แชร์

บทที่ 8

ผู้เขียน: มาแล้วก็อยู่ต่อเถอะ
เนื่องจากเรื่องที่ตำหนักหย่างซิน อวี๋ผินจึงอารมณ์ขุ่นมัวอย่างยิ่ง เมื่อกลับถึงตำหนักจิ่นหวาก็อาละวาดอย่างหนัก

ชุ่ยอิงกลัวว่าอวี๋ผินจะโมโหจนล้มป่วยไป จึงทั้งปลอบทั้งเกลี้ยกล่อม จนในที่สุดอวี๋ผินก็ยอมไปเดินเล่นที่อุทยานหลวงเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ

น่าเสียดายที่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ดันมาพบกับลี่เฟยเข้า

ไม่เพียงแต่จะไม่ได้พักผ่อนหย่อนใจ แถมยังไปเจอเรื่องซวยเข้ามาอีก

ชุ่ยอิงนึกเสียใจที่พามาในตอนแรก ขณะที่กำลังร้อนใจอยู่นั้น ลี่เฟยก็ประคองมือนางกำนัลเดินเข้ามาอย่างช้า ๆ แล้ว

ปิ่นระย้าทองคำประดับหยกที่ข้างขมับสั่นไหวเล็กน้อยตามการเคลื่อนไหวของนาง ขับเน้นให้ใบหน้าที่ธรรมดาสามัญนั้นดูร้ายกาจยิ่งขึ้น

ลี่เฟยเหลือบมองอวี๋ผินที่กำลังถูกชุ่ยอิงประคองอยู่ จงใจพูดเสียงดัง “อ้าว นี่ไม่ใช่น้องหญิงอวี๋ผินจากตำหนักจิ่นหวาหรอกหรือ?”

“ได้ยินว่าเมื่อวานนี้อยู่ที่หน้าตำหนักหย่างซินถึงกับยืนไม่ตรง วันนี้กลับมีแรงออกมาเดินเล่นแล้วหรือนี่?”

เมื่ออวี๋ผินได้ยินดังนั้น สีหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ

ในวังจะมีความลับอะไรได้ นางแพศยานี่ต้องได้ยินข่าวลือมาแน่ ๆ ตั้งใจจะมาทำให้นางอับอาย

ลี่เฟยเป็นคนของไทเฮา แม้จะไร้ซึ่งความโปรดปรานและรูปโฉมที่งดงาม แต่ก็อาศัยไทเฮาหนุนหลังจึงทำตัวกร่างในวังหลังมานานหลายปี

แต่แล้วอย่างไรเล่า ลี่เฟยมีไทเฮาหนุนหลัง ส่วนนางก็มีเจียกุ้ยเฟยหนุนหลังเช่นกัน

อวี๋ผินไม่ยอมแพ้ สะบัดมือของชุ่ยอิงออกทันที ยืดหลังตรงแล้วแค่นหัวเราะเยาะ ในคำพูดแฝงไปด้วยความเยาะเย้ยอย่างบอกไม่ถูก

“พี่หญิงลี่เฟยนี่ข่าวสารว่องไวเสียจริงนะเพคะ วัน ๆ เอาแต่หมอบอยู่ที่หน้าประตูวังคอยฟังข่าวลือ ระวังจะโดนลมพัดจนหน้าเบี้ยวไปเสียล่ะ!”

“หากว่างมากถึงเพียงนี้ สู้ไปคัดลอกพระสูตรหลาย ๆ ม้วนถวายไทเฮาไม่ดีกว่าหรือ จะได้ไม่ต้องมาคอยจ้องจับผิดคนอื่นอยู่ทั้งวัน คนที่ไม่รู้คงนึกว่าพี่หญิงอิจฉาที่ข้าได้รับความโปรดปราน!”

ลี่เฟยกับเจียกุ้ยเฟยต่อสู้กันมาสิบปี สิ่งที่เกลียดที่สุดคือการที่คนอื่นเอ่ยถึงคำว่า “ความโปรดปราน”

เมื่อตอนนั้นเจียกุ้ยเฟยเคยพูดประโยคหนึ่งว่า “รูปโฉมของพี่หญิงลี่เฟยนี้ ช่วยให้ฝ่าบาททรงประหยัดเครื่องประทินโฉมไปได้เยอะเลยนะเพคะ” ทำให้นางกลายเป็นตัวตลกของทั้งหกตำหนัก

บัดนี้นังอวี๋ผินต่ำต้อยผู้นี้ก็ยังกล้ามาเหยียบย่ำจุดอ่อนของนางอีก!

ลี่เฟยหุบพัดกลมในมือลง สายตาก็พลันปรากฏความมืดมนขึ้นมาทันที

“ปากของน้องหญิงนี่ ช่างจัดจ้านยิ่งกว่าซี่โครงผัดเปรี้ยวหวานเสียอีก”

นางได้ยินมาว่าอวี๋ผินมุดหัวอยู่ในครัวง่วนอยู่กับการทำอาหาร สุดท้ายก็ยกอาหารจานนี้ออกมาจนทำให้ฝ่าบาททรงพิโรธ

“เกรงว่าจะไม่ใช่อาหารที่ทำให้ฝ่าบาททรงสำลัก แต่เป็นตัวเจ้าที่ทำให้ฝ่าบาททรงสำลักมากกว่ากระมัง?”

อวี๋ผินตัวแข็งทื่อ ในหูมีเสียงดังหึ่ง ๆ

เพื่อเอาใจฮ่องเต้ นางแอบเทน้ำผึ้งดอกไหวลงไปในซี่โครงครึ่งกา ใครจะรู้ว่าฮ่องเต้จะไม่โปรดกลิ่นนี้...

เรื่องนี้นางคิดจะเก็บให้เน่าตายไปในท้อง ไม่นึกว่าวันนี้จะมาเจอลี่เฟย

แผนการของนางถูกสาวไส้ออกมาจนหมดเปลือก!

“พี่หญิงโปรดระวังคำพูดด้วยเพคะ!” อวี๋ผินจิกเล็บเข้าที่ฝ่ามืออย่างแรง บนใบหน้ากลับยิ้มเย้ายวนมากขึ้น มีเพียงน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเย็นชา

“ต่อให้น้องจะย่ำแย่เพียงใด ก็ยังดีกว่าพี่หญิงอยู่บ้าง อย่างน้อยก็ได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทอยู่บ่อยครั้ง ส่วนป้ายชื่อสีเขียวที่กรมวังฝ่ายในส่งไปให้คงจะฝุ่นจับเขรอะหมดแล้ว ที่น้องยังพอมีไม้ขนไก่ดี ๆ อยู่บ้าง ให้พี่หญิงยืมไปปัดฝุ่นดีหรือไม่เพคะ?”

สีหน้าของลี่เฟยก็เปลี่ยนเป็นย่ำแย่เช่นกัน นางจะได้รับความโปรดปรานหรือไม่ ถึงคราวที่อวี๋ผินจะมานินทาแล้วหรือ!

นางสูดหายใจเข้าลึก ๆ บอกตัวเองให้ใจเย็น

“มิต้องหรอก แม้ว่าข้าจะไม่ได้รับความโปรดปราน ก็ยังดีกว่านกกระจอกบางตัวที่คิดว่าตัวเองได้เกาะกิ่งไม้แล้วจะกลายเป็นหงส์มีฐานะสูงส่ง”

ในที่สุดอวี๋ผินก็ไม่สามารถควบคุมสีหน้าได้อีกต่อไป

ว่าใครเป็นนกกระจอก ไม่ดูหน้าตัวเองบ้างเลย!

น้ำเสียงของนางแหลมขึ้นทันที “ข้าทำไปด้วยความจริงใจ พี่หญิงเอาแต่บิดเบือนเจตนาของคนอื่นเช่นนี้ มิน่าเล่าถึงไม่เป็นที่ชื่นชอบ!”

เมื่อลี่เฟยเห็นนางไม่เกรงใจ ก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน โต้กลับทันที

“จริงใจหรือ? หากจริงใจจริง ๆ เมื่อคืนคงไม่เกิดเรื่องอึกทึกครึกโครมเช่นนั้น น้องหญิงอวี๋ผิน นี่เจ้ากำลังสร้างความเดือดร้อนให้ฝ่าบาท หรือกำลังหาเรื่องเดือดร้อนให้ตัวเองกันแน่?”

อวี๋ผินถูกคำพูดของลี่เฟยทำเอาโกรธจนแทบจะพูดไม่ออก

แต่เรื่องเมื่อคืนก็นับว่านางขายหน้าจริง ๆ ยากที่จะโต้เถียงอะไรออกไปได้

นางไม่อยากจะทนอัปยศอยู่ที่นี่อีก จึงกัดฟันแล้วหันหลังจะจากไป แต่กลับถูกเสียงของลี่เฟยเรียกไว้

“น้องหญิงอวี๋ผิน อย่าเพิ่งรีบไปสิ ข้ายังอยากจะถามหน่อยว่า เมื่อคืนตอนที่เจ้าถูกฝ่าบาทไล่ออกมา รองเท้าหลุดหายไปข้างหนึ่งเลยหรือ นี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่?”

“หากพี่หญิงสงสัยใคร่รู้ถึงเพียงนั้น ก็ไปเก็บเอาเองที่หน้าตำหนักหย่างซินสิเพคะ”

อวี๋ผินแค่นเสียงเย็น

“เจ้า!” ลี่เฟยโกรธจนปลายนิ้วสั่นเทา “ช่างปากดีเสียจริง! ข้าจะคอยดูว่า เมื่อถึงเวลาที่เจียกุ้ยเฟยปกป้องเจ้าไม่ได้แล้ว เจ้าจะยังอวดดีไปได้อีกนานแค่ไหน!”

“เช่นนั้นก็ไม่รบกวนพี่หญิงเป็นห่วงแล้ว”

อวี๋ผินจัดปอยผมข้างหู เดินผ่านร่างของลี่เฟยไป ชายกระโปรงพัดพาลมเย็นเยียบวูบหนึ่ง

ทั้งสองแยกย้ายกันไปอย่างไม่สบอารมณ์ อวี๋ผินพาชุ่ยอิงกลับมาที่ตำหนักจิ่นหวาอีกครั้ง

ความอัดอั้นตันใจสุมอยู่ในอก นางทุบทำลายเครื่องกระเบื้องไปครึ่งห้อง โกรธจนกินอะไรไม่ลงแล้ว

ในขณะเดียวกัน ณ ตำหนักรองฝั่งตะวันตก

เจียงหวนนั่งยอง ๆ อยู่หน้าเตาไฟ ปลายนิ้วหยิบแป้งกองสุดท้ายที่เหลืออยู่ก้นถุงออกมาดู รู้สึกอยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก

ไม่ได้รับความโปรดปรานก็ทนได้ ถูกทุบตีด่าทอก็ทนได้

แต่ไม่มีข้าวกินนี่ทนไม่ได้แล้ว!

“นายหญิงน้อย ถังข้าวสารก็ว่างเปล่าแล้วเพคะ...” เสี่ยวเจาอุ้มถังเปล่าเข้ามาใกล้ ๆ อย่างอิดเอื้อน ใบหน้าเต็มไปด้วยความทุกข์

“เสี่ยวเจา สวรรค์ จะฆ่าข้าให้ตายแล้ว”

เจียงหวนแหงนหน้ามองฟ้าพลางถอนหายใจ พับแขนเสื้อขึ้นอย่างยอมรับชะตากรรม เปิดโอ่งดินเผาที่มุมห้อง หยิบเนื้อหมักครึ่งชิ้นที่ห่อด้วยใบบัวออกมา พร้อมกับเด็ดต้นหอมสองสามต้นที่ปลูกไว้ในกระถางเล็ก ๆ มาด้วย

ก็คงต้องแก้ขัดไปแบบนี้ก่อน ถ้ากินไม่อิ่มก็ไม่มีแรงคิดหาวิธีแก้ไขหรอกนะ

เมื่อมองดูวัตถุดิบไม่กี่อย่างที่รวบรวมมาได้อย่างยากลำบากตรงหน้า ใบหน้าของเจียงหวนก็เต็มไปด้วยความทุกข์ระทม ก่อนจะคว้ากระทะขึ้นมาแล้วเริ่มทำอาหาร

ตอนที่แป้งทอดไส้เนื้อร้อน ๆ ออกจากกระทะ เสี่ยวเจาก็ถูกกลิ่นหอมยั่วจนกลืนน้ำลาย

“หอมเหลือเกิน! หอมกว่าอาหารที่บ่าวเคยได้กลิ่นที่ห้องเครื่องเสียอีก!”

เจียงหวนกระตุกมุมปาก นึกถึงอาหารที่ห้องเครื่องยกไปถวายบนโต๊ะของฮั่วหลิน

เทียบกับของพวกนั้นแล้ว จะไม่หอมได้อย่างไร?

น่าเสียดายที่วัตถุดิบหมดเกลี้ยงแล้ว ทำให้ฝีมือของนางถูกจำกัด

“กินข้าว!” เจียงหวนถอนหายใจ วางจานแป้งทอดลงบนโต๊ะ

ถ้าเป็นเมื่อก่อน นางคงจะต้องจัดจานให้สวยงาม แต่ตอนนี้?

เจียงหวนเหลือบมองขอบหน้าต่างที่ผุพัง ในใจหัวเราะเหอะ ๆ ช่างมันเถอะ

ไม่มีอารมณ์

สองนายบ่าวล้างมือเสร็จก็นั่งลงกินข้าวที่โต๊ะเตี้ย

แป้งที่กรอบนอกนุ่มในแตกกระจายในปาก น้ำจากเนื้อที่เค็มหอมและชุ่มฉ่ำก็ทะลักออกมาเต็มโพรงปากทันที

เสี่ยวเจาถูกความร้อนลวกจนต้องสูดปากอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่ยอมคายแป้งทอดในปากออกมา

เพียงแต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้วัตถุดิบหมดแล้ว สีหน้าของเสี่ยวเจาก็พลันเศร้าหมองทันที

“เฮ้อ น่าเสียดายจริง ๆ หากสามารถซื้อวัตถุดิบเองได้โดยไม่ต้องผ่านอวี๋ผินก็คงจะดี”

“ไม่รู้ว่าครั้งหน้าจะได้ชิมฝีมือของนายหญิงน้อยอีกเมื่อไร”

คำพูดของเสี่ยวเจานี้กลับช่วยเตือนสติเจียงหวน

ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว ในใจนางมีแผนการแล้ว

“ใครบอกว่าซื้อไม่ได้กันล่ะ”

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 191

    “สกปรกแล้ว” น้ำเสียงพลันแหบแห้งการเคลื่อนไหวของอายีน่าถึงกับหยุดชะงักไปในทันที ราวกับถูกน้ำร้อนลวกมือ ก่อนจะรีบชักมือกลับมาทันควัน แก้มทั้งสองข้างพลันแดงก่ำขึ้นมาโดยมิอาจควบคุมได้“ก็แค่อาภรณ์ชุดหนึ่งเท่านั้น...”อายีน่าเบือนหน้าหนี ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว ทว่า หัวใจกลับเต้นรัวราวกับเสียงกลองที่ดังกระทบแก้วหูฮั่วอวิ๋นสิงเพียงส่งหัวเราะออกมาเบา ๆ หากแต่เขาเคลื่อนตัวไปโดนบาดแผลเข้าทำเอาเจ็บเสียจนสะดุ้งเฮือกออกมา“จิ๊ ๆ... เจ้าหน้าแดงหรือ?”“ใคร... ผู้ใดหน้าแดงกัน เป็นเพราะแดดส่องลงมาต่างหาก!”ท่าทางของอายีน่าคล้ายกับลูกแมวถูกเหยียบหางก็ปาน พลางลุกขึ้นมาด้วยความเร็วไว ก่อนจะกรูถอยหลังไปสองก้าว“เจ้า... เจ้าใส่ยาเอาเองเถิด ข้าไปล่ะ”อายีน่าพลันหยิบตลับยายัดใส่เข้าไปในมือของฮั่วอวิ๋นสิง ก่อนจะพาสาวใช้อีกสองคนวิ่งหนีไปอย่างสุดชีวิตยามที่นั่งรถม้ากลับวังหลวงนั้น หัวใจของอายีน่าที่เต้นระรัวก็คล้ายกับว่าจะค่อย ๆ สงบลงม่านรถม้าที่กั้นเสียงความวุ่นวายจากภายนอกเอาไว้นั้น หลงเหลือเอาไว้แต่เพียงเสียงลมหายใจของอายีน่าที่หอบหืด พร้อมทั้งกลิ่นคาวเลือดที่ติดอยู่บนแขนเสื้อนา

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 190

    ฮั่วอวิ๋นสิงส่งเสียงร้องในลำคอ รอยแผลอาบเลือดพลันปรากฏบนขมับเลือดสีแดงสดทะลักออกมา ไหลอาบไปตามแนวแก้มราวกับห้วงเวลาได้หยุดนิ่งลง ณ วินาทีนี้ เสียงคำรามด่าทอมากมายเงียบหายไปทันทีผู้ติดตามสองคนของฮั่วอวิ๋นสิงรีบชักกระบี่ออกมาทันที พวกเขายืนคุ้มกันอยู่ด้านหน้าฮั่วอวิ๋นสิง พร้อมกับตะโกนเสียงกร้าว“พวกอันธพาลสามหาว ท่านนี้คือเซียวเหยาอ๋องของต้าเหลียงเรา พวกเจ้ากล้าทำร้ายท่านอ๋อง ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่?”เหล่าผู้ลี้ภัยตื่นตะลึงเมื่อได้ยินว่าฮั่วอวิ๋นสิงเป็นท่านอ๋อง พวกเขาเริ่มร่นถอยกลับไป ชายฉกรรจ์ที่เป็นผู้นำตกใจจนหน้าซีด รีบคุกเข่าลงไปทันทีแต่ทว่า อายีน่าไม่มีเวลาสนใจเรื่องเหล่านี้โลกทั้งใบของนางราวกับเหลือเพียงแผ่นหลังของคนที่ยืนบังอยู่ตรงหน้านาง และเลือดสีแดงสดที่ไหลอาบขมับเขาเท่านั้นเลือดสีแดงสดนั่น ช่างบาดตานางเหลือเกินหัวใจของอายีน่าราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นบีบรัดไว้แน่น รู้สึกปวดแปลบไปหมด“ฮั่วอวิ๋นสิง!”เสียงของนางทั้งสั่นเทาและแตกตื่นโดยที่แม้แต่นางก็ยังไม่รู้ตัว นางยกแขนเสื้อของตนขึ้นปิดมาแผลที่ขมับของเขาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย“ท่านเป็นเช่นไรบ้าง? เจ็บห

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 189

    “โอ๊ย” ขอทานน้อยล้มลงไปบนพื้น ถ้วยเก่าๆ ในมือกลิ้งไปอีกทางอายีน่ายันกิ่งไม้ด้านข้างโดยสัญชาตญาณ จึงค่อยหยัดยืนได้อย่างมั่นคงเหตุการณ์นี้มิได้เอิกเกริกมากนัก ทว่ากลับเสียงดังมากพอที่จะทำให้กลุ่มคนหน้าวัดแตกตื่นฮั่วอวิ๋นสิงเงยหน้ามองมา สายตาคมปราบ เขามองเห็นเงาร่างอันคุ้นเคยที่อยู่หลังต้นไม้ใหญ่ได้ในพริบตาสายตาสองคู่สบประสานกันอายีน่ามีสีหน้าแตกตื่นลนลาน ฮั่วอวิ๋นสิงตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด ไม่นานดวงตาดอกท้อก็มีรอยยิ้มเบ่งบานขึ้นมาเขาตักข้าวต้มให้ผู้ลี้ภัยที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะวางตะหลิวและเดินตรงมาทางอายีน่า“โอ้ นี่มิใช่…”ฮั่วอวิ๋นสิงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า จงใจลากเสียงยาวๆ สายตามองวนเวียนอยู่ที่การแต่งกายด้วยอาภรณ์ธรรมดาของอายีน่าหนึ่งรอบ“คุณหนูน้อยจากตระกูลใดกัน หลงทางมาหรือ?”อายีน่ารู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว นางฝืนทำเป็นเชิดคางขึ้น“ขะ… ข้าออกมาเดินเล่น มิได้หรือ? กลับเป็นท่านอ๋อง ไม่อยู่ท่องกลอนวาดรูปฟังดนตรีอยู่ในจวน วิ่งมาทำตัวเป็นพ่อครัวอยู่หน้าวัดร้างเช่นนี้ หาดูได้ยากยิ่ง”ฮั่วอวิ๋นสิงไม่โกรธ กลับยิ้มอย่างใจกว้าง“ข้าออกท่องเที่ยวไปทั่วทุกหนแห่ง จะออกมาสำรวจความเป็นอ

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 188

    พยับเมฆจากเหตุสงครามทางทิศใต้มิพียงแต่แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งราชสำนัก แต่ยังค่อยๆ ลุกลามไปถึงเมืองหลวงด้วยข่าวที่พ่ายสงครามโบยบินไปสู่ครัวเรือนของราษฎรราวกับติดปีก ปลุกปั่นจิตใจผู้คนให้อกสั่นขวัญหายสิ่งที่ตามมาก็คือ มีผู้ลี้ภัยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ คนเหล่านั้นสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง พาคนในครอบครัวมาด้วย พวกเขาหลบหนีมาจากอำเภอข้างเคียงที่ถูกเพลิงสงครามแผดเผา บ้างก็มารวมตัวกันที่นอกเมืองหลวง บ้างก็รวมตัวอยู่ในวัดร้างที่ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงประตูเมืองอายีน่าถูกขังไว้ในเมืองหลวง เส้นทางกลับแคว้นถูกตัดขาดเพราะเพลิงสงคราม ข่าวสารจากทางราชวงศ์โม่เป่ยก็น้อยลงทุกวัน เนื้อความในจดหมายล้วนบอกให้นางลี้ภัยและรออย่างสบายใจอยู่ที่นี่ไปก่อนชีวิตในวังแม้สุขสบายไร้กังวล ทว่าก็ไม่ต่างจากกรงทองคำที่ชวนให้รู้สึกหงุดหงิดใจครั้นยามบ่ายคล้อยของวันนี้ผ่านไป ในที่สุดนางก็ทนไม่ไหว เปลี่ยนไปใส่อาภรณ์รัดรูปสีพื้นที่ไม่สะดุดตา พาหญิงรับใช้โม่เป่ยที่แต่งกายแบบเดียวกันออกจากวังไปด้วยสองคน ตั้งใจว่าจะออกไปสูดอากาศที่ตลาดทัศนียภาพนอกเมืองแตกต่างจากในเมืองซึ่งเป็นระเบียบเรียบร้อยค่อนข้างมากถนนหนทางสกปรกไม่เป็นร

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 187

    “พระสนมโปรดระงับโทสะ บ่าวสืบรู้มาเช่นนี้จริงๆ นะเพคะ เมื่อคืนการหารือในห้องทรงพระอักษรถึงดึกดื่น มีเพียงแม่ทัพหลินและฝ่าบาท ฝ่าบาทมิได้สั่งให้ผู้ใดอยู่ปรนนิบัติจริงๆ เพคะ”“มิได้สั่งให้ผู้ใดอยู่ปรนนิบัติ?” เจียกุ้ยเฟยเอ่ยย้ำคำพูดนี้ด้วยน้ำเสียงรอดไรฟัน แฝงไว้ด้วยแววเย้ยหยันและไม่เชื่อ “เช่นนั้นเกิดอะไรขึ้นกับฝ่าบาทในท้องพระโรงช่วงเช้า?”หลานเวยตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่าง นางก้มหัวต่ำกว่าเดิม“บ่าวยังสืบรู้มาอีกว่าวันนี้ตอนที่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ท่านผู้นั้นจากตำหนักเว่ยยางได้ถือกล่องอาหารไปรอที่หน้าห้องทรงพระอักษรด้วยตนเอง รอจนกระทั่งแม่ทัพหลินกลับไป”แววตาของเจียกุ้ยเฟยแปรเปลี่ยนเป็นมืดมนน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม ราวกับเข็มอาบยาพิษเสียงของหลานเวยสั่นจนแทบพูดไม่เป็นคำ “นางมิได้เข้าไป เป็นหวังกงกงถือกล่องอาหารเข้าไป จากนั้น… จากนั้นฝ่าบาทก็ทรงเสวยมื้อเช้า ยามประชุมช่วงเช้าในท้องพระโรงจึงได้… จึงได้…”นางมิกล้าพูดคำนั้นออกมาจริงๆ“จึงได้อารมณ์เบิกบานยิ่งนัก! ใช่หรือไม่?”เสียงของเจียกุ้ยเฟยแหลมจนแหบแห้ง นางลุกพรวดขึ้นยืน เล็บมือที่ทาน้ำยาทาเล็บสีแดงสดกำขอบโต๊ะเครื่องแป้งไว้แน่น กระดูกข้อต่

  • อ่านใจทรราช สนมปลาเค็มถล่มวังหลัง   บทที่ 186

    การประชุมช่วงเช้าจบลงอย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางความสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเหล่าขุนนางเดินเรียงแถวออกจากท้องพระโรง ใบหน้าแสดงออกถึงความโชคดีราวกับเพิ่งรอดพ้นจากความตายมาได้ ขณะเดียวก็ยังมีความสงสัยที่มิอาจไขข้อข้องใจได้พวกเขากระซิบกระซาบกันถึงเรื่องสีหน้าท่าทางที่แตกต่างจากเดิมของฝ่าบาทในวันนี้ฮั่วหลินมิได้สนใจเสียงกระซิบกระซาบของเหล่าขุนนาง เขาก้าวเท้าออกจากตำหนักจินหลวน เตรียมจะกลับไปสะสางราชกิจที่คั่งค้างในห้องทรงพระอักษรต่อ ทว่าเสียงที่แฝงไว้ด้วยความยียวนอย่างชัดเจนเสียงหนึ่งกลับดังมาจากด้านหลัง“แหม วันนี้พระพักตร์ฝ่าบาทมีสง่าราศีอย่างมากเชียวนะ หรือว่าทรงได้ยาวิเศษใดมาถนอมพระวรกายงั้นหรือพะย่ะค่ะ?”ผู้พูดก็คือฮั่วอวิ๋นสิง เขาแต่งกายด้วยชุดราชการประจำตำแหน่งชินอ๋อง[1] มือโบกพัดพับกระดูกหยกไปมา พลางจ้องพิจารณาฮั่วหลินตั้งแต่หัวจรดเท้า รอยยิ้มเย้าแหย่ฮั่วหลินได้ยินเช่นนั้นฝีเท้าก็ชะงักหยุด ตวัดแววตาเย็นชามองไปที่เขา“เสด็จอาว่างมากหรือ?” น้ำเสียงไม่สูง แต่กลับแสดงถึงบารมีของฮ่องเต้ไว้อย่างชัดเจน ซึ่งสามารถทำให้ขุนนางที่ยังเดินไปได้ไม่ไกลมากนักต่างก็หดคอ และรีบเร่งฝีเท

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status