เข้าสู่ระบบชาวบ้านที่เร่งหามร่างของหลี่หลันฮวาลงมาจากเขาคือนายพรานในหมู่บ้านที่ขึ้นเขาล่าสัตว์ ระหว่างทางพวกเขาพบกันและทักทายเล็กน้อย ไม่คิดว่าในตอนนั้นจะมีหมูป่าตัวใหญ่พุ่งเข้าหาพวกเขา
หลี่หลันฮวาที่ร่างกายอ่อนแอหลบไม่ทันทำให้ถูกทำร้ายจนแทบปางตาย โชคยังดีที่เซี่ยจื่ออี้และเซี่ยชิงเป่าอยู่ห่างจากจุดนั้นไม่น้อย ถ้าเป็นน้องสาวของนางถูกทำร้ายไม่รู้ว่าจะยังสามารถเอาชีวิตรอดกลับมาได้หรือไม่
“น้องรอง...หลีเอ๋อ!!ท่านแม่นาง…”
ชายหนุ่มเอ่ยกับน้องสาวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เขาพูดตะกุกตะกักเหมือนไม่รู้ว่าควรเอ่ยกับนางอย่างไร เซี่ยชิงหลีกลับมามีสติอีกครั้ง หลังได้ยินเสียงอันสั่นเทาของพี่ชายและเสียงร้องไห้ของน้องสาว
“ท่านแม่จะไม่เป็นอะไร ข้าจะหาทางช่วยชีวิตนางเอง”
หญิงสาวใช้ภาษามือคุยกับพี่ชายก่อนพยักหน้าให้เขาวางใจ
ภายหลังจากชาวบ้านพาร่างโชกเลือดของหลี่หลันฮวากลับมายังตระกูลเซี่ย สะใภ้ใหญ่เห็นคนมากมายมายังเรือนของตนนางจึงรีบพุ่งออกมาดู เมื่อเห็นหลี่หลันฮวาในสภาพใกล้ตายนางก็ไม่สามารถปกปิดความยินดีได้
คนที่อยากให้ตายมาตลอดกำลังจะตายแล้ว สวรรค์ช่างเข้าข้างนางจริงๆ จากนี้ทุกอย่างของตระกูลเซี่ยรวมถึงเซี่ยจื่อยวนก็จะกลายเป็นของนางเพียงคนเดียว
เซี่ยจื่ออี้สั่งให้น้องสาวไปตามท่านหมอหลิวหมอประจำหมู่บ้านมา ส่วนตนเองทำความสะอาดร่างกายของมารดาเพื่อดูบาดแผล เหล้าฤทธิ์แรงหลายไหถูกชาวบ้านยกมาส่งให้นาง ผ้าสะอาดภายในเรือนถูกใช้ห้ามเลือดไปจดหมด
ทุกคนต่างเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อรอดูว่าวันนี้หลี่หลันฮวาจะมีชีวิตรอดหรือไม่ หลายคนเป็นกังวลแทนลูกๆ ทั้งสามของนางเพราะบ้านรองไร้พึ่งอื่นใดอีกแล้วแม้แต่บิดาผู้ให้กำเนิดก็ตามที อีกทั้งร่างกายของพวกเขาต่างก็มีใครสมประกอบเลยสักคน หากขาดเสาหลักอย่างหลี่หลันฮวาไปเด็กทั้งสามอาจเอาชีวิตรอดต่อไปได้ยาก
ทว่าแม้ชาวบ้านจะแสดงความใส่ใจ แต่คนตระกูลเซี่ยหรือแม้แต่สามีของนางกลับไม่มีใครไยดีสอบถามหรือแสดงความเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของนางแม้สักนิด การกระทำของพวกเขาช่างทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกรังเกียจยิ่งนัก
เมื่อเซี่ยชิงหลีเปิดดูบาดแผลของมารดา พบว่ามันไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่เห็นภายนอกจึงได้เบาใจลง
“พี่ใหญ่ท่านหมอมาแล้ว!!”
เซี่ยชิงเป่าลากหมอชราให้รีบวิ่งตามตนเองมา เมื่อทั้งสองหยุดลงที่หน้าเรือนตระกูลเซี่ยเด็กน้อยก็รีบอ้าปากสูดลมหายใจเข้าปอด เสียงหอบแฮกของนางไม่ต่างจากท่านหมอหลิว
“เจ้าหนูคิดจะฆ่าข้าเรอะ! เจ้าไม่ดูบ้างว่าชายแก่อย่างข้าอายุเท่าใดแล้ว”
หมอชราดุเด็กน้อยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก เขาเห็นเด็กคนนี้เติบโตมาตั้งแต่ยังเล็ก แม้จะปากกล้าไปสักหน่อยทว่ากลับมีความกตัญญูต่อมารดายิ่งกว่าผู้ใด
“เป่าเอ๋อขออภัยเจ้าค่ะ ข้าแค่กังวลว่าท่านแม่จะรอไม่ไหว”
“เอาล่ะ เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว นำทางข้าไปดูอาการแม่ของเจ้า”
สองคนต่างวัยเดินตามกันเข้าไปภายในเรือน จางซุนโหรวเมื่อเห็นเซี่ยชิงเป่าพาหมอหลิวมานางก็รีบกระโดดเข้าขวางทางทันที จะปล่อยเข้าไปได้อย่างไร จุดประสงค์ของนางคือต้องการให้หลี่หลันฮวาตาย
“หยุดก่อน! หมอหลิว! ท่านรู้หรือไม่ต่อให้ท่านรักษาอาการบาดเจ็บให้กับสะใภ้รอง พวกเขาก็ไม่เงินจ่ายค่ารักษาหรอกนะ บ้านเซี่ยของข้าก็ไม่ยินดีจ่ายเงินเพื่อรักษานางเช่นกัน”
หมอชราขมวดคิ้วให้กับความคิดอันน่ารังเกียจของนาง และยังคิดจะรักษาให้กับมารดาของเด็กน้อยตรงหน้าตามเดิม
เมื่อเห็นว่าการพูดคุยล้มเหลวจางซุนโหรวจึงใช้แผนใหม่ นางรีบวิ่งไปคว้าไม้ที่วางอยู่ไม่ไกลมาเป็นอาวุธเพื่อขวางทางหมอหลิวไม่ให้เข้าไปได้
“หลีกไปซะ!สะใภ้ใหญ่บ้านเซี่ย เจ้ากำลังขัดขวางการรักษาของข้า”
หมอชราแซ่หลิวแสดงสีหน้าเอือมระอาออกมา แม้ผู้เฒ่าจะอยู่มานานหลายทศวรรษแต่ไม่เคยเห็นสตรีใดชั่วร้ายเช่นหญิงผู้นี้
“ข้าบอกแล้วว่าห้ามรักษานาง ที่นี่คือตระกูลเซี่ยจะเข้าออกตามอำเภอใจได้อย่างไร หมอหลิวท่านกลับไปซะ!”
ในระหว่างที่สองฝ่ายกำลังถกเถียงกัน ใครคนหนึ่งก็เดินมาจากด้านหลัง ชักเท้าถีบจางซุนโหรวเข้าเต็มแรง
“โอ๊ย!! ใครบังอาจลอบทำร้ายข้า”
เป็นอาเหิงที่ถูกสั่งให้มาดูว่าเหตุใดท่านหมอหลิวยังไม่มาเสียที เมื่อพบว่าจางซุนโหรวกำลังขวางทางตน จึงได้ถีบนางออกไป
“พี่ภรรยาสั่งให้อาเหิงมาตามท่านหมอ”
ชายหนุ่มส่งยิ้มหวานให้ชายชรา ท่าทางของเขาแม้จะเหมือนเด็กน้อยทว่ากลับทำตามคำสั่งไม่มีบกพร่อง ใบหน้าอันหล่อเหลาของชายหนุ่มทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกอารมณ์ดี
“ดี ดี...เด็กดี”
หมอหลิวเอ่ยชมชายหนุ่มอย่างเอ็นดู
“พวกเจ้า!!”
จางซุนโหรวมองคาดโทษชายหนุ่มพลางสบถในลำคอ
คนทั้งสามเดินตามกันเข้าไปจนถึงด้านหลังเรือนหลัก เมื่อหมอหลิวพบว่าบ้านรองพวกเขาอาศัยอยู่ในกระท่อมที่ทำจากฟาง หมอชราจึงอดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าเวทนาออกมา
“พวกเจ้าทุกคนรออยู่ด้านนอกก่อน”
เมื่อสั่งความเสร็จหมอหลิวก็สะพายล่วมยาเดินเข้าไปด้านใน
เซี่ยชิงหลีบัดนี้ทำความสะอาดบาดแผลเรียบร้อยแล้ว หน้าท้องของมารดามีร่องรอยฟกช้ำ สะโพกของนางมีบาดแผลทว่าไม่ลึกมากนักแต่ต้องได้รับการเย็บเพื่อให้แผลหายเร็ว ส่วนขาของนางตรวจดูแล้วไม่มีส่วนใดแตกหักเพียงแต่มีรอยกรีดเป็นทางยาวและจำเป็นต้องเย็บแผลเช่นเดียวกัน
ยุคนี้ยังไม่มีการเย็บบาดแผลเพื่อรักษา ตัวนางเองก็ไม่มีอุปกรณ์จำต้องรักษาเท่าที่สามารถทำได้ไปก่อน
“เจ้าเป็นคนทำทั้งหมดนี่หรือ”
เมื่อเห็นว่าบาดแผลของหลี่หลันฮวาถูกทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว หมอชราก็มีท่าทีพอใจไม่น้อย
“เป็นข้าเองเจ้าค่ะ”
“นี่! เจ้า!...นางหนูเจ้าพูดได้ตั้งแต่เมื่อใด”
ใครบ้างไม่รู้ว่าเซี่ยชิงหลีเป็นใบ้ เมื่อได้ยินเสียงของนางหมอชราตกใจจนหาเสียงตนเองไม่เจอ
“ท่านหมอเรื่องนี้เอาไว้ข้าจะอธิบายทีหลัง ขอข้าดูล่วมยาของท่านได้หรือไม่”
“นี่! เจ้าก็รักษาคนได้ด้วยหรือ”
“ก็ประมาณนั้นเจ้าค่ะ”
หญิงสาวจัดการทำแผลให้มารดาอย่างคล่องแคล่ว หลังจากใส่ยาและพันแผลของนางเสร็จแล้วจึงได้มีโอกาสหันมาพูดกับหมอชรา
“ความจริงหลายปีมานี้ข้าได้รับการรักษาจากหมอพเนจรท่านหนึ่ง ท่านรับข้าเป็นลูกศิษย์และสอนการรักษาให้แก่ข้า แต่เรื่องที่ข้าพูดได้อยากจะขอให้ท่านหมอเก็บเป็นความลับได้หรือไม่”
หมอชราไม่รู้เหตุผลที่เด็กสาวตรงหน้าต้องการเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ อย่างไรทุกคนก็มักมีเรื่องที่ลำบากใจไม่สามารถพูดออกมาได้สักหนึ่งหรือสองเรื่อง อีกอย่างตนเป็นคนนอกไม่สะดวกยุ่งเรื่องของผู้อื่น
“ข้ารับปาก แต่ขอข้าพูดกับเจ้าเรื่องหนึ่ง เด็กน้อย...เจ้ารู้เรื่องการรักษามากน้อยเพียงใด”
ชายชรามองเด็กสาวตรงหน้าอย่างพินิจ
“อืม....ข้าเองก็ไม่แน่ใจเจ้าค่ะ เพราะยังไม่เคยลงมือรักษาใครอย่างจริงจัง ท่านแม่เป็นคนแรกที่ข้าทำแผลให้ แต่เรื่องสมุนไพรและฝังเข็มข้าพอรู้บ้างเล็กน้อย”
หญิงสาวเอ่ยอย่างถ่อมตน
ความจริงแล้วเซี่ยชิงหลีไม่ต้องการเปิดเผยฝีมือของตนมากนัก รอให้ออกจากตระกูลเซี่ยเรียบร้อยแล้วนางถึงจะสามารถทำอะไรได้สะดวก ไม่อย่างนั้นพวกเหลือบไรทั้งหลายคงตามติดไม่หยุด
หมอชราลูบเคราขาวอย่างครุ่นคิด ในเมื่อนางไม่ต้องการเปิดเผยฝีมือเช่นนั้นตนก็ไม่อยากเซ้าซี้ เพราะเรื่องพรสวรรค์ไม่ใช่ทุกคนจะมีได้
“ผ่านไปนานขนาดนี้ เจ้ายังทำให้ข้าชอบหน้าไม่ได้”องค์ชายใหญ่หัวเราะเบาๆ“ผ่านไปนานขนาดนี้ เจ้าก็ยังปากไม่ดีเช่นเดิม” แม้คำพูดจะฟังดูคล้ายสงครามน้ำลายกำลังจะก่อตัวขึ้น แต่แววตาของทั้งคู่กลับแสดงออกว่ามิได้ถือสาต่ออีกฝ่ายเซี่ยชิงหลีมองภาพเหล่านั้นด้วยรอยยิ้มอันเจิดจ้า นางรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องสองคนนี้ ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนนัก แต่ก็ยังไม่อาจทำให้พวกเขาหยุดตีกันได้ไม่นานนัก หลี่หลันฮวาและเซี่ยฉางเยี่ยนลงจากรถม้าและเดินเข้ามาพร้อมเซี่ยชิงเป่าที่กำลังจะแต่งงานในปีหน้า และบุตรชายวัยห้าขวบอย่างเซี่ยชิงหลงที่วิ่งเล่นไปรอบๆ อย่างสนุกสนานถัดมาคือรถม้าจากตำหนักองค์ชายใหญ่ที่มี ชินอ๋องและพระชายากำลังอุ้มบุตรสาวของโอวหยางชิงเฟิงเดินเข้ามาพร้อมถานจิ่งอี้ ที่อยู่ด้านหลังส่วนโอวหยางโม่เหิง บุตรชายตัวน้อยของเซี่ยชิงหลี บัดนี้กำลังดึงชายเสื้อของบิดาอย่างออดอ้อน“ดูสิ เด็กๆ โตขึ้นทุกปี อีกไม่นานคงวิ่งทั่วเรือนจนไม่มีใครตามทันแล้วกระมัง” เมื่อนางเอ่ยจบ ทุกคนพลันหัวเราะออกมาพร้อมกันในระหว่างที่ทุกคนกำลังพูดคุยอย่างออกรส รถม้าของตำหนักองค์หญิงพลันแล่นเข้ามา หลี่เยว่หยาง องค์หญิงตงหยาง และบุตรชาย
เขาเคยละเลยบุตรชาย เคยปล่อยให้ความลำเอียงและความหลงใหลบดบังสายตา จนมองไม่เห็นความทุกข์ของเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง ที่ซึ่งเติบโตขึ้นท่ามกลางความเย็นชาของตน“พ่อผิดเอง...หนานเฟิง” ชายวัยกลางคนเอ่ยด้วยสีหน้าสำนึกผิด พร้อมด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“ข้าไม่คู่ควรเป็นบิดาของเจ้า”เขาก้มศีรษะลงต่ำ ราวกับยอมรับโทษทัณฑ์จากสวรรค์ที่ตนหลีกเลี่ยงมานาน ความเสียใจและความรู้สึกผิดกัดกินหัวใจจนแทบหายใจไม่ออก แต่เขาก็รู้ดีว่า...ทุกความเสียใจไม่สามารถย้อนกลับมาได้อีกเมื่อข่าวเรื่องที่มู่หรงฮ่าวหลุนถูกตัดสินโทษ แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง เซี่ยจื่ออี้ได้รอมู่หรงหนานเฟิงกลับมาเพื่อที่จะพูดคุยกับเขาภายในห้องหนังสือ แสงแดดยามเย็นส่องลอดผ่านหน้าต่างไม้ไผ่เข้ามาเป็นลำ มู่หรงหนานเฟิงนั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือ สีหน้าของชายหนุ่มแลดูสงบนิ่งราวกับผืนน้ำในฤดูหนาว เมื่อเซี่ยจื่ออี้เอ่ยเล่าเรื่องราวการไต่สวนจบลง พร้อมทั้งสีหน้าของเสนาบดีมู่หรงในตอนนั้น“ข้า...เข้าใจแล้ว” น้ำเสียงเรียบเฉยดังขึ้น แววตาของชายหนุ่มยังคงดูปกติดั่งเดิม ไม่มีท่าทีพอใจหรือดีใจ ที่คนที่เคยรังแกตนเองในวัยเด็กมีจุดจบที่น่าสังเวชเช่นนั้นเซี่ยจื่ออี้มองอยู่ครู่
ชายหนุ่มดึงลู่เหยาเหยาให้หลบไปด้านหลัง ดวงตาเย็นชามองคนเหล่านั้นนิ่ง ร่างกายชายหนุ่มเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว ราวกับนักรบที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีทั้งหมดคือผลจากการที่เซี่ยชิงหลีเคยบังคับให้เขาออกกำลังกาย และฝึกท่าต่อสู้ทุกเช้า วันนี้ทุกอย่างล้วนไม่สูญเปล่าเสียงหมัดกระทบเนื้อดัง “ปัง!” “ผลัวะ!” นักเลงคนแล้วคนเล่าล้มลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว บางคนหมดสติทันทีโดยไม่ทันได้ร้องขอชีวิตมู่หรงฮ่าวหลุนที่ยืนรออยู่ไม่ไกลถึงกับหน้าซีด เขาไม่คิดว่าหลี่หมิงเจ๋อจะต่อสู้ได้เก่งถึงเพียงนี้ ชายหนุ่มพยายามหลบหนีแต่ไม่ทันแล้ว เพราะหลี่หมิงเจ๋อทะยานเข้าไปคว้าคอเสื้อของเขาเอาไว้แน่น“เจ้าคิดว่าความอับอายของตนเอง จะสามารถลบล้างได้ด้วยการทำร้ายข้างั้นหรือ” น้ำเสียงเย็นเยียบเอ่ยขึ้นแผ่วเบาข้างใบหู“วันนี้ข้าจะให้เจ้ารู้ ว่าความยุติธรรมยังมีอยู่ในแผ่นดินนี้”หลี่หมิงเจ๋อลากตัวมู่หรงฮ่าวหลุนที่ดิ้นรนสุดแรงไปยังศาลยุติธรรม ซึ่งเป็นสถานที่ทำงานของเซี่ยจื่ออี้เมื่อถึงหน้าศาล เจ้าหน้าที่ต่างมองภาพตรงหน้าด้วยความตกตะลึง หลี่หมิงเจ๋อในชุดเรียบง่ายทว่าเปื้อนฝุ่นและยับย่นเล็กน้อย ลากชายหนุ่มผู้แต่งกายหรูหรามีรอยช้ำเต็ม
“มีใครอยู่หรือไม่เจ้าคะ” เสียงหวานใสดังขึ้นจากหน้าประตูไม้ของเรือนตระกูลหลี่ หลี่หมิงเจ๋อที่กำลังจัดเอกสารอยู่ภายในห้องทำงานเงยหน้าขึ้น ก่อนจะเดินออกไปเปิดประตูด้วยความสงสัยเมื่อบานประตูเปิดออก ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้เขาชะงักไปชั่วขณะหญิงสาวในชุดผ้าไหมสีฟ้าอ่อนยืนอยู่ท่ามกลางแสงแดดอันร้อนแรง ใบหน้างดงามอ่อนหวานราวภาพวาด ดวงตากลมโตเปล่งประกายสดใส จนทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนแสงนั้นช่างแสบตานัก“ท่านคือคุณชายหลี่ หลี่หมิงเจ๋อใช่หรือไม่เจ้าคะ” นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพหลี่หมิงเจ๋อขยับกายเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า“ชะ...ใช่ ข้าเอง ไม่ทราบว่าคุณหนูมีธุระอันใดกับข้าหรือ”หญิงสาวยิ้มบาง พลางยอบกายให้ชายหนุ่ม“บิดาของข้าคือลู่หมิงเช่อ พ่อค้าจากเมืองหนานหยางเจ้าค่ะ ส่วนข้าคือลู่เหยาเหยา ท่านพ่อส่งข้ามาพบเพื่อเจรจาเรื่องการค้าผ้าไหมและชา ข้าได้ยินว่าท่านเป็นผู้ดูแลกิจการของตระกูลหลี่ในส่วนนี้ จึงมาขอเข้าพบ”หลี่หมิงเจ๋อพยักหน้าช้าๆ“เช่นนั้นเชิญคุณหนูลู่เข้ามาข้างในก่อนเถิด”เมื่อก้าวเข้ามาในเรือน กลิ่นหอมอ่อนๆ จากดอกเหมยที่ปลูกไว้ข้างกำแพงลอยมาตามลม หญิงสาวหันมองรอบกายด้วยความสนใจ“เรือนของท่
บรรยากาศภายในรถม้า บัดนี้มีแต่ความกดดันและความอึดอัด เซี่ยชิงหลีมองคนทั้งสองที่เอาแต่นั่งเงียบสลับไปมา ก่อนร่างบางจะเปรยเบาๆ ราวกับพูดคนเดียว“เฮ่อ! รถม้าคันนี้ช่างเล็กจริงๆ ข้าและลูกน้อยอึดอัดจนหายใจแทบไม่ออกแล้ว”หญิงสาวยิ้มบาง พร้อมกับมองหน้าชายหนุ่ม โอวหยางชิงเฟิงเหมือนจะรู้ถึงแผนการของหญิงสาว ร่างสูงพลันรวบร่างบางของถานจิ่งอี้เข้ามาในอ้อมแขน ก่อนจะพานางก้าวลงจากรถม้าไปทันที“ปล่อยข้านะ! พี่ชิงหลี! ช่วยข้าด้วย!” ถานจิ่งอี้ร้องเสียงสั่น แต่เฉียวฟงกลับกอดนางเอาไว้แน่น“ขอโทษทีนะจิ่งอี้ เขาเป็นถึงองค์ชายใหญ่ ข้าสตรีตัวเล็กๆ จะช่วยเจ้าได้อย่างไร” หญิงสาวโบกมือลาคนทั้งสอง พร้อมกับออกคำสั่งให้รถม้าออกวิ่งอีกครั้งด้วยสีหน้าเบิกบาน“ช่างเป็นคู่รักที่ดื้อรั้นทั้งคู่จริงๆ” นางเอ่ยพลางยกมือแตะหน้าท้องตนเองเบาๆเมื่อไม่ได้รับการช่วยเหลือ ถานจิ่งอี้จึงจำต้องช่วยตนเอง“ข้าบอกให้ปล่อยไม่ได้ยินหรือ!” นำเสียงของหญิงสาวที่ตวาดชายหนุ่ม เต็มไปด้วยความสั่นเครือ“จิ่งอี้! เป็นข้าที่ข้าผิดเอง ข้าไม่ควรพูดเช่นนั้นกับเจ้า ข้ารู้แล้วว่าคำพูดของข้าทำร้ายความรู้สึกของเจ้าเพียงใด” ถานจิ่งอี้ชะงักไปครู่หนึ่ง ด
“ข้าจะไปเรือนหลัง!” น้ำเสียงเย็นเยียบของชายหนุ่มดังขึ้น จนข้ารับใช้ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าตอบรับไม่นานนัก องค์ชายใหญ่และองครักษ์ผู้ติดตามก็ได้ก้าวเข้าไปภายในเรือนที่ถูกสร้างเอาไว้สำหรับเหล่าสตรี ซึ่งไม่ได้รับตำแหน่งใดๆ อาศัยอยู่“ไปลากพวกนางออกมาให้หมด!!”บัดนั้น...แสงตะเกียงพลันถูกจุดขึ้นทั่วลานหน้า สตรีทั้งสี่พร้อมข้ารับใช้ทั้งหมด ถูกลากออกมาคุกเข่าต่อหน้าชายหนุ่ม“ข้าจะถามเพียงครั้งเดียว ใครเป็นคนเริ่มหาเรื่องพระชายาของข้า” น้ำเสียงเย็นเยียบถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากที่เม้มแน่นของชายหนุ่มทุกคนต่างนิ่งเงียบเพราะเกรงกลัวพระราชอาญา ถ้าหากเอ่ยปากบอกความจริง“ดี! ข้าเองก็ไม่ต้องการเก็บคนที่สร้างความวุ่นวายในตำหนักของข้าเอาไว้เช่นกัน” ร่างสูงชี้ไปยังคนทั้งหมดก่อนตวาดเสียงก้อง“พรุ่งนี้เรียกพ่อค้าทาสมา แล้วขายพวกมันออกไปให้หมด!”สิ้นเสียงของโอวหยางชิงเฟิง เสียงร้องไห้และร้องขอความเมตตาพลันดังระงมไปทั่วลานเรือน“ไม่ได้นะเพคะ! พระองค์จะทำเช่นนั้นกับเราไม่ได้” หลิวหยิ่ง สตรีคนแรกที่โอวหยางชิงเฟิงรับเข้ามาอยู่ข้างกาย เอ่ยคัดค้านขึ้น“ทำไมข้าจะทำเช่นนั้นมิได้เล่า”“นั่นก็เพราะกฎหมายของแคว้นฉินว







