอย่างขยันขันแข็งทุกวัน ในฐานะฮ่องเต้แล้วยามปกติแม้แต่ข้าวร้อน ๆ สักคำก็ยังไม่มี แต่ขุนนางเบื้องล่างกลับรู้จักเสพสุขกันดีนัก!

สู้สั่งตัดหัวพวกมันให้หมด ส่งไปให้ห้องเครื่องทำเป็นวัตถุดิบ รับรองว่าหอมกว่าเนื้อหมูแน่นอน!

ฮั่วหลินแค่นเสียงเย็น ประกายเย็นเยียบวาบผ่านลูกปัดหยกที่ประดับอยู่บนหมวกเหมี่ยน

“วันนี้ให้อธิบดีศาลต้าหลี่เป็นผู้รับผิดชอบการสืบสวน ให้เสนาบดีกรมอาญาช่วยในการไต่สวน สืบสวนคดีทุจริตเจียงหนานให้ถึงที่สุด หากหลักฐานแน่ชัด ให้ลงโทษตามกฎหมาย”

อธิบดีศาลต้าหลี่และเสนาบดีกรมอาญาเมื่อได้ยินดังนั้น ก็พากันก้าวออกมาข้างหน้า

“กระหม่อมรับพระบัญชา”

หลังจากเลิกว่าราชการแล้ว หวังเต๋อกุ้ยก็สั่งยกเครื่องเสวยตามปกติ

ฮั่วหลินประทับอยู่ที่โต๊ะ หยิบช้อนขึ้นมาตักโจ๊กเม็ดบัวไป่เหอ

โจ๊กเข้าพระโอษฐ์ อุณหภูมิเย็นเฉียบ ราวกับเพิ่งนำออกมาจากถ้ำน้ำแข็ง

สีพระพักตร์ของฮั่วหลินเย็นชา แต่ในพระทัยนั้นเดือดดาลจนแทบจะระเบิดออกมา

โจ๊กเม็ดบัวไป่เหอ! โจ๊กเม็ดบัวไป่เหออีกแล้ว!

ห้องเครื่องคิดว่าเขามีธาตุไฟในตัวขนาดไหนกัน! ถึงได้ทำแต่ของดับร้อนแบบนี้ทุกวัน!

แล้วก็ผักเคียงสีเขียวแถวนี้อีก!

ห้องเครื่องคิดว่าเขาเป็นกระต่ายหรือไร! เขากินผักจนลูกตาจะเขียวอยู่แล้ว!

แต่เพราะความหิวในท้อง ฮั่วหลินก็ยังคงเสวยโจ๊กทีละคำ ๆ จนหมดชาม

เพราะเรื่องทุจริตที่เจียงหนาน ฮั่วหลินงานยุ่งจนหัวหมุน ไม่มีเวลาเลยแม้แต่น้อย

หลายวันติดต่อกันที่ไม่ได้เรียกผู้ใดถวายตัว ในวังหลังก็มีข่าวลือใหม่แพร่สะพัดออกมา

พระสนมสองสามคนที่สนิทสนมกัน นั่งพูดคุยกันอยู่ในศาลากลางอุทยานหลวง

เฉินเต๋ออี๋โบกพัดกลมไปมา ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

“เฮ้อ ก่อนหน้านี้ฝ่าบาททรงเรียกจวงฉางไจ้แล้ว ยังเรียกอวี๋ผินอีก ข้าก็นึกว่าฝ่าบาทจะทรงคิดได้แล้ว ยอมพักค้างคืนในวังหลังแล้วเสียอีก”

เมื่อเฉินเต๋ออี๋เอ่ยถึงเรื่องนี้ อันผินก็รู้สึกโมโหขึ้นมาในใจ

การที่ฝ่าบาททรงยอมโปรดปรานวังหลัง นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ใครจะไปรู้ว่ามันจะแค่เริ่มต้นจริง ๆ

“ทั้งหมดเป็นเพราะอวี๋ผินนั่นแหละ คราวก่อนถวายตัวทำเอาฝ่าบาททรงขยะแขยงพอแล้ว คราวนี้ดีเลย ทั้งวังหลังพลอยเสื่อมเสียชื่อเสียงไปกับนางด้วย!”

หลี่ไฉเหรินฟังอยู่ครู่หนึ่ง ก็อดไม่ได้ที่จะพูดแทรกขึ้นมา

“อวี๋ผินปรนนิบัติไม่ดีก็จริง แต่จวงฉางไจ้ก็ได้เลื่อนตำแหน่งมิใช่หรือ? ฝ่าบาทคงไม่ทรงพิโรธพวกเราหมดทุกคน เพียงเพราะอวี๋ผินคนเดียวหรอกกระมัง?”

เฉินเต๋ออี๋ไม่ได้ใส่ใจ “หลายวันมานี้ก็ไม่เห็นฝ่าบาททรงเรียกจวงฉางไจ้เลย จวงฉางไจ้ผู้นี้เห็นได้ชัดว่าสิ้นความโปรดปรานแล้ว”

อันผินแค่นหัวเราะเยาะ “จวงฉางไจ้เป็นคนในตำหนักของอวี๋ผิน ถ้าให้ข้าพูดนะ ต้องเป็นเพราะอวี๋ผินตัวซวยนั่นเลยทำให้ต้องเดือดร้อนไปด้วย”

...

หลายคนในศาลาผลัดกันพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ หัวข้อสนทนาล้วนวนเวียนอยู่กับเรื่องน่าอับอายที่อวี๋ผินก่อไว้ในคืนที่ถวายตัว

พวกนางคุยกันอย่างสนุกสนาน มีเสียงหัวเราะดังขึ้นมาเป็นระยะ ๆ ไม่ได้สังเกตเลยว่าอวี๋ผินที่อยู่ไม่ไกลนัก ได้ยินคำพูดของพวกนางทั้งหมดแล้ว

อวี๋ผินโกรธจนตัวสั่นเทา หากเป็นปกติ นางคงจะเดินเข้าไปต่อว่าแล้ว

แต่ตอนนี้คนพวกนี้รวมตัวกันอยู่ หากนางเดินเข้าไปอีก ก็เท่ากับเดินเข้าไปให้คนด่า

ปกติแล้วอวี๋ผินมีเจียกุ้ยเฟยคอยหนุนหลัง เบื้องล่างก็ยังมีเจียงหวนนังคนอ่อนแอรังแกได้ง่ายนั่นให้ระบายอารมณ์ได้ เคยต้องมาทนรับความอัปยศเช่นนี้เมื่อไรกัน

ด้วยความโกรธแค้น อวี๋ผินจึงตรงไปยังตำหนักฉางเล่อของเจียกุ้ยเฟยทันที

หลังจากได้รับอนุญาตให้เข้าพบ อวี๋ผินก็เดินตรงเข้าไป เมื่อเห็นเจียกุ้ยเฟยที่กำลังเอนกายอยู่บนเตียงกุ้ยเฟย ริมฝีปากก็ขยับ แล้วก็ร้องไห้คร่ำครวญออกมา

“กุ้ยเฟย ท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับหม่อมฉันนะเพคะ!”

เจียกุ้ยเฟยเหลือบพระเนตรขึ้น มองอวี๋ผินอย่างไม่ใส่ใจนัก

“น้องหญิงเป็นอะไรไปหรือ?”

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 191

    “สกปรกแล้ว” น้ำเสียงพลันแหบแห้งการเคลื่อนไหวของอายีน่าถึงกับหยุดชะงักไปในทันที ราวกับถูกน้ำร้อนลวกมือ ก่อนจะรีบชักมือกลับมาทันควัน แก้มทั้งสองข้างพลันแดงก่ำขึ้นมาโดยมิอาจควบคุมได้“ก็แค่อาภรณ์ชุดหนึ่งเท่านั้น...”อายีน่าเบือนหน้าหนี ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว ทว่า หัวใจกลับเต้นรัวราวกับเสียงกลองที่ดังกระทบแก้วหูฮั่วอวิ๋นสิงเพียงส่งหัวเราะออกมาเบา ๆ หากแต่เขาเคลื่อนตัวไปโดนบาดแผลเข้าทำเอาเจ็บเสียจนสะดุ้งเฮือกออกมา“จิ๊ ๆ... เจ้าหน้าแดงหรือ?”“ใคร... ผู้ใดหน้าแดงกัน เป็นเพราะแดดส่องลงมาต่างหาก!”ท่าทางของอายีน่าคล้ายกับลูกแมวถูกเหยียบหางก็ปาน พลางลุกขึ้นมาด้วยความเร็วไว ก่อนจะกรูถอยหลังไปสองก้าว“เจ้า... เจ้าใส่ยาเอาเองเถิด ข้าไปล่ะ”อายีน่าพลันหยิบตลับยายัดใส่เข้าไปในมือของฮั่วอวิ๋นสิง ก่อนจะพาสาวใช้อีกสองคนวิ่งหนีไปอย่างสุดชีวิตยามที่นั่งรถม้ากลับวังหลวงนั้น หัวใจของอายีน่าที่เต้นระรัวก็คล้ายกับว่าจะค่อย ๆ สงบลงม่านรถม้าที่กั้นเสียงความวุ่นวายจากภายนอกเอาไว้นั้น หลงเหลือเอาไว้แต่เพียงเสียงลมหายใจของอายีน่าที่หอบหืด พร้อมทั้งกลิ่นคาวเลือดที่ติดอยู่บนแขนเสื้อนา

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 190

    ฮั่วอวิ๋นสิงส่งเสียงร้องในลำคอ รอยแผลอาบเลือดพลันปรากฏบนขมับเลือดสีแดงสดทะลักออกมา ไหลอาบไปตามแนวแก้มราวกับห้วงเวลาได้หยุดนิ่งลง ณ วินาทีนี้ เสียงคำรามด่าทอมากมายเงียบหายไปทันทีผู้ติดตามสองคนของฮั่วอวิ๋นสิงรีบชักกระบี่ออกมาทันที พวกเขายืนคุ้มกันอยู่ด้านหน้าฮั่วอวิ๋นสิง พร้อมกับตะโกนเสียงกร้าว“พวกอันธพาลสามหาว ท่านนี้คือเซียวเหยาอ๋องของต้าเหลียงเรา พวกเจ้ากล้าทำร้ายท่านอ๋อง ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่?”เหล่าผู้ลี้ภัยตื่นตะลึงเมื่อได้ยินว่าฮั่วอวิ๋นสิงเป็นท่านอ๋อง พวกเขาเริ่มร่นถอยกลับไป ชายฉกรรจ์ที่เป็นผู้นำตกใจจนหน้าซีด รีบคุกเข่าลงไปทันทีแต่ทว่า อายีน่าไม่มีเวลาสนใจเรื่องเหล่านี้โลกทั้งใบของนางราวกับเหลือเพียงแผ่นหลังของคนที่ยืนบังอยู่ตรงหน้านาง และเลือดสีแดงสดที่ไหลอาบขมับเขาเท่านั้นเลือดสีแดงสดนั่น ช่างบาดตานางเหลือเกินหัวใจของอายีน่าราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นบีบรัดไว้แน่น รู้สึกปวดแปลบไปหมด“ฮั่วอวิ๋นสิง!”เสียงของนางทั้งสั่นเทาและแตกตื่นโดยที่แม้แต่นางก็ยังไม่รู้ตัว นางยกแขนเสื้อของตนขึ้นปิดมาแผลที่ขมับของเขาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย“ท่านเป็นเช่นไรบ้าง? เจ็บห

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 189

    “โอ๊ย” ขอทานน้อยล้มลงไปบนพื้น ถ้วยเก่าๆ ในมือกลิ้งไปอีกทางอายีน่ายันกิ่งไม้ด้านข้างโดยสัญชาตญาณ จึงค่อยหยัดยืนได้อย่างมั่นคงเหตุการณ์นี้มิได้เอิกเกริกมากนัก ทว่ากลับเสียงดังมากพอที่จะทำให้กลุ่มคนหน้าวัดแตกตื่นฮั่วอวิ๋นสิงเงยหน้ามองมา สายตาคมปราบ เขามองเห็นเงาร่างอันคุ้นเคยที่อยู่หลังต้นไม้ใหญ่ได้ในพริบตาสายตาสองคู่สบประสานกันอายีน่ามีสีหน้าแตกตื่นลนลาน ฮั่วอวิ๋นสิงตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด ไม่นานดวงตาดอกท้อก็มีรอยยิ้มเบ่งบานขึ้นมาเขาตักข้าวต้มให้ผู้ลี้ภัยที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะวางตะหลิวและเดินตรงมาทางอายีน่า“โอ้ นี่มิใช่…”ฮั่วอวิ๋นสิงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า จงใจลากเสียงยาวๆ สายตามองวนเวียนอยู่ที่การแต่งกายด้วยอาภรณ์ธรรมดาของอายีน่าหนึ่งรอบ“คุณหนูน้อยจากตระกูลใดกัน หลงทางมาหรือ?”อายีน่ารู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว นางฝืนทำเป็นเชิดคางขึ้น“ขะ… ข้าออกมาเดินเล่น มิได้หรือ? กลับเป็นท่านอ๋อง ไม่อยู่ท่องกลอนวาดรูปฟังดนตรีอยู่ในจวน วิ่งมาทำตัวเป็นพ่อครัวอยู่หน้าวัดร้างเช่นนี้ หาดูได้ยากยิ่ง”ฮั่วอวิ๋นสิงไม่โกรธ กลับยิ้มอย่างใจกว้าง“ข้าออกท่องเที่ยวไปทั่วทุกหนแห่ง จะออกมาสำรวจความเป็นอ

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 188

    พยับเมฆจากเหตุสงครามทางทิศใต้มิพียงแต่แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งราชสำนัก แต่ยังค่อยๆ ลุกลามไปถึงเมืองหลวงด้วยข่าวที่พ่ายสงครามโบยบินไปสู่ครัวเรือนของราษฎรราวกับติดปีก ปลุกปั่นจิตใจผู้คนให้อกสั่นขวัญหายสิ่งที่ตามมาก็คือ มีผู้ลี้ภัยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ คนเหล่านั้นสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง พาคนในครอบครัวมาด้วย พวกเขาหลบหนีมาจากอำเภอข้างเคียงที่ถูกเพลิงสงครามแผดเผา บ้างก็มารวมตัวกันที่นอกเมืองหลวง บ้างก็รวมตัวอยู่ในวัดร้างที่ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงประตูเมืองอายีน่าถูกขังไว้ในเมืองหลวง เส้นทางกลับแคว้นถูกตัดขาดเพราะเพลิงสงคราม ข่าวสารจากทางราชวงศ์โม่เป่ยก็น้อยลงทุกวัน เนื้อความในจดหมายล้วนบอกให้นางลี้ภัยและรออย่างสบายใจอยู่ที่นี่ไปก่อนชีวิตในวังแม้สุขสบายไร้กังวล ทว่าก็ไม่ต่างจากกรงทองคำที่ชวนให้รู้สึกหงุดหงิดใจครั้นยามบ่ายคล้อยของวันนี้ผ่านไป ในที่สุดนางก็ทนไม่ไหว เปลี่ยนไปใส่อาภรณ์รัดรูปสีพื้นที่ไม่สะดุดตา พาหญิงรับใช้โม่เป่ยที่แต่งกายแบบเดียวกันออกจากวังไปด้วยสองคน ตั้งใจว่าจะออกไปสูดอากาศที่ตลาดทัศนียภาพนอกเมืองแตกต่างจากในเมืองซึ่งเป็นระเบียบเรียบร้อยค่อนข้างมากถนนหนทางสกปรกไม่เป็นร

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 187

    “พระสนมโปรดระงับโทสะ บ่าวสืบรู้มาเช่นนี้จริงๆ นะเพคะ เมื่อคืนการหารือในห้องทรงพระอักษรถึงดึกดื่น มีเพียงแม่ทัพหลินและฝ่าบาท ฝ่าบาทมิได้สั่งให้ผู้ใดอยู่ปรนนิบัติจริงๆ เพคะ”“มิได้สั่งให้ผู้ใดอยู่ปรนนิบัติ?” เจียกุ้ยเฟยเอ่ยย้ำคำพูดนี้ด้วยน้ำเสียงรอดไรฟัน แฝงไว้ด้วยแววเย้ยหยันและไม่เชื่อ “เช่นนั้นเกิดอะไรขึ้นกับฝ่าบาทในท้องพระโรงช่วงเช้า?”หลานเวยตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่าง นางก้มหัวต่ำกว่าเดิม“บ่าวยังสืบรู้มาอีกว่าวันนี้ตอนที่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ท่านผู้นั้นจากตำหนักเว่ยยางได้ถือกล่องอาหารไปรอที่หน้าห้องทรงพระอักษรด้วยตนเอง รอจนกระทั่งแม่ทัพหลินกลับไป”แววตาของเจียกุ้ยเฟยแปรเปลี่ยนเป็นมืดมนน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม ราวกับเข็มอาบยาพิษเสียงของหลานเวยสั่นจนแทบพูดไม่เป็นคำ “นางมิได้เข้าไป เป็นหวังกงกงถือกล่องอาหารเข้าไป จากนั้น… จากนั้นฝ่าบาทก็ทรงเสวยมื้อเช้า ยามประชุมช่วงเช้าในท้องพระโรงจึงได้… จึงได้…”นางมิกล้าพูดคำนั้นออกมาจริงๆ“จึงได้อารมณ์เบิกบานยิ่งนัก! ใช่หรือไม่?”เสียงของเจียกุ้ยเฟยแหลมจนแหบแห้ง นางลุกพรวดขึ้นยืน เล็บมือที่ทาน้ำยาทาเล็บสีแดงสดกำขอบโต๊ะเครื่องแป้งไว้แน่น กระดูกข้อต่

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 186

    การประชุมช่วงเช้าจบลงอย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางความสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเหล่าขุนนางเดินเรียงแถวออกจากท้องพระโรง ใบหน้าแสดงออกถึงความโชคดีราวกับเพิ่งรอดพ้นจากความตายมาได้ ขณะเดียวก็ยังมีความสงสัยที่มิอาจไขข้อข้องใจได้พวกเขากระซิบกระซาบกันถึงเรื่องสีหน้าท่าทางที่แตกต่างจากเดิมของฝ่าบาทในวันนี้ฮั่วหลินมิได้สนใจเสียงกระซิบกระซาบของเหล่าขุนนาง เขาก้าวเท้าออกจากตำหนักจินหลวน เตรียมจะกลับไปสะสางราชกิจที่คั่งค้างในห้องทรงพระอักษรต่อ ทว่าเสียงที่แฝงไว้ด้วยความยียวนอย่างชัดเจนเสียงหนึ่งกลับดังมาจากด้านหลัง“แหม วันนี้พระพักตร์ฝ่าบาทมีสง่าราศีอย่างมากเชียวนะ หรือว่าทรงได้ยาวิเศษใดมาถนอมพระวรกายงั้นหรือพะย่ะค่ะ?”ผู้พูดก็คือฮั่วอวิ๋นสิง เขาแต่งกายด้วยชุดราชการประจำตำแหน่งชินอ๋อง[1] มือโบกพัดพับกระดูกหยกไปมา พลางจ้องพิจารณาฮั่วหลินตั้งแต่หัวจรดเท้า รอยยิ้มเย้าแหย่ฮั่วหลินได้ยินเช่นนั้นฝีเท้าก็ชะงักหยุด ตวัดแววตาเย็นชามองไปที่เขา“เสด็จอาว่างมากหรือ?” น้ำเสียงไม่สูง แต่กลับแสดงถึงบารมีของฮ่องเต้ไว้อย่างชัดเจน ซึ่งสามารถทำให้ขุนนางที่ยังเดินไปได้ไม่ไกลมากนักต่างก็หดคอ และรีบเร่งฝีเท

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status