เข้าสู่ระบบ
ท้องฟ้ายามราตรีแผ่กว้างเหนือศีรษะ เมฆครึ้มปกคลุมดวงดาวจนหมดสิ้น แสงจันทร์ถูกซ่อนเร้นไว้ภายใต้ม่านหมอกหนาทึบ สายฝนโปรยปรายแผ่วเบาราวกับหยาดน้ำตาของฟ้า หยาดหยดลงมาใบไม้และพื้นดินอย่างนุ่มนวล
สายฝนที่ตกหนักแปรเปลี่ยนเป็นละอองบางเบา กลิ่นชื้นเย็นปะปนกลิ่นดินที่เปียกปอน หยาดฝนดูคล้ายเส้นไหมใสที่ร่วงหล่นช้าๆ ความมืดโดยรอบทำให้ทุกสิ่งเงียบงันน่าค้นหาราวกับโลกทั้งใบกำลังซ่อนเรื่องราวบางอย่างไว้ภายใต้ม่านฝนที่โรยตัวลงมาอย่างไม่มีจุดสิ้นสุด
ร่างผอมบางที่ถูกทิ้งเอาไว้ในป่าทั้งคืน บัดนี้เริ่มขยับกายเล็กน้อย ดวงตากลมโตหรี่ลงเพราะแสงไฟจากคบเพลิง สีหน้ามึนงงยังคงไม่แสดงท่าทีใดๆ เมื่อได้พบเหล่าผู้คนมากมายที่กำลังรุมล้อมและจดจ้องมายังตน
หญิงสาวสะบัดหัวไปมาหลายครั้งเพื่อเรียกสติที่พร่าเลือนให้แจ่มชัด ร่างบางยันกายลุกขึ้นช้าๆ ทว่ากลับยังรู้สึกวิงเวียน
ในใจรำคาญเล็กน้อยกับเสียงสอบถามที่ดังเซ็งแซ่ข้างหู
สายลับที่ถูกฝึกเป็นอย่างดีสามารถพูดภาษาถิ่นได้ถึงสิบภาษา ทำงานแฝงตัวในซีเรียกว่าห้าปี ทว่ากลับไม่สามารถฟังสิ่งที่คนเหล่านี้พูดได้เข้าใจ
เมื่อลุกขึ้นยืนเต็มความสูงของตนกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ร่างกายที่เคยสูงถึงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตรกลับดูเหมือนหดเล็กลง จุดสายตายามเมื่อมองพื้นดินจึงเปลี่ยนไปจากเดิม
เกิดอะไรขึ้นกันแน่!
ท้องฟ้ายามเช้าตรู่เริ่มเผยโฉมออกมา ราวกับโลกทั้งใบเพิ่งตื่นจากความฝันอันยาวนาน แสงแรกของวันค่อยๆ แทรกผ่านขอบฟ้าเป็นเส้นบางสีทองจางๆ ก่อนจะกลายเป็นสีส้มอ่อนและชมพูเรื่อ
ม่านหมอกยามเช้าลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือพื้นดินและยอดไม้ ละอองน้ำค้างยังเกาะพราวอยู่บนใบหญ้าเปล่งประกายระยิบระยับเมื่อกระทบกับแสงอาทิตย์ดวงน้อยที่กำลังคลี่แสงออก
แม้รอบกายจะดูสวยงามจนมิอาจละสายตา ทว่า...ที่นี่คือที่ไหน!
ดวงตาดำขลับสำรวจรอบกายอย่างระมัดระวังตามความเคยชินที่ฝึกเป็นประจำ ทำให้ร่างกายจดจำและกลายเป็นสัญชาตญาณ ไร้แผ่นดินที่แห้งแล้ง ไร้การต่อสู้ ไร้เสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว ไร้เสียงปืนและระเบิด
ในโสตของหญิงสาวได้ยินเพียงเสียงนกน้อยขับขานบทเพลง สายลมยามเช้าพัดผ่านหอบกลิ่นหอมของไอดินและดอกไม้ป่าเข้ามาแตะปลายจมูก ทุกอย่างในยามนี้ดูบริสุทธิ์ สดชื่น และเต็มไปด้วยความหวัง
แต่ไม่ใช่กับสถานการณ์สงครามที่ซีเรีย!
ความทรงจำหนึ่งผุดขึ้นบางเบา เสียงระเบิดดังกึกก้อง เศษเนื้อสดกระเด็นไปทั่วทุกทิศทาง ความตายและเลือดสดๆ เจิ่งนองไปทุกพื้นที่
สายลับที่แฝงตัวในนามหมอเถื่อนได้รับมอบหมายให้เจาะเอาข้อมูลลับของกลุ่มวิจัยมนุษย์ ทว่าเกิดการทรยศขึ้นภายในองค์กรทำให้สถานะตนเองถูกเปิดโปง การทรมานทุกรูปแบบได้เริ่มขึ้นเพื่อรีดเค้นเอาความลับ กว่าครึ่งปีที่ต้องทนทุกข์ทรมานทว่าฝ่ายศัตรูก็มิได้สิ่งใดจากปากของตน
สองศูนย์แปด คือรหัสของเซี่ยชิงหลี พวกมันได้ไปเพียงเท่านั้น ทว่าต่อมาเธอได้ถูกส่งตัวไปยังห้องทดลองวิจัยเพื่อทดลองยาพิษ สามปีที่ติดอยู่ที่นั่นกว่าจะหลบหนีออกมาได้ ภายหลังจากส่งข้อมูลลับให้กับทางองค์กร ที่อยู่ของตนกลับถูกถล่มด้วยระเบิดนาปาล์มลูกใหญ่
เสียงสุดท้ายที่เซี่ยชิงหลีได้ยินคือคำบอกลาจากหัวหน้าครูฝึกของเธอ ตนถูกทิ้งแล้วสินะ...
ร่างบางทรุดกายลงบนพื้นด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยาก ความภักดีคืออะไร ความพยายามหลายปีที่ต้องทนอยู่กับสงครามสุดท้ายเหลือเพียงความว่างเปล่า ไร้เกียรติยศ ไร้คำสรรเสริญ ไม่มีใครจดจำตนเองได้ด้วยซ้ำ
ตนน่าจะเชื่อคำเตือนของตาเฒ่าตั้งแต่แรก ไม่น่ารีบร้อนพิสูจน์ตนเองดึงดันจะตามคนเหล่านั้นไป จุดจบสุดท้ายที่ได้รับกลับเป็นความตาย
เสียใจตอนนี้ก็คงสายไปแล้ว ตนไม่เคยกลัวตายเสียดายก็แต่จากนี้คงไม่มีวันได้พบหน้าตาเฒ่าอีกแล้ว ไม่รู้ว่าหลายปีมานี้สุขภาพเป็นอย่างไรบ้าง ยังใช้ชีวิตอยู่ดีหรือไม่
“ท่านอาจารย์...หลีเอ๋อขอโทษ”
ร่างบางพึมพำเสียงเบา สมองยังไม่ทันได้ประมวลผลว่าเหตุใดตนเองยังคงมีชีวิตอยู่ วินาทีต่อมากลับมีผู้หญิงคนหนึ่งพุ่งตัวเข้าหาอย่างรวดเร็วจนไม่อาจหลบได้ทัน เซี่ยชิงหลีตกอยู่ภายใต้อ้อมแขนของหญิงสาวแปลกหน้า ท่าทางที่ดูเป็นกังวลและซุ่มเสียงที่เหมือนกำลังตำหนิตนเองทำให้คนพูดไม่ออก
ดวงตากลมโตจดจ้องใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้นด้วยท่าทีงงงัน พลันเสียงอื้ออึงก็ดังขึ้นในหัวราวกับประทัดแตก
ความเจ็บปวดบางอย่างกรีดแทงเข้าไปในส่วนลึกของประสาท เซี่ยชิงหลียกมือขึ้นกุมหัวของตนด้วยสีหน้าเจ็บปวด แต่แล้วเสียงนั้นก็หายไป
ความโล่งสบายเกิดขึ้นในชั่วขณะ ในหัวราวกับถูกกระชากบางอย่างออกไป
“....เจ้าได้ยินที่แม่พูดหรือไม่!! หลีเอ๋อ!! เกิดอะไรขึ้น ลูกไม่สบายหรือเจ็บตรงไหนบอกแม่มา”
ฟังออกแล้ว!! ในที่สุดตนเองก็สามารถฟังผู้หญิงตรงหน้าเข้าใจ
มหัศจรรย์จริงๆ
“ชิ! คนก็หาเจอแล้วยังต้องร้องไห้คร่ำครวญอันใดอีก”
จางซุนโหรวที่ตามขึ้นเขาในตอนเช้าเพื่อดูลาดเลาเอ่ยเหน็บแนม หญิงสาวหันขวับไปในทันที ความทรงจำหนึ่งพลันแล่นเข้ามาในหัว ทว่าครั้งนี้กลับต่างออกไปเพราะมันคือความทรงจำของคนอื่น
และนั่นทำให้ร่างกายของเซี่ยชิงหลีทำไปตามสัญชาตญาณเดิม หญิงสาวพุ่งเข้าคว้าลำคอสตรีนางนั้นด้วยใบหน้าสงบนิ่ง ดวงตาเย็นชาจ้องมองไปยังนางราวกับกำลังมองคนตาย
หลายปีที่ต้องคลุกคลีอยู่กับความตาย ทำให้กลิ่นอายที่แผ่ออกมาดูน่าพรั่นพรึง
บัดนี้เซี่ยชิงหลีรู้แน่ชัดแล้วว่าตนไม่ได้อยู่ที่โลกเดิมที่คุ้นเคย และร่างที่ตนมาอาศัยอยู่เจ้าของเดิมถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมจากคนในครอบครัว ชีวิตที่สองนี้ต้องมาอยู่ในยุคโบราณที่แสนแปลกประหลาด แต่นางก็สามารถยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
ทว่า...หากไม่แก้แค้นใจดวงนี้คงมิอาจสงบได้
หญิงสาวออกแรงอีกครั้งใบหน้าของคนที่ตกอยู่ภายใต้กรงเล็บของเธอเริ่มบิดเบี้ยวเขียวคล้ำเพราะขาดอากาศหายใจ เซี่ยชิงหลีรู้ดีว่าหากออกแรงเพิ่มอีกเล็กน้อย คอเล็กๆ ที่แสนบอบบางคงจะหักอย่างง่ายดาย
“หลีเอ๋อ!! หยุดเดี๋ยวนี้!! ปล่อยป้าสะใภ้ของลูกเร็วเข้า!!”
ราวกับได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการ หญิงสาวปล่อยมือโดยอัตโนมัติ แม้จะรู้สึกมึนงงในปฏิกิริยาของตนและเหมือนการควบคุมร่างกายนี้ช่างเป็นไปอย่างยากลำบาก
เห็นทีในอนาคตต้องฝึกฝนให้ร่างกายนี้สามารถตามทันความเร็วที่เคยฝึกในชีวิตก่อน
“แค่ก!! แค่ก!! แค่ก!!”
หญิงผู้เคราะห์ร้ายรีบสูดอากาศเข้าปอดเพื่อให้ตนเองมีชีวิตอยู่ แม้จะถูกทำให้เกือบตายทว่าก็ยังไม่รู้สึกสลด นางชี้นิ้วมายังเซี่ยชิงหลีด้วยท่าทางเอาเรื่อง หลังจากกลับมาเป็นปกติจึงร้องโวยวายด้วยสีหน้าเดือดดาล
“เด็กสารเลว แกคิดสังหารคนหรือ หลี่หลันฮวา! เจ้า!! เจ้า!! ดูบุตรสาวที่เจ้าเลี้ยงดู บัดนี้นางกลายเป็นฆาตกรสังหารคนแล้ว”
เมื่อได้ยินสะใภ้ใหญ่เอ่ยเช่นนั้น มารดาของร่างเดิมมีท่าทีตื่นตระหนกทันที
ในความทรงจำที่ได้รับมา ชื่อของนางคือหลี่หลันฮวา บ้านเดิมยากจนข้นแค้น เมื่อแต่งเข้าตระกูลเซี่ยทำให้ถูกแม่สามีดูแคลน นางเองก็อับจนหนทางแต่งเข้ามาหลายปีสามีไม่เคยปกป้อง ทั้งนางและลูกทั้งสามจึงกลายเป็นที่ระบายอารมณ์ของคนในครอบครัว
“ผ่านไปนานขนาดนี้ เจ้ายังทำให้ข้าชอบหน้าไม่ได้”องค์ชายใหญ่หัวเราะเบาๆ“ผ่านไปนานขนาดนี้ เจ้าก็ยังปากไม่ดีเช่นเดิม” แม้คำพูดจะฟังดูคล้ายสงครามน้ำลายกำลังจะก่อตัวขึ้น แต่แววตาของทั้งคู่กลับแสดงออกว่ามิได้ถือสาต่ออีกฝ่ายเซี่ยชิงหลีมองภาพเหล่านั้นด้วยรอยยิ้มอันเจิดจ้า นางรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องสองคนนี้ ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนนัก แต่ก็ยังไม่อาจทำให้พวกเขาหยุดตีกันได้ไม่นานนัก หลี่หลันฮวาและเซี่ยฉางเยี่ยนลงจากรถม้าและเดินเข้ามาพร้อมเซี่ยชิงเป่าที่กำลังจะแต่งงานในปีหน้า และบุตรชายวัยห้าขวบอย่างเซี่ยชิงหลงที่วิ่งเล่นไปรอบๆ อย่างสนุกสนานถัดมาคือรถม้าจากตำหนักองค์ชายใหญ่ที่มี ชินอ๋องและพระชายากำลังอุ้มบุตรสาวของโอวหยางชิงเฟิงเดินเข้ามาพร้อมถานจิ่งอี้ ที่อยู่ด้านหลังส่วนโอวหยางโม่เหิง บุตรชายตัวน้อยของเซี่ยชิงหลี บัดนี้กำลังดึงชายเสื้อของบิดาอย่างออดอ้อน“ดูสิ เด็กๆ โตขึ้นทุกปี อีกไม่นานคงวิ่งทั่วเรือนจนไม่มีใครตามทันแล้วกระมัง” เมื่อนางเอ่ยจบ ทุกคนพลันหัวเราะออกมาพร้อมกันในระหว่างที่ทุกคนกำลังพูดคุยอย่างออกรส รถม้าของตำหนักองค์หญิงพลันแล่นเข้ามา หลี่เยว่หยาง องค์หญิงตงหยาง และบุตรชาย
เขาเคยละเลยบุตรชาย เคยปล่อยให้ความลำเอียงและความหลงใหลบดบังสายตา จนมองไม่เห็นความทุกข์ของเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง ที่ซึ่งเติบโตขึ้นท่ามกลางความเย็นชาของตน“พ่อผิดเอง...หนานเฟิง” ชายวัยกลางคนเอ่ยด้วยสีหน้าสำนึกผิด พร้อมด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“ข้าไม่คู่ควรเป็นบิดาของเจ้า”เขาก้มศีรษะลงต่ำ ราวกับยอมรับโทษทัณฑ์จากสวรรค์ที่ตนหลีกเลี่ยงมานาน ความเสียใจและความรู้สึกผิดกัดกินหัวใจจนแทบหายใจไม่ออก แต่เขาก็รู้ดีว่า...ทุกความเสียใจไม่สามารถย้อนกลับมาได้อีกเมื่อข่าวเรื่องที่มู่หรงฮ่าวหลุนถูกตัดสินโทษ แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง เซี่ยจื่ออี้ได้รอมู่หรงหนานเฟิงกลับมาเพื่อที่จะพูดคุยกับเขาภายในห้องหนังสือ แสงแดดยามเย็นส่องลอดผ่านหน้าต่างไม้ไผ่เข้ามาเป็นลำ มู่หรงหนานเฟิงนั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือ สีหน้าของชายหนุ่มแลดูสงบนิ่งราวกับผืนน้ำในฤดูหนาว เมื่อเซี่ยจื่ออี้เอ่ยเล่าเรื่องราวการไต่สวนจบลง พร้อมทั้งสีหน้าของเสนาบดีมู่หรงในตอนนั้น“ข้า...เข้าใจแล้ว” น้ำเสียงเรียบเฉยดังขึ้น แววตาของชายหนุ่มยังคงดูปกติดั่งเดิม ไม่มีท่าทีพอใจหรือดีใจ ที่คนที่เคยรังแกตนเองในวัยเด็กมีจุดจบที่น่าสังเวชเช่นนั้นเซี่ยจื่ออี้มองอยู่ครู่
ชายหนุ่มดึงลู่เหยาเหยาให้หลบไปด้านหลัง ดวงตาเย็นชามองคนเหล่านั้นนิ่ง ร่างกายชายหนุ่มเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว ราวกับนักรบที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีทั้งหมดคือผลจากการที่เซี่ยชิงหลีเคยบังคับให้เขาออกกำลังกาย และฝึกท่าต่อสู้ทุกเช้า วันนี้ทุกอย่างล้วนไม่สูญเปล่าเสียงหมัดกระทบเนื้อดัง “ปัง!” “ผลัวะ!” นักเลงคนแล้วคนเล่าล้มลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว บางคนหมดสติทันทีโดยไม่ทันได้ร้องขอชีวิตมู่หรงฮ่าวหลุนที่ยืนรออยู่ไม่ไกลถึงกับหน้าซีด เขาไม่คิดว่าหลี่หมิงเจ๋อจะต่อสู้ได้เก่งถึงเพียงนี้ ชายหนุ่มพยายามหลบหนีแต่ไม่ทันแล้ว เพราะหลี่หมิงเจ๋อทะยานเข้าไปคว้าคอเสื้อของเขาเอาไว้แน่น“เจ้าคิดว่าความอับอายของตนเอง จะสามารถลบล้างได้ด้วยการทำร้ายข้างั้นหรือ” น้ำเสียงเย็นเยียบเอ่ยขึ้นแผ่วเบาข้างใบหู“วันนี้ข้าจะให้เจ้ารู้ ว่าความยุติธรรมยังมีอยู่ในแผ่นดินนี้”หลี่หมิงเจ๋อลากตัวมู่หรงฮ่าวหลุนที่ดิ้นรนสุดแรงไปยังศาลยุติธรรม ซึ่งเป็นสถานที่ทำงานของเซี่ยจื่ออี้เมื่อถึงหน้าศาล เจ้าหน้าที่ต่างมองภาพตรงหน้าด้วยความตกตะลึง หลี่หมิงเจ๋อในชุดเรียบง่ายทว่าเปื้อนฝุ่นและยับย่นเล็กน้อย ลากชายหนุ่มผู้แต่งกายหรูหรามีรอยช้ำเต็ม
“มีใครอยู่หรือไม่เจ้าคะ” เสียงหวานใสดังขึ้นจากหน้าประตูไม้ของเรือนตระกูลหลี่ หลี่หมิงเจ๋อที่กำลังจัดเอกสารอยู่ภายในห้องทำงานเงยหน้าขึ้น ก่อนจะเดินออกไปเปิดประตูด้วยความสงสัยเมื่อบานประตูเปิดออก ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้เขาชะงักไปชั่วขณะหญิงสาวในชุดผ้าไหมสีฟ้าอ่อนยืนอยู่ท่ามกลางแสงแดดอันร้อนแรง ใบหน้างดงามอ่อนหวานราวภาพวาด ดวงตากลมโตเปล่งประกายสดใส จนทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนแสงนั้นช่างแสบตานัก“ท่านคือคุณชายหลี่ หลี่หมิงเจ๋อใช่หรือไม่เจ้าคะ” นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพหลี่หมิงเจ๋อขยับกายเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า“ชะ...ใช่ ข้าเอง ไม่ทราบว่าคุณหนูมีธุระอันใดกับข้าหรือ”หญิงสาวยิ้มบาง พลางยอบกายให้ชายหนุ่ม“บิดาของข้าคือลู่หมิงเช่อ พ่อค้าจากเมืองหนานหยางเจ้าค่ะ ส่วนข้าคือลู่เหยาเหยา ท่านพ่อส่งข้ามาพบเพื่อเจรจาเรื่องการค้าผ้าไหมและชา ข้าได้ยินว่าท่านเป็นผู้ดูแลกิจการของตระกูลหลี่ในส่วนนี้ จึงมาขอเข้าพบ”หลี่หมิงเจ๋อพยักหน้าช้าๆ“เช่นนั้นเชิญคุณหนูลู่เข้ามาข้างในก่อนเถิด”เมื่อก้าวเข้ามาในเรือน กลิ่นหอมอ่อนๆ จากดอกเหมยที่ปลูกไว้ข้างกำแพงลอยมาตามลม หญิงสาวหันมองรอบกายด้วยความสนใจ“เรือนของท่
บรรยากาศภายในรถม้า บัดนี้มีแต่ความกดดันและความอึดอัด เซี่ยชิงหลีมองคนทั้งสองที่เอาแต่นั่งเงียบสลับไปมา ก่อนร่างบางจะเปรยเบาๆ ราวกับพูดคนเดียว“เฮ่อ! รถม้าคันนี้ช่างเล็กจริงๆ ข้าและลูกน้อยอึดอัดจนหายใจแทบไม่ออกแล้ว”หญิงสาวยิ้มบาง พร้อมกับมองหน้าชายหนุ่ม โอวหยางชิงเฟิงเหมือนจะรู้ถึงแผนการของหญิงสาว ร่างสูงพลันรวบร่างบางของถานจิ่งอี้เข้ามาในอ้อมแขน ก่อนจะพานางก้าวลงจากรถม้าไปทันที“ปล่อยข้านะ! พี่ชิงหลี! ช่วยข้าด้วย!” ถานจิ่งอี้ร้องเสียงสั่น แต่เฉียวฟงกลับกอดนางเอาไว้แน่น“ขอโทษทีนะจิ่งอี้ เขาเป็นถึงองค์ชายใหญ่ ข้าสตรีตัวเล็กๆ จะช่วยเจ้าได้อย่างไร” หญิงสาวโบกมือลาคนทั้งสอง พร้อมกับออกคำสั่งให้รถม้าออกวิ่งอีกครั้งด้วยสีหน้าเบิกบาน“ช่างเป็นคู่รักที่ดื้อรั้นทั้งคู่จริงๆ” นางเอ่ยพลางยกมือแตะหน้าท้องตนเองเบาๆเมื่อไม่ได้รับการช่วยเหลือ ถานจิ่งอี้จึงจำต้องช่วยตนเอง“ข้าบอกให้ปล่อยไม่ได้ยินหรือ!” นำเสียงของหญิงสาวที่ตวาดชายหนุ่ม เต็มไปด้วยความสั่นเครือ“จิ่งอี้! เป็นข้าที่ข้าผิดเอง ข้าไม่ควรพูดเช่นนั้นกับเจ้า ข้ารู้แล้วว่าคำพูดของข้าทำร้ายความรู้สึกของเจ้าเพียงใด” ถานจิ่งอี้ชะงักไปครู่หนึ่ง ด
“ข้าจะไปเรือนหลัง!” น้ำเสียงเย็นเยียบของชายหนุ่มดังขึ้น จนข้ารับใช้ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าตอบรับไม่นานนัก องค์ชายใหญ่และองครักษ์ผู้ติดตามก็ได้ก้าวเข้าไปภายในเรือนที่ถูกสร้างเอาไว้สำหรับเหล่าสตรี ซึ่งไม่ได้รับตำแหน่งใดๆ อาศัยอยู่“ไปลากพวกนางออกมาให้หมด!!”บัดนั้น...แสงตะเกียงพลันถูกจุดขึ้นทั่วลานหน้า สตรีทั้งสี่พร้อมข้ารับใช้ทั้งหมด ถูกลากออกมาคุกเข่าต่อหน้าชายหนุ่ม“ข้าจะถามเพียงครั้งเดียว ใครเป็นคนเริ่มหาเรื่องพระชายาของข้า” น้ำเสียงเย็นเยียบถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากที่เม้มแน่นของชายหนุ่มทุกคนต่างนิ่งเงียบเพราะเกรงกลัวพระราชอาญา ถ้าหากเอ่ยปากบอกความจริง“ดี! ข้าเองก็ไม่ต้องการเก็บคนที่สร้างความวุ่นวายในตำหนักของข้าเอาไว้เช่นกัน” ร่างสูงชี้ไปยังคนทั้งหมดก่อนตวาดเสียงก้อง“พรุ่งนี้เรียกพ่อค้าทาสมา แล้วขายพวกมันออกไปให้หมด!”สิ้นเสียงของโอวหยางชิงเฟิง เสียงร้องไห้และร้องขอความเมตตาพลันดังระงมไปทั่วลานเรือน“ไม่ได้นะเพคะ! พระองค์จะทำเช่นนั้นกับเราไม่ได้” หลิวหยิ่ง สตรีคนแรกที่โอวหยางชิงเฟิงรับเข้ามาอยู่ข้างกาย เอ่ยคัดค้านขึ้น“ทำไมข้าจะทำเช่นนั้นมิได้เล่า”“นั่นก็เพราะกฎหมายของแคว้นฉินว







